เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 559-560
บทที่ 559 มนุษย์มด
มนุษย์กลายพันธุ์นั้นเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์พิเศษในแดนเทียนชิงเลยก็ว่าได้ประชากรของมันค่อนข้างเยอะและน่าจะเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์พิเศษทั้งหมด
ในสมัยโบราณกาลที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังไม่ได้รุ่งโรจน์และเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นผู้ครองดินแดนพวกมันทั้งป่าเถื่อนและหื่นกระหาย เผ่าพันธุ์ปีศาจมากมายได้พรากตัวหญิงสาวเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปทำมิดีมิร้ายและบังคับให้พวกนางผสมพันธุ์กับพวกมันและให้กำเนิดลูกหลานต่อๆไป ในบรรดาเหล่าลูกหลานของพวกเขานั้น บ้างก็เกิดเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ บ้างก็เกิดเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจจนกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์
หลายปีผ่านไปรุ่นแล้วรุ่นเล่าในที่สุดมนุษย์กลายพันธุ์ก็วิวัฒนาการและกลายเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษ เนื่องจากพวกเขามีตัณหาจากเผ่าพันธุ์ปีศาจอยุ่ในตัวมาก เผ่าพันธุ์นี้จึงแพร่พันธุ์และขยายอาณาเขตอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านั้นพวกเขาถูกเผ่าพันธุ์มนุษย์ปราบปรามไปเนื่องจากการขยายอาณาเขตอย่างรวดเร็วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกเขาก็เรียนรู้อย่างฉลาดเฉลียวและไม่พยายามดิ้นรนเพื่อแย่งชิงอำนาจในแดนของมนุษย์แต่พวกเขากลับไปยึดครองทวีปเล็กๆแทนซึ่งไม่ได้มีมนุษย์มากมายอยู่ที่นั่น และนั่นก็เป็นทวีปที่เจียงอี้ยืนอยู่ในตอนนี้ ทวีปมนุษย์กลายพันธุ์นั่นเอง
มนุษย์กลายพันธุ์นั้นเมื่อฟังตามชื่อแล้วก็คงจะมีความคล้ายคลึงกับมนุษย์เช่นเดียวกับเผ่าพันธุ์เงือกและเผ่าพันธุ์เงือกนั้นก็ยังถือว่าเป็นหนึ่งในมนุษย์กลายพันธุ์เช่นกัน เพียงแต่พวกเขาไม่ได้รับสายเลือดที่ดีเท่าใดนัก
และในความเป็นจริงแล้ว….!
รูปลักษณ์ของมนุษย์กลายพันธุ์นั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์มากนักหากคนผู้หนึ่งเจอเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์โดยบังเอิญ คนผู้นั้นคงเข้าใจผิดและคิดว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ธรรมดาตั้งแต่แรกเห็น
แต่ก็แน่นอนว่าหากมันเป็นเช่นนั้น มนุษย์ก็คงไม่ตั้งชื่อให้พวกเขาเช่นนี้
มนุษย์กลายพันธุ์นั้นมีความสามารถที่พิเศษมากพวกนั้นสามารถแปลงกายเป็นสัตว์อสูรเพื่อเสริมพลังให้ตัวเองในระหว่างการต่อสู้ได้
แต่ก่อนที่พวกเขาจะแปลงกายพวกเขาก็ดูเหมือนมนุษย์ทั่วไปที่สามารถฝึกฝน, เข้าถึงรูปแบบเต๋าและปรับปรุงระดับความสามารถให้ไปถึงขอบเขตเสินโหยว, ขอบเขตจินกังหรือแม้แต่ขอบเขตเทียนจุนก็ยังได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาแปลงกายแล้ว พวกเขาจะแข็งแกร่งมากและมีความสามารถเหมือนปีศาจโบราณ เช่น ความเร็วที่ไวขึ้น, การป้องกันที่แข็งแกร่ง, พลังโจมตีที่สูงขึ้นหรือความสามารถพิลึกแต่ทรงพลังอื่นๆอีกมากมาย
ดังนั้นมนุษย์กลายพันธุ์จึงเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังจริงๆมันถือเป็นกลุ่มที่สลักสำคัญในแดนเทียนชิง
และในตอนนี้เจียงอี้ก็ได้สัมผัสแล้วว่ามนุษย์กลายพันธุ์ทรงพลังเพียงใด
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาพบว่ามีมนุษย์มดจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังใกล้เข้ามาพวกมันบางตนได้เปลี่ยนร่างแล้ว ซึ่งท่อนล่างของพวกมันกลายเป็นมดขณะที่หัวและใบหน้ายังคงเป็นมนุษย์เช่นเดิม
ร่างกายของพวกมันค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อยผิวหนังของพวกมันเริ่มมีเปลือกหุ้ม ขาทั้งหกเริ่มปรากฏขึ้นมาข้างลำตัวและมีหนวดโผล่ขึ้นมาจากหัว และแทนที่จะเดินเหมือนมนุษย์ พวกมันก็คลานไปที่พื้นโดยที่หนวดเริ่มสะบัดไปมาในอากาศซึ่งคอยทุบหินระหว่างทางที่กำลังตรงมายังเจียงอี้และคนอื่นๆอย่างดุเดือด
ฟรึ่บ!
ชิงหยีเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วนางวาดดาบออกมาหลายครั้ง จากนั้นก็บินไปข้างหน้าและสับมนุษย์มดเหล่านั้นราวกับมีดที่แหลมคม
ปึ้งปึง ปัง!
เจียงอี้และคนอื่นๆไม่ได้คาดคิดว่าการโจมตีด้วยแก่นแท้พลังของชิงหยีจะไม่สามารถทำร้ายมนุษย์มดได้แก่นแท้พลังของนางปลิวว่อนไปทางอื่นเมื่อปะทะเข้ากับร่างเปลือกของมนุษย์มด และเมื่อมันปลิวไปกระทบเข้ากับหินใกล้ๆ หินเหล่านั้นก็กลายเป็นผุยผงทันที
แต่ก็แน่นอนว่าการโจมตีด้วยแก่นแท้พลังของนางนั้นก็สามารถสังหารพวกมันได้อยู่บ้าง มนุษย์มดมากมายถูกระเบิดออกและส่งเสียงออกมา ทั้งแขนขาและหนวดต่างก็สลายไปเพราะการโจมตี
“มีบางอย่างที่ป้องกันพวกมันอยู่ตรงเปลือก!”
เฟิ่งหลวนและเจียงอี้ต่างมองหน้ากันและกันทั้งสองคนรู้เรื่องนี้เพราะสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่ามนุษย์มดมากมายจะถูกทำลายไปและมนุษย์มดระดับต่ำบางตนถึงกับหัวระเบิด แต่ร่างที่มีเปลือกสีดำอมเหลืองหุ้มอยู่นั้นไม่ได้รับบาดเจ็บเลย
“ชิงหยีโจมตีแขนขาและศีรษะซะ!”
เฟิ่งหลวนตะโกนเสียงดังนางพบว่ามนุษย์มดที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นอยู่เพียงขอบเขตจินกังขั้นแรก แม้ว่าจะมีพวกมันหลายตน แต่ชิงหยีก็สามารถจัดการกับพวกนั้นได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นนางจึงไม่ได้ไปช่วยเหลือหรือปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาเพื่อที่มนุษย์มดเหล่านี้จะไม่แตกตื่นหนีไปเพราะความกลัว
เจียงอี้ไม่ได้สนใจกับการต่อสู้มากนักเช่นกันเขาสนใจกับเปลือกสีดำอมเหลืองนั้นมากกว่าและอยากรู้ว่ามนุษย์มดเหล่านี้ปัดป้องการโจมตีของชิงหยีได้อย่างไร เขาปล่อยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปที่เปลือกและคอยสังเกตอย่างระมัดระวังโดยเฉพาะตอนที่แก่นแท้พลังของชิงหยีกระทบกับเปลือกของพวกมัน
“เอ๊ะ?ภายในเปลือกพวกมันมีพลังงานที่ไหลเวียนอยู่อย่างรวดเร็ว! และเส้นทางการไหลเวียนนั้นช่างพิลึกพิลั่นนัก มันเป็นเพราะการไหลเวียนพลังงานเช่นนี้หรือเปล่านะที่ทำให้พวกมันปัดป้องการโจมตีได้?”
เจียงอี้ตกอยู่ในห้วงความคิดดวงตาของเขาเริ่มพร่ามัวและปิดลงจนหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ลืมทุกสิ่งและหมกมุ่นอยู่กับเส้นทางการไหลเวียนของพลังงานภายในเปลือกของมนุษย์มด
โดยปกติแล้วเปลือกพวกนั้นคงไม่สามารถต้านทานแก่นแท้พลังของชิงหยีได้อย่างแน่นอน และอันที่จริงแล้วหากว่ามนุษย์มดถูกการโจมตีของชิงหยีเข้า พวกมันคงจะตายและเปลือกของพวกมันก็จะกลายเป็นฝุ่นผงทันที ดังนั้น มันน่าจะเป็นเพราะพลังงานที่ไหลเวียนในเปลือกนั้นแน่ๆ
แต่ก็น่าเสียดาย….
เจียงอี้ยังไม่เจออะไรเลยหลังจากที่เวลาผ่านไปนานแล้วเส้นทางการหมุนเวียนของพลังงานนั้นพิลึกและซับซ้อนเหมือนกับค่ายกลลึกลับ และเพราะเจียงอี้ยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องของอาคมยับยั้ง เขาจึงไม่เข้าใจกับการทำงานของมันอยู่ดี
อ้อใช่แล้ว! ตอนนี้ข้าน่าจะจดจำการหมุนเวียนเอาไว้ก่อนแม้ว่าในตอนนี้ข้าจะยังไม่เข้าใจมันก็เถอะ เผื่อว่าในภายภาคหน้าข้าอาจจะเข้าใจมันได้!
มดจำนวนมากยังอยู่ตรงนั้นและการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปผู้บัญชาการขอบเขตจินกังของมนุษย์มดไม่ได้ออกมาสู้ และเขาก็ไม่ได้สั่งให้ถอยเช่นกัน เขาทำเพียงแค่ยืนอยู่ข้างๆและเฝ้ามองดูการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้น ส่วนชิงหยีก็พุ่งเข้าใส่มนุษย์มดมากมาย มนุษย์มดตนใดก็ตามที่ถูกชิงหยีทำร้ายต่างก็ถูกสับแขนขาหรือไม่ก็ถูกระเบิดไป เพราะอย่างไรเสีย มนุษย์มดระดับต่ำเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำร้ายนางได้เพราะการเคลื่อนไหวของนางเร็วเกินกว่าที่มนุษย์มดเหล่านั้นจะจับการเคลื่อนไหวได้
เจียงอี้ยังคงจดจ่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไปที่เปลือกของมนุษย์มดและพยายามจดจำเส้นทางการหมุนเวียนของสายพลังเอาไว้ในหัวของเขาประมาณสิบห้านาทีต่อมา เมื่อมดส่วนใหญ่ต่างก็ถูกสังหารไปซึ่งมันทำให้ผู้บัญชาการมนุษย์มดหวาดกลัวจนต้องถอยทัพไป ส่วนเจียงอี้ก็เก็บแบบการหมุนเวียนของสายพลังงานเข้ามาในหัวของเขาได้อย่างสมบูรณ์
“เยี่ยม!หากข้าเข้าใจมันได้และเพิ่มมันเข้าไปในค่ายกลอาคม มันจะต้องทรงพลังมากแน่ๆ!”
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็นึกขึ้นได้ว่าหยุนเฟยที่อยู่ในราชวังจักรพรรดิในตอนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญชาญการสร้างอาคมยับยั้งเขาคิดแผนเอาไว้ว่าเขาจะส่งต่อเส้นทางการหมุนเวียนของพลังงานนี้ให้กับนางและดูว่านางจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันและสร้างอาคมยับยั้งที่ทรงพลังขึ้นมาได้หรือไม่
หากว่าผู้ใดสามารถสร้างเกราะม่านพลังที่แข็งแกร่งที่จะสามารถปัดเป่าหรือแม้แต่สะท้อนการโจมตีจากศัตรูกลับไปได้มันก็คงจะช่วยให้พวกเขาอยู่รอดได้นานขึ้น
“พวกมนุษย์นี่ยังไม่หยุดกันอีก!พวกเจ้ากล้าก้าวเทาเข้ามาในทวีปของข้าและสังหารสหายมนุษย์มดของข้าได้กระไร! เราจะไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปง่ายๆเป็นแน่! มันคงจะดีกว่าหากพวกเจ้าทุกคนหยุดการกระทำของพวกเจ้าและยอมจำนนในตอนนี้ ข้าบอกไว้เลยนะ ข้าได้สั่งให้คนของข้าไปขอความช่วยเหลือแล้ว และกองทัพมนุษย์กลายพันธุ์จะมาที่นี่ในไม่ช้า! เมื่อพวกเขามาถึง พวกเจ้าทุกคนจะต้องตายโดยไม่มีที่ฝังศพอยู่ที่นี่แหละ!”
ผู้บังคัญบัญชามนุษย์มดตะโกนมาจากข้างหน้าด้วยภาษาหลักของแดนเทียนชิงส่วนเจียงอี้ก็ได้สติคืนมาและใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์แผ่ไปรอบๆอย่างรวดเร็ว และเขาก็พบว่ายังมีมดอีกนับพันตนที่วิ่งหนีไปทั่วทุกสารทิศ แม้ว่าชิงหยีจะคอยสังหารพวกมันมาตลอดทาง แต่มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่นางจะสังหารพวกมันทั้งหมดได้ในเวลา
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายด้วยความเย็นชา“เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าไปช่วยชิงหยีให้จบการต่อสู้นี่ให้เร็วที่สุดที! มันจะเสี่ยงมากหากเราอยู่ที่นี่นานเกินไป เราต้องรีบออกจากทวีปมนุษย์กลายพันธุ์ก่อนที่กองทัพมนุษย์กลายพันธุ์จะมาที่นี่ ไม่เช่นนั้น เราจะมีปัญหาใหญ่แน่ๆ” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มและค่อนข้างดังและฟังชัด
บทที่ 560 ต้นกำเนิดของเสี่ยวนู๋
การโจมตีของยอดฝีมือขอบเขตเทียนจุนนั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพลังของเขาหรือนางนั้นทรงพลังเพียงใด
เฟิ่งหลวนโบกมือไปเฉยๆและสภาพแวดล้อมทั้งหมดก็มืดสนิทและกินเวลาไปเพียงไม่กี่วินาที จากนั้นความมืดมิดก็หายไป เจียงอี้และเจียงเสี่ยวนู๋กลับมามองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยความช่วยเหลือจากแสงสีเหลืองบนเขาของเถาอู้
“ตายหมดแล้วหรือ?”
เจียงอี้ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเฟิ่งหลวนกำลังยืนอยู่บนหัวใหญ่ๆของเถาอู้และยิ้มให้เขาเขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขามองไปรอบๆและพบว่ามนุษย์มดทั้งหมดที่นอนอยู่บนพื้นหยุดหายใจแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เห็นว่ามนุษย์มดทั้งหลายต่างมีความหวาดกลัวอยู่ในดวงตาของพวกมันราวกับว่าพวกมันตายไปเพราะความหวาดกลัว
“เยี่ยมยอด!”
เขายกนิ้วโป้งให้เฟิ่งหลวนแล้วถามว่า“เฟิ่งเอ๋อร์ นี่มันพลังแบบไหนกัน? มันน่ากลัวจริงๆ!”
“ท่านก็ชมเกินไปแล้วนายน้อยของข้า นี่เป็นเพียงกลอุบายเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ”
เฟิ่งหลวนพูดอย่างถ่อมตนแม้จะเห็นได้ชัดว่านางภูมิใจเพียงใดใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงและดวงตาที่งดงามของนางก็สว่างขึ้น “มนุษย์มดระดับต่ำเหล่านี้อ่อนแอเกินไปและผู้บัญชาการที่แข็งแกร่งที่สุดได้ถูกชิงหยีสังหารไปแล้ว ตอนที่ข้าปลดปล่อยรูปแบบเต๋าราตรี ไม่มีมนุษย์มดตนใดขยับได้เลย จากนั้นข้าก็เลยปล่อยความสามารถพิเศษของตระกูลข้านั่นก็คือ ข่มขวัญวิญญาณ”
“มันเป็นความสามารถพิเศษที่คอยโจมตีดวงจิตวิญญาณและโดยปกติแล้วจะใช้ในการโจมตีหมู่มันจะไม่ได้ทรงพลังอะไรหากว่าใช้กับศัตรูเพียงเป้าหมายเดียว แต่ความแข็งแกร่งของมันฏ้ยังถือว่าดีมากพอเมื่อใช้กับรูปแบบเต๋าราตรี มันอาจทำให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดหวาดกลัวจนตายได้เลยเพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงมนุษย์มดเหล่านี้เลย แต่ก็แน่นอนว่ามันจะไม่ส่งผลต่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังมากเท่าใดนัก”
“โถ่!”
เจียงอี้และเจียงเสี่ยวนู๋มองหน้ากันอย่างประหลาดใจพวกเขาไม่ได้คิดว่ารูปแบบเต๋าราตรีของเฟิ่งหลวนจะมีพลังที่น่ากลัวเช่นนี้เมื่อรวมกับวิชาข่มขวัญวิญญาณ พวกเขาคิดว่าแม้ว่าจะมีมนุษย์มดเป็นล้านตน แต่มันก็น่าจะง่ายดายเหมือนตัดเค้กสำหรับนางเมื่อมีทักษะที่ทรงพลังเช่นนี้
“นายน้อย!”
“ดูเหมือนว่า…ท่านจะอยากเรียนรู้ทักษะนี้เหมือนกัน?หากท่านต้องการเรียนรู้มัน ข้าจะสอนท่านเอง” เฟิ่งหลวนถามออกมาด้วยความอ้อยอิ่ง
“ไม่จำเป็นไม่จำเป็น!”
เจียงอี้ส่ายมือปฏิเสธเขารู้ดีว่าวิชาข่มขวัญวิญญาณนั้นไร้ประโยชน์สำหรับเขาหากไม่มีรูปแบบเต๋าราตรีเว้นแต่ว่าดวงจิตวิญญาณของเขาจะแข็งแกร่งมาก นอกจากนี้เฟิ่งหลวนเองก็เพิ่งบอกเองว่าทักษะนี้เป็นของตระกูลของนาง แล้วเขาจะดึงนางเข้ามาพัวพันกับสถานการณ์ที่จะต้องทรยศต่อตระกูลของนางได้เช่นไร
“ไปกันเถอะ!”
เขาโบกมือและสั่งให้สัตว์อสูรเถาอู้รีบตรงไปข้างหน้าส่วนชิงหยีก็บินกลับไปอยู่บนหลังของเถาอู้อย่างรวดเร็ว สำหรับเฟิ่งหลวนและนาง ความเร็วของสัตว์อสูรเถาอู้นั้นถือว่าช้าเกินไป แต่ในเมื่อเจียงอี้ไม่ได้บอกให้พวกนางเดินทางไปกันเอง พวกนางจึงต้องตามเถาอู้และค่อยๆไปอย่างช้าๆ
อันที่จริงแล้วเจียงอี้เองก็รู้ดีว่าอสูรเถาอู้นั้นช้าเกินไป แต่เขาก็ให้สัญญากับเจียงเสี่ยวนู๋แล้วว่าเขาจะพานางมาเปิดหูเปิดตาระหว่างการเดินทาง แม้ว่าเจียงเสี่ยวนู๋จะมีพลังมากมายเมื่อนางเปลี่ยนร่างแต่ร่างของนางก็อยู่ได้ไม่นานนัก หากว่านางไม่ได้เปลี่ยนร่างนางก็จะอ่อนแอมากและไม่สามารถเดินทางอย่างรวดเร็วได้ และในเมื่อมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เฟิ่งหลวนหรือชิงหยีแบกนางไปด้วยตลอดทาง เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินทางไปพร้อมกับเถาอู้อย่างช้าๆ
“เปลี่ยนร่าง?”
คิ้วของเจียงอี้เลิกขึ้นและหันไปมองเสี่ยวนู๋และพูดว่า“เสี่ยวนู๋ มันคงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมที่เผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกของเจ้าก็เป็นหนึ่งในมนุษย์กลายพันธุ์? ข้าได้รู้แล้วว่ามนุษย์กลายพันธุ์นั้นจะเหมือนมนุษย์ปกติและจะมีพลังมหาศาลเมื่อพวกมันเปลี่ยนร่าง ไม่ใช่ว่ามันคล้ายกับเจ้าหรอกหรือ? อ้อ ใช่แล้ว เจ้าเคยได้ยินเรื่องเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกบ้างหรือเปล่า เฟิ่งหลวน?”
ต้นกำเนิดของเจียงเสี่ยวนู๋นั้นเป็นปริศนามาโดยตลอดเจียงอี้เองก็รู้เพียงว่านางเป็นลูกบุญธรรมของอีเพียวเพียวและนางเป็นเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึก นอกจากนั้นเขาก็ไม่รู้อะไรอีกเลย เจียงอี้จึงอยากจะตามหาต้นกำเนิดของนางมากขึ้น ไม่ว่าเสี่ยวนู๋จะอยากกลับไปยังเผ่าพันธุ์ของนางหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เจียงอี้รู้เพียงว่าอย่างน้อยเขาก็ควรจะช่วยนางหาถิ่นกำเนิดของนางเท่านั้น
“ข้าก็ไม่รู้เลยเจ้าค่ะ….”
เจียงเสี่ยวนู๋เองก็ขมวดคิ้วของนางนางก็รู้สึกสับสนเช่นกันหลังจากได้ยินคำพูดของเจียงอี้และเห็นว่ามนุษย์มดนั้นเป็นอย่างไร นางหันไปหาเฟิ่งหลวนด้วยสายตาคาดหวัง
เฟิ่งหลวนมองไปที่เจียงเสี่ยวนู๋สักพักแล้วก็ส่ายหัว“ไม่หรอก แม่หญิงเสี่ยวนู๋ไม่น่าจะใช่หนึ่งในมนุษย์กลายพันธุ์ พวกนั้นไม่ได้มีพลังขนาดนั้นและนางก็น่าจะอยู่ในเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งกว่านี้ ตระกูลข้ามีประวัติของเผ่าพันธุ์ทั้งหมดในแดนเทียนชิง แต่เราก็ไม่เคยได้ยินเรื่องเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกเลย นอกจากนี้ แม้ว่ามนุษย์กลายพันธุ์จะเหมือนมนุษย์มากแต่พวกนั้นก็ยังมีลักษณะนิสัยของอสูรอยู่ที่แก่นร่างกาย แต่ข้าไม่พบลักษณะนั้นจากแม่หญิงเสี่ยวนู่เลย กลิ่นอายของนางกลับเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง แม้ว่านางจะเปลี่ยนร่างแล้วก็ตาม ดังนั้นนางจึงไม่น่าจะเป็นพวกเดียวกับมนุษย์กลายพันธุ์แน่นอน”
“เอ่อ….”
ตอนนี้ทั้งเจียงอี้และเจียงเสี่ยวนู๋ต่างก็พากันสับสน หากเผ่าพันธุ์ของเจียงเสี่ยวนู๋มีพลังมาก เช่นนั้นมันก็น่าจะต้องเป็นที่เลื่องลือในแดนเทียนชิงสิ แล้วทำไมตระกูลเฟิ่งจึงไม่มีเรื่องราวของเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกเลยล่ะ?
เฟิ่งหลวนเห็นความผิดหวังในดวงตาของพวกเขานางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ปลอบโยนว่า “อย่าได้ท้อใจไปเลยนายน้อยและแม่หญิงของข้า แม้ว่าบรรพบุรุษข้าจะเคยไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาหลายครั้งแล้ว แต่พวกเขาก็ไปเพียงแถวๆตะวันตกของทวีปนั้นเท่านั้น ยังมีเรื่องอื่นๆอีกมากมายเกี่ยวกับทวีปจักรพรรดิบูรพาที่พวกเขายังไม่รู้ เราจะหาทางรวบรวมข้อมูลเมื่อเราไปถึงที่นั่นกันนะ!”
“ได้!”
เจียงอี้และเจียงเสี่ยวนู๋ต่างพยักหน้าเห็นด้วยทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นมีขนาดมหึมาและมีเผ่าพันธุ์มากมาย และในเมื่อบรรพบุรุษตระกูลเฟิ่งเองก็ไม่ได้ไปยังใจกลางทวีปด้วยซ้ำ ข้อมูลที่พวกเขารวบรวมมาได้จึงมีอยู่น้อยนิด
ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึกของเสี่ยวนู๋เพิ่งจะไปถึงขั้นสูงสุดของระดับแรกแต่ความแข็งแกร่งของนางกลับอยู่ที่ขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดแล้ว ข้านึกภาพไม่ออกเลยว่าเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกนั้นจะทรงพลังขนาดไหน หากเราเจอเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกของเสี่ยวนู๋ที่ทวีปจักรพรรดิบูรพา เราก็อาจจะขอความช่วยเหลือจากพวกเขาเพื่อไปช่วยซูรั่วเสวี่ยได้….
เจียงอี้มีความคาดหวังกับทวีปจักรพรรดิบูรพามากขึ้นเรื่อยๆเมื่อความคิดของเขาแล่นผ่านมา
….
ตูม!ตูม! ตูม!
มีการต่อสู้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินทวีปมนุษย์กลายพันธุ์การเดินทางใต้พื้นดินดูเหมือนจะไม่ใช่ความคิดที่ดีสำหรับพวกเขาเท่าไหร่นัก
หากพวกเขาอยู่ในทวีปอื่นๆมันก็คงจะปลอดภัยที่พวกเขาจะเดินทางไปใต้ดินเพราะโดยปกติแล้วจะมีสัตว์อสูรหลบซ่อนอยู่ใต้ดินไม่มากนัก แต่มันไม่ใช่กับทวีปมนุษย์กลายพันธุ์ เพราะมีมนุษย์กลายพันธุ์มากมายนับไม่ถ้วนที่เคยอาศัยอยู่ใต้ดินเช่น มนุษย์มด, มนุษย์อสรพิษ, มนุษย์หนูและมนุษย์แมงป่อง
ทวีปมนุษย์กลายพันธุ์นั้นมีเผ่าพันธุ์มากมายเกินไปและพวกมันก็แพร่พันธุ์เร็วเกินไปดังนั้นแต่ละเผ่าพันธุ์ก็จะมีอาณาเขตของเผ่าพันธุ์ตนเอง
เจียงอี้และคนอื่นๆต้องเผชิญกับการโจมตีจากมนุษย์กลายพันธุ์แทบจะทุกชั่วโมงที่พวกเขาเดินทางแม้ว่าเจียงอี้จะให้เฟิ่งหลวนและชิงหยีสังหารมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดทุกครั้ง แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะซ่อนตัวจากมนุษย์กลายพันธุ์ที่อยู่ใต้ดินได้ สุดท้ายแล้วมันคือเขตแดนของพวกเขา การมีซากศพจำนวนมากถูกทิ้งไว้ตามทาง มนุษย์กลายพันธุ์ก็จะถูกเตือนอย่างแน่นอน
ดังนั้นจึงมีมนุษย์กลายพันธุ์โผล่มามากขึ้นเรื่อยๆทำให้ความเร็วในการเดินทางช้าลงมาก มนุษย์มดเข้ามาหาพวกเขาอยู่เรื่อยๆในช่วงสองสามวันที่พวกเขาเข้ามายังทวีปมนุษย์กลายพันธุ์นี้ ในช่วงสองสามวันมานี้เฟิ่งหลวนและชิงหยีได้สังหารมนุษย์กลายพันธุ์ไปมากกว่าหมื่นกว่าแสนตนแล้ว
แต่ในช่วงสองสามวันมานี้เจียงอี้ก็ค่อนข้างผ่อนคลาย ด้วยการโจมตีที่ทรงพลังของชิงหยีและเฟิ่งหลวน มันจึงทำให้เขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้เลย
แต่เขาก็รู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ากองทัพมนุษย์กลายพันธุ์กำลังเดินทัพมาอย่างต่อเนื่องการสังหารมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ เพราะหากมนุษย์กลายพันธุ์ถูกสังหารมากเกินไป พวกมนุษย์กลายพันธุ์ที่อยู่บนผืนดินที่แข็งแกร่งและทั้งทวีปนี้จะรู้ได้ถึงสิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นใต้ดินอย่างแน่นอน และหากว่าโถงวรยุทธมีโถงสาขาอยู่ที่นี่ พวกเขาก็จะถูกเปิดเผยตัวตนในทันที
เมื่อคิดเช่นนั้นเจียงอี้ก็มองไปรอบๆและตะโกนว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ ชิงหยี สังหารมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดให้เร็วที่สุด! เราต้องขึ้นไปยังพื้นดินเดี๋ยวนี้แล้ว เราจะหาจักรพรรดิและสังหารเขาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่เช่นนั้น โถงวรยุทธจะเจอเราก่อนที่เราจะข้ามทวีปเสียอีก!”