เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 563-564
บทที่ 563 จักรพรรดิถูเซียน
“เฟิ่งเอ๋อร์ตอนนี้แหละ!”
ตอนที่เจียงอี้รับมือกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่มีความสามารถศาสตร์เวทย์แทบทุกประเภทเจียงอี้ก็ไม่กล้าประมาท เขาปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาเพื่อคอยตรึงทุกคนเอาไว้และแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาด้วยเช่นกัน ทันทีที่มีผู้ใดคิดจะลงมือ เขาจะปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมาสังหารผู้นั้นทันที
ซู่!ซู่!
เจตจำนงสังหารสามารถตรึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังได้แต่กับเฟิ่งหลวนแล้วมันกระทบกับนางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางปล่อยกลิ่นอายของนางออกมาและฝ่ามือก็เรืองรองไปด้วยแสงสีดำซึ่งรวมกันเป็นพลังดัชนี จากนั้นนางก็ปล่อยพลังดัชนีไปยังมนุษย์กลายพันธุ์ที่ถูกเจตจำนงสังหารของเจียงอี้ตรึงไว้อยู่
“อ๊ะ?”
จักรพรรดิเหมิงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขายังคงพูดออกมาได้แต่มนุษย์กลายพันธุ์ตนอื่นๆไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้เลยแม้แต่น้อย พวกนั้นถูกเจตจำนงสังหารกดลงไปที่พื้น ดวงตาของพวกเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเพราะไม่สามารถขยับได้เลยและทำได้เพียงเฝ้ามองพลังดัชนีสีดำที่กำลังเข้าใกล้พวกเขา
มันเป็นเรื่องจริงที่พวกเขาทุกตนมีทักษะพิเศษบางอย่างแต่เจตจำนงสังหารและกลิ่นอายของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนนั้นหนักหนาเกินไปจนพวกเขาไม่สามารถต่อสู้กลับได้ นอกจากนี้ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถขยับตัวได้แล้วพวกเขาจะโจมตีได้อย่างไรกัน?
ปึงปึง!
ศีรษะของมนุษย์กลายพันธุ์ค่อยๆถูกระเบิดออกทีละตนราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานการโจมตีด้วยแก่นแท้พลังจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนนั้นถือว่าโหดร้ายมากแม้แต่กับร่างที่แข็งแกร่งของมนุษย์กลายพันธุ์เองก็ตาม
เพียงพริบตาเดียวผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังทั้งสิบห้าของฝั่งมนุษย์กลายพันธุ์ก็ถูกสังหารไปจนเหลือเพียงจักรพรรดิเหมิงและนายน้อยถูรุ่ย เฟิ่งหลวนเหลือบมองไปที่นายน้อยถูรุ่ยและกระซิบกับเจียงอี้ว่า “นายน้อย มนุษย์มังกรนั่นดูเหมือนจะมีสถานะที่สูงศักดิ์มากในหมู่มนุษย์กลายพันธุ์นะเจ้าคะ เราจะสังหารมนุษย์มังกรผู้นี้ด้วยหรือ?”
“ฆ่าซะ!”
เจียงอี้ไม่ได้คำนึงถึงฐานะหรือสิ่งใดนายน้อยถูรุ่ยผู้นั้นมองไปที่เฟิ่งหลวนอย่างกระหายและในตอนนี้ก็ดูเหมือนเขาอยากจะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆแทบแย่อยู่แล้ว แล้วเจียงอี้จะปล่อยให้เขารอดได้อย่างไร?
“ไม่เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก!”
เมื่อถูรุ่ยมองเฟิ่งหลวนกำลังรวบรวมพลังดัชนีและกำลังจะสังหารเขากลิ่นอายที่ทรงพลังก็พุ่งพล่านออกมาจากร่างของเขา เขาพยายามเก็บความกลัวอย่างสุดความสามารถจากนั้นเขาก็กัดฟันและตะโกนว่า “ปู่ของข้ามีนามว่าถูเซียน หากไอ้มนุษย์สารเลวนี่กล้าสังหารข้า ปู่ของข้าจะได้กำจัดมวลมนุษยชาติแน่ๆ!”
จักรพรรดิเหมิงเองก็กลัวเช่นกันเขาตะโกนออกมาด้วยพลังทั้งหมดของเขา “นายน้อยถูรุ่ยมีสถานะที่สูงศักดิ์มาก หากเจ้ากล้าสังหารเขา จะข้าหรือแม้แต่สวรรค์ก็ช่วยเจ้าไม่ได้! มนุษย์ทุกคนจะต้องตาย….”
“ฮึ่ม!”
ถูรุ่ยและจักรพรรดิเหมิงจะไม่เป็นเช่นไรเลยหากพวกเขายังคงเงียบต่อไปเจียงอี้รู้สึกโกรธกับคำพูดของพวกเขาเป็นอย่างมาก เขาชิงชังกับการถูกขู่มาตลอดชีวิตของเขา และเมื่อเขาโกรธขึ้นมาแล้ว เขาจะสังหารพวกนั้นทั้งหมดโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร ทันใดนั้น ดาบมังกรเพลิงบนมือของเขาก็สว่างวาบขึ้นและมังกรเพลิงตัวจิ๋วนับหมื่นก็ส่งเสียงผ่านอากาศออกมาและมุ่งตรงไปทางถูรุ่ย
“นายน้อยอย่า….”
เฟิ่งหลวนฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้นางตะโกนออกมาและต้องการที่จะหยุดเขาแต่มังกรเพลิงจิ๋วก็ได้ปกคลุมไปรอบตัวถูรุ่ยแล้ว เกล็ดบนร่างของเขาค่อยๆระเบิดออกทีละเกร็ด จากนั้นไม่นาน ร่างของเขาก็ถูกระเบิดเป็นเนื้อสับไป ถูรุ่ยอยู่ขอบเขตจินกังขั้นที่สองและอ่อนแอกว่าเจียงอี้มากเกินไป
ซู่ซู่!
ทันทีที่ถูรุ่ยตายลงก็มีแสงสาดส่องออกมาจากศีรษะของเขาและพุ่งออกไปราวกับสายฟ้าอย่างรวดเร็วและหายไปในไม่กี่วินาทีต่อมา
“มันคืออะไรน่ะ?”
เจียงอี้กระพริบตาด้วยความสับสนแสงนั้นเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นคือ ตอนที่เขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์มองไปที่แสงนั้น เขาก็ไม่พบสิ่งใดเลย มันเป็นเพียงแค่แสงเฉยๆซึ่งมันแปลกมากๆ
“เกิดอะไรขึ้น?”
เขามองดูร่างนั้นไม่กี่ครั้งหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าทั้งร่างกายและวิญญาณของถูรุ่ยถูกทำลายแล้ว เขาก็ปล่อยเรื่องนี้ไปเลย เขามองไปที่เฟิ่งหลวนด้วยดวงตาสีแดงเลือดและเมื่อเขาเห็นว่าดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เขาก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ถูเซียนผู้นั้นมีชื่อเสียงมากเลยหรือ?”
เฟิ่งหลวนกลืนน้ำลายและหายใจเข้าไปลึกๆก่อนที่จะพูดว่า“ข้าลืมไปแวบหนึ่ง ดูเหมือนว่าหนึ่งในเก้าจักรพรรดิแห่งทวีปจักรพรรดิบูรพาจะมีผู้ที่มีนามว่า จักรพรรดิแห่งมวลอสูรถูเซียน”
“อะไรนะ?”
เจียงอี้ถึงกับตกตะลึงไปพักหนึ่งปรากฏว่าครั้งนี้เขาทำเกินไป เขาสังหารหลานชายของจักรพรรดิถูเซียนผู้ที่เป็นหนึ่งในเก้าจักรพรรดิแห่งทวีปจักรพรรดิบูรพา?!
เก้าจักรพรรดิแห่งทวีปจักรพรรดิบูรพา!
พวกเขาคือผู้ที่มีสถานะที่ทรงพลังที่สุดในแดนเทียนชิงทั้งหมดไม่ต้องพูดถึงพลังการต่อสู้ที่เหนือมนุษย์ของเขาเลย จากการที่ตระกูลของพวกเขามีอิทธิพลไปทั่วแดนเทียนชิงและดูจากแค่การที่โถงวรยุทธบอกว่าเขาอยู่ในอำนาจของจักรพรรดิอุดรหวู่ซางและที่ตู๋กูฉิวบอกว่าโถงวรยุทธมีอยู่ทุกที่ในแดนเทียนชิงนั่นก็พอจะรู้แล้ว
เจียงอี้ได้ทำให้โถงวรยุทธขุ่นเคืองและทูตสวรรค์ของโถงวรยุทธกำลังตามหาเขาอยู่อย่างแน่นอนแล้วตอนนี้เขากลับไปสังหารหลายชายของจักรพรรดิของหมู่มวลอสูรอีก?! เมื่อตระกูลถูรู้ข่าวนี้ พวกเขาจะต้องส่งคนมาตามล่าเขาอย่างแน่นอน การถูกสองมหาอำนาจไล่ล่านั้น แม้ว่าโลกจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่เขาจะไปซ่อนตัวที่ไหนได้อีก? เพียงแค่นึกถึงมันก็ทำให้หัวของเจียงอี้ปวดร้าวไปหมด
เขาย้ายร่างฉับพลันไปและเก็บดาบมังกรเพลิงกลับไปจากนั้นก็ชกท้องส่วนล่างของจักรพรรดิเหมิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเมื่อตันเทียนของเขาแตกร้าวไปแล้ว เจียงอี้ก็ถอนเจตจำนงสังหารและเตะเขาปลิวลอยไปพร้อมกับถามอย่างเย็นชาว่า “มนุษย์มังกรนี่เป็นหลานของจักรพรรดิถูเซียนจริงๆหรอ?”
“เหอะเหอะ!”
เลือดยังคงไหลออกมาจากปากของจักรพรรดิเหมิงเขาคุกเข่าลงไปและจ้องมอเจียงอี้ด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว “ไอ้มนุษย์ขยะ ตอนนี้เจ้ากลัวซะแล้วหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่า ถูรุ่ยเป็นหลานชายขององค์จักรพรรดิถูเซียน องค์จักรพรรดิมีหลานชายมากมายแต่ก็มีเพียงสี่คนเท่านั้นที่เขาโปรดปรานและนายน้อยถูรุ่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น เจ้ามนุษย์ขยะ เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเจ้าจบเห่แล้ว จงรอการตามล่าอย่างไม่จบสิ้นจากจักรพรรดิถูเซียนเสียเถอะ…”
“ฮึฮึ!ข้าดูหวาดกลัวง่ายเช่นนั้นเลยรึ?”
เจียงอี้หัวเราะเยาะและกล่าวว่า“เราอยู่ห่างจากทวีปจักรพรรดิบูรพาอยู่พอสมควร จักรพรรดิถูเซียนนั่นเป็นเทพรึไง? เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าใครสังหารหลานเขา? ข้าเกรงว่าจะไม่มีผู้ใดเห็นใบหน้าของพวกเรานอกจากเจ้าแล้วล่ะ แม้ว่าจักรพรรดิถูเซียนต้องการจะตรวจสอบ เขาก็จะหามือสังหารไม่เจอ ถูรุ่ยตายไปแล้ว ข้าเกรงว่าจักรพรรดิถูเซียนจะมาล้างตระกูลของเจ้าก่อนน่ะสิ”
“ฮึ่ม!”
จักรพรรดิเฟิ่งหมิงหน้าซีดเผือดแต่ในไม่ช้าเขาก็พร้อมที่จะเสี่ยงทุกอย่าง เขาเย้ยหยันไปที่เจียงอี้และพูดว่า “เจ้าไม่สังเกตเห็นแสงบางอย่างหลังจากที่นายน้อยถูรุ่ยตายแล้วหรือไง? ฮ่ะฮ่า….มันคือทักษะพิเศษของตระกุลถู เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกคนสำคัญในตระกูลของพวกเขาถูกสังหาร มันจะจดจำกลิ่นอายวิญญาณของศัตรูเอาไว้ เจ้าสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเจ้าได้ แต่เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนกลิ่นอายวิญญาณได้หรอกนะ ผู้เชี่ยวชาญตระกูลถูจะเจอตัวเจ้าเพราะกลิ่นอายวิญญาณของเจ้า เจ้าก็เพียงแค่รอวันตายไปซะตั้งแต่ตอนนี้เถอะ!”
ไอ้ฉิบหาย!
เจียงอี้ประหลาดใจอย่างลับๆมันมีทักษะเวทย์มนตร์เช่นนี้อยู่ในโลกนี้ด้วยหรือนี่?
เมื่อเขามองไปยังเฟิ่งหลวนนางก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึมและส่งข้อความเสียงไปให้เขา “นายน้อย ตระกูลเฟิ่งของเราเองก็น่าอาจจะมีบันทึกเกี่ยวกับทักษะเวทย์มนตร์นี้เช่นกันเจ้าค่ะ ไม่ใช่เพียงแต่ตระกูลถูเท่านั้น แต่ยังมีตระกูลอื่นๆมากมายที่มีทักษะนี้เช่นกัน ตระกูลที่เลื่องลือบนทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นมีการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างมาก ผู้ใดกล้าที่จะสังหารลูกหลานของพวกเขาก็จะถูกไล่ล่าอย่างไม่จบสิ้น นายน้อย เรากำลังเจอเรื่องร้ายแรงแล้วเจ้าค่ะ”
“ถึงข้าจะต้องตายแต่ข้าก็จะตายอย่างสมศักดิ์ศรี! ใครสนกันล่ะ?”
เจียงอี้เย้ยหยันและไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไปยังไงโถงวรยุทธก็กำลังตามหาตัวเขาอยู่แล้ว หากเขาพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องตายด้วยน้ำมือของโถงวรยุทธอยู่ดี แต่ถ้าหากว่าเขาสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาได้ มันก็อาจจะไม่ได้เป็นอะไรมากนักหากว่าเขาจะมีศัตรูเพิ่มมาอีกหนึ่งพวก
“เฟิ่งเอ๋อร์ปรับแต่งคนน่ารังเกียจนี่ที!”
เจียงอี้สงบสติอารมณ์ของเขาจากนั้นเฟิ่งหลวนก็มาหาเขาอย่างรวดเร็วและปล่อยการโจมตีพิเศษออกมา จักรพรรดิเหมิงที่พิการไปแล้วก็ตาเหลือกและสลบไป นางจึงวางมือข้างหนึ่งที่ส่องแสงสีเขียวไว้บนศีรษะของเขาและเริ่มปรับแต่งจักรพรรดิเหมิงผู้นี้
นางและเจียงอี้ได้ตกลงกันแล้วว่าจะปรับแต่งจักรพรรดิเหมิงเพื่อที่เขาจะได้ช่วยให้พวกเขาสามารถผ่านทวีปมนุษย์กลายพันธุ์ไปได้โดยไม่ต้องมีใครรู้
จักรพรรดิเหมิงอยู่ขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดและได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเจียงอี้มันจึงใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียวในการปรับแต่งเขาให้กลายเป็นทาสวิญญาณได้อย่างง่ายดาย
เจียงอี้คอยยืนอยู่ข้างๆเฟิ่งหลวนและคอยคุ้มกันตลอดกระบวนการเขาจะรู้สึกโล่งใจเมื่อเฟิ่งหลวนลืมตาขึ้นมาแล้วเท่านั้น ครั้งนี้จักรพรรดิเหมิงเองก็ตื่นขึ้นมาเช่นกันและเขาเลือกที่จะพูดคุยกับนางอย่างเคารพ “นายหญิง”
“เฟิ่งเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยมากเลยสินะ”
เมื่อเขาเห็นความเหนื่อยล้าในดวงตาของนาง,เหงื่อบนหน้าผากและผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง เขาก็เอื้อมมือไปรวบผมทัดหูให้นางโดยไม่รู้ตัวและพูดว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ ลำบากมากมั้ย? บอกให้จักรพรรดิผู้นี้ส่งรถม้ามาให้เราและรีบไปยังทวีปเฟยหม่ากันเลยเถอะ”
“ข้ายังไหวเจ้าค่ะ”
เฟิ่งหลวนก้มหัวลงไปอย่างเขินอายและรีบสั่งจักรพรรดิเหมิงจากนั้นเขาก็เดินลงจากเนินเขาและไปจัดเตรียมสิ่งต่างๆทันที
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อมารถม้าก็บินทะลุท้องฟ้ามาถึงที่นี่ จากนั้นเจียงอี้และเฟิ่งหลวนเผาศพของถูรุ่ยและคนอื่นๆก่อนที่จะขึ้นรถม้าและบินไปทางทิศตะวันออกทันที
บทที่ 564 ยืมดาบฆ่าคน
เมื่อจักรพรรดิเหมิงเป็นผู้ที่กำลังนำทางอยู่การเดินทางก็ราบรื่นและไม่มีอุปสรรคใดๆ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงพวกเขาก็มาถึงทะเลทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแล้ว
ทวีปมนุษย์กลายพันธุ์แยกตัวออกจากทวีปเฟยหม่าด้วยทะเลที่ล้อมรอบด้วยแผ่นดินและมีปีศาจทะเลที่ทรงพลังไม่มากเท่าใดนักหลังจากที่ข้ามทะเลไปแล้วพวกเขาก็จะไปถึงทวีปเฟยหม่า
“นายน้อยนี่คือทะเลทะเลอสูรโบยบินหรือเจ้าคะ? ที่นี่มีนกทะเลเต็มไปหมดเลย”
รถม้าค่อยๆจอดลงที่ทะเลและร่างสีเขียวก็เดินออกมาและมองไปทั่วแถบนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นในไม่ช้า เจียงอี้, เฟิ่งหลวนและหยุนเฟยก็ตามออกมาเช่นกัน
“พักที่นี่สักคืนก่อนแล้วกันชิงหยี เอากระโจมออกมากางที แล้วพรุ่งนี้เราค่อยออกเดินทางกันต่อ”
เจียงอี้โบกมือและชิงหยีก็รับคำสั่งเขาและเริ่มกางกระโจมด้านเจียงเสี่ยวนู๋ก็ตื่นเต้นมาก นางไม่ได้สนใจเจียงอี้อีกต่อไปและวิ่งไปที่ชายหาดจนทำให้ฝูงนกทะเลต่างพากันกระเจิง
บรึฟ!
ราชวังจักรพรรดิปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือของเจียงอี้และมีคนสองคนปรากฏออกมาที่เขาอยากจะค้างคืนที่นี่ก็เป็นเพราะว่าเขารู้สึกได้ว่าทั้งจ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยได้ออกจากสันโดษแล้ว พวกเขาแทบจะไม่ออกจากสันโดษเลย ดังนั้นเจียงอี้ก็เลยอยากพาพวกเขาออกมารับอากาศบริสุทธิ์เสียบ้าง
“เจียงอี้!”
“จอมพล!”
หยุนเฟยและจ้านอู๋ซวงนั้นกำลังพากันกินเนื้อตากแห้งอยู่ในราชวังจักรพรรดิทันใดนั้นแสงสีขาวก็สว่างวาบต่อหน้าพวกเขาและพวกเขาก็พบว่าตัวเองออกมาอยู่ด้านนอกราชวังแล้ว พวกเขาต่างพากันดีอกดีใจที่ได้เห็นเจียงอี้มองพวกเขาอย่างยิ้มแย้ม
“พี่ใหญ่อู๋ซวง,หยุนเฟย”
เจียงอี้กอดจ้านอู๋ซวงด้วยความคิดถึงและเมื่อหยุนเฟยกวาดสายตาไปเจอชิงหยีและเฟิ่งหลวนที่กำลังจัดการกระโจมนางก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัยว่า “จอมพล พวกนางเป็นใครหรือ?”
เขาอธิบายสั้นๆก่อนที่เขาจะขอให้จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยพาเจียงเสี่ยวนู๋ไปเดินเล่น
จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยต่างก็ไม่ถามอะไรต่อหลังจากที่อยู่ในราชวังจักรพรรดิมานาน พวกเขาก็รู้สึกดีมากที่ได้ออกมาเดินเล่นด้านนอกและรีบทิ้งเจียงอี้ไปในทันที
“เฟิ่งเอ๋อร์!”
เจียงอี้โบกมือให้นางซึ่งนางเองก็เข้าใจว่าเขาต้องการสิ่งใดจากนั้นก็รีบเดินไปหาจักรพรรดิเหมิงและสั่งว่า“เจ้าใช้รถม้านี่กลับไปยังเมืองหลวงของเจ้าเสีย แล้วเรียกผู้เชี่ยวชาญของเผ่าพันธุ์เจ้าทั้งหมดและประกาศเรื่องการตายของถูรุ่ย จากนั้นก็ออกประกาศค้นหานายน้อยเฟยหยู นี่คือภาพของเขา! นำมันไปแปะไว้ในทุกๆเผ่าและทุกเมืองในทวีปซะ…”
เฟิ่งหลวนจัดการบอกรายละเอียดให้กับเขาและจากนั้นจักรพรรดิเหมิงก็ขึ้นรถม้ากลับไปยังเมืองหลวงและนำรูปเสมือนกลับไปด้วยเฟิ่งหลวนและเจียงอี้นั้นไม่ได้สังหารเขาแต่ก็ไม่ใช่เพราะความปรารถนาดี แต่มันเป็นเพราะพวกเขาจะให้เขาทำตามแผนการที่พวกเขาคิดเอาไว้
ตระกูลถูจะโกรธมากหลังจากที่รู้ว่าถูรุ่ยถูกสังหารและในไม่ช้าจะมีเหล่าทูตมาตามหาตัวมือสังหาร
ดังนั้นเจียงอี้และเฟิ่งหลวนจึงแต่งนายน้อยเฟยหยูคนนี้ขึ้นมาและวาดรูปเสมือนของเขาเขานั้นดูคล้ายกับเจียงอี้ แต่….คนผู้นั้นมีเขาเล็กๆอยู่สองเขาบนหัว
ผู้เชี่ยวชาญของตระกูลเฟิ่งเคยผ่านทวีปเฟยหม่ามาก่อนและคุ้นเคยกับทวีปนี้เป็นอย่างดีเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังที่สุดของแถบนั้นคือเผ่าพันธุ์ของทวีปเฟยหม่า ซึ่งทุกคนจะมีเขาเล็กๆอยู่บนหัวสองเขา
เจียงอี้และเฟิ่งหลวนวางแผนที่จะทำให้ทวีปเฟยหม่ากลายเป็นผู้ที่สังหารถูรุ่ยมันมีข้อดีอยู่สองประการ ประการแรกคือทวีปเฟยหม่านั้นทรงพลังมาก เป็นที่เล่าขานกันว่าพวกเขามีอิทธิพลที่น่าเกรงขามต่อทวีปจักรพรรดิบูรพา หากตระกูลถูต้องขุ่นเคืองกับทวีปเฟยหม่า พวกเขาอาจจะเลิกแก้แค้นไปก็ได้
ประการที่สองคือหากทูตนำเหล่าผู้เชี่ยวชาญมนุษย์กลายพันธุ์ไปยังทวีปเฟยหม่าเพื่อตามหามือสังการก็อาจจะทำให้ทวีปเฟยหม่าวุ่นวายได้เช่นกันและพวกเขาก็จะปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาผ่านทวีปเฟยหม่าไปแล้ว
มันเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยม!
แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์แล้วว่ามันจะได้ผลตามที่ปรารถนาหรือไม่
หลังจากที่จักรพรรดิเหมิงจากไปแล้วเจียงอี้ก็ขอให้เฟิ่งหลวนคอยคุ้มกันขณะที่เขาไปตามหาจ้านอู๋ซวงและคนอื่นๆเพื่อพูดคุยกัน
เขาดื่มและสนทนากับจ้านอู๋ซวงเจียงอี้ได้เล่าประสบการณ์ทั้งหมดของเขาในช่วงที่ผ่านมาและสิ่งที่เกิดขึ้นกับเฉียนว่านก้วน ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่คาดไว้ จ้านอู๋ซวงไม่ได้อิจฉาเฉียนว่านก้วนและรู้สึกยินดีอย่างใจจริง
จ้านอู๋ซวงนั้นเป็นคนที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเขาต้องการสิ่งใดเขาเป็นคนมั่นใจและมีความทะเยอทะยาน แม้ว่าเขาจะอยู่เพียงขั้นที่หกของขอบเขตเสินโหยวแต่เขาก็ฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง โอกาสที่จะไปถึงขอบเขตจินกังหรือขอบเขตเทียนจุนนั้นยังอีกยาวไกลดังนั้นการปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณอาจจะกลับมาทำลายตัวเขาเองก็ได้
เจียงอี้ได้ให้เส้นทางการหมุนเวียนพลังที่เขาได้รับจากร่างของมนุษย์มดแก่หยุนเฟยและนางก็ดูสนอกสนใจอย่างมากหยุนเฟยชื่นชอบศาสตร์เวทย์และอาคมยับยั้งมาแต่เด็ก หลังจากที่เจียงอี้มอบตำราอาคมยับยั้งของจอมเวทย์ให้นางแล้ว นางก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อศึกษาและฝึกฝนมัน ในช่วงที่มีการสู้รบในเมืองเซี่ยยวี่ อาคมยับยั้งของนางได้ขวางกองทัพพันธมิตรอยู่นานซึ่งมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางมีความสามารถในเรื่องอาคมยับยั้งเป็นอย่างมาก
จากนั้นทุกคนก็พากันไปพักผ่อนในช่วงกลางคืน
รุ่งเช้าเจียงอี้พาจ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยกลับเข้าไปข้างในราชวังจักรพรรดิ จากนั้นเขาก็ขี่สัตว์อสูรหยาจื้อไปกับเฟิ่งหลวน, ชิงหยีและเจียงเสี่ยวนู๋ลงใต้ทะเลไป
เฟิ่งหลวนมีรถม้าบินและพวกเขาสามารถบินข้ามทะเลอสูรโบยบินไปได้สบายๆแต่พวกเขาก็จะกลายเป็นเป้าที่ใหญ่เกินไป ยังไงเสียก็ไม่มีปีศาจทะเลที่ทรงพลังอยู่แถวๆนี้มากมายอยู่แล้ว ฉะนั้นการใช้เส้นทางใต้น้ำก็จะปลอดภัยกว่ามาก
…
ตึกตึก ตึก ตึก!
หลังจากที่เจียงอี้และคนของเขาออกไปได้สักพักก็มีชายชุดดำปรากฏขึ้นในป่าที่ชายหาดซึ่งทุกคนสวมผ้าคลุมหน้าและไม่มีทางเห็นใบหน้าของพวกเขาได้
ชายชุดดำสี่คนยืนเป็นวงกลมล้อมรอบชายผู้หนึ่งอยู่และป้องมือของพวกเขา“ท่านประมุขโถงวรยุทธ เจียงอี้และคนของเขาออกไปแล้ว พวกเราจะไล่ตามไปหรือไม่ขอรับ?”
“ไล่ตาม?ไล่ตามไปยังไง?”
ชายที่ถูกเรียกว่าประมุขโถงวรยุทธกล่าวขณะที่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเผยใบหน้าที่แก่ชราเล็กน้อยเขาส่ายหัวและพูดว่า “จักรพรรดิเหมิงกลายเป็นทาสวิญญาณของพวกนั้นไปแล้ว นายน้อยถูรุ่ยและหัวหน้าเผ่าทั้งสิบห้าคนก็ถูกสังหารด้วย ด้วยความสามารถของเรา เราก็คงเดินเข้าไปหาความตายเท่านั้นแหละ”
ชายทั้งสี่พยักหน้าและมองไปที่ทะเลทางตะวันออกด้วยความหวาดกลัวหนึ่งในนั้นถามว่า “แล้วเราจะทำเช่นไรกันดีขอรับ? เราจะมองพวกเขาจากไปโดยไม่ทำอะไรเลยหรือขอรับ? แล้ว…..เราควรบอกท่านประมุขโถงหลักเกี่ยวกับการสังหารถูรุ่ยและขอให้ตระกูลถูส่งคนไปตามล่าเจียงอี้ดีหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ไม่ต้อง!”
ประมุขโถงวรยุทธเย้ยเยาะและกล่าวว่า“ไม่เพียงแต่พวกเราจะไม่บอกตระกูลถูแล้ว เราจะโน้มน้าวพวกเขาด้วยว่าแท้จริงแล้วเป็นทวีปเฟยหม่าที่สังหารถูรุ่ยในตอนที่ทูตของถูรุ่ยมาที่นี่ ฮ่าฮ่า….พวกเผ่าพันธุ์เฟยหม่ามันคิดว่าตัวเองนั้นเลอเลิศนัก โถงวรยุทธของเราพยายามแทรกซึมเข้าไปหลายครั้งแต่คนของเราที่ถูกส่งไปใหม่ก็ตายทุกครั้ง คราวนี้แหละ เราจะยืมดาบฆ่าคนและปล่อยให้ตระกูลถูสู้กับเผ่าพันธุ์เฟยหม่า”
“ท่านประมุขช่างเฉียบแหลมนักขอรับ!”
ชายผู้หนึ่งยกย่องเขาแต่ก็มีอีกคนถามว่า“เจียงอี้ทำลายโถงวรยุทธที่ทวีปเทียนชิงและสังหารประมุขสาขาทวีปเฟิ่งหมิงไป ชายผู้นี้เป็นศัตรูคู่อริของเรา ครั้งนี้เราจะปล่อยเขาไปและมองเขาเสวยสุขที่ทวีปเฟยหม่าจริงหรือขอรับ?”
“ไม่หรอกไม่หรอก!”
รอยยิ้มอันชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของประมุขโถงวรยุทธเขากล่าวว่า “มันคงไม่ง่ายที่จะสังหารเจียงอี้ใช่ไหมล่ะ? ส่งข้อความไปยังประมุขสาขาทวีปเฟยหม่า และบอกให้พวกเขาส่งข่าวไปยังนายน้อยเฟยเทียนว่าเฟิ่งหลวนนั้นเป็นร่างฟีนิกซ์ที่แท้จริงที่หายากซึ่งปรากฏขึ้นเพียงครั้งเดียวในทุกๆหมื่นปี นายน้อยเฟยเทียนชอบสะสมสิ่งงดงามที่แปลกๆอยู่แล้ว ตราบใดที่เราบอกเขาถึงเบาะแสของเจียงอี้และคนอื่นๆ เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอื่นต่อแล้วล่ะ…”
“ท่านประมุขเฉียบแหลมมากขอรับ!”
ตอนนี้ทุกคนต่างชื่นชมประมุขของเขาจากก้นบึ้งของหัวใจและป้องมือคำนับเขาชายชราผู้นั้นมองไปยังทะเลตะวันออกอย่างหยิ่งผยองและหัวเราะ “ฮ่าฮ่า เจียงอี้ เจ้าคิดว่าเจ้ารอบคอบมากรึ? เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าโถงวรยุทธของเรารู้ที่อยู่ของเจ้ามานานแล้ว”
ใช่แล้ว!
ชายทั้งห้าคนนี้เป็นสมาชิกโถงวรยุทธสาขาที่ซ่อนตัวอยู่ในทวีปมนุษย์กลายพันธุ์เนื่องจากที่นี่เป็นดินแดนของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ พวกเขาจึงไม่กล้าเผยตัวสู่สาธารณะ ซึ่งมันก็เป็นเช่นเดียวกับอีกสาขาที่อยู่ในทวีปเฟยหม่าที่คอยซ่อนตัวอยู่เช่นกัน
เจียงอี้และคนของเขาได้สร้างเรื่องเอาไว้ใต้ดินและดึงดูดความสนใจของมนุษย์มด,อสรพิษและแมงป่อง ก่อนที่ข่าวจะไปถึงจักรพรรดิเหมิง โถงวรยุทธก็รู้เรื่องพวกนี้แล้ว ซึ่งหลังจากที่จักรพรรดิเหมิงพาคนของเขาไปยังเนินเขาและทุกคนหายไปหมด จากนั้นจักรพรรดิเหมิงก็ไปยังทะเลตะวันออกด้วยรถม้าของตัวเองมันก็ยิ่งทำให้โถงวรยุทธสนใจมากขึ้น
มีเผ่าพันธุ์แปลกๆมากมายในทวีปมนุษย์กลายพันธุ์นี้เช่น มนุษย์แมลงที่สามารถแปลงกายเป็นแมลงได้และมนุษย์นกก็แปลงเป็นนกได้ และโถงวรยุทธก็สามารถควบคุมเผ่าพันธุ์พิเศษเหล่านี้ได้บางตน ดังนั้นเบาะแสของเจียงอี้จึงถูกเปิดเผยทันที
อย่างไรก็ตามเจียงอี้และคนที่เหลือกลับไม่รู้ว่าพวกเขาถูกล้อมรอบไปด้วยตาข่ายยักษ์ที่มองไม่เห็นซึ่งถูกประมุขผู้นั้นวางแผนที่จะสังหารพวกเขาอยู่เงียบๆ