เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 567-568
บทที่ 567 สายลับขอบเขตจินกัง
“คืนนี้พักที่เมืองนี้กันเถอะ!”
ไม่กี่พันกิโลเมตรทางตะวันออกของเมืองหินทมิฬมีเมืองเล็กๆอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่นั่น เจียงอี้มองผ่านหน้าต่างและเห็นเมืองเล็กๆนั้นจึงให้คนควบม้าไปที่นั่น
หลังจากทำร้ายคนในเมืองหินทมิฬไปพวกเขาก็เร่งรีบเดินทางทั้งคืนและไม่ได้พักผ่อนเลยในช่วงระหว่างวันนั้น หลังจากที่เดินทางมากว่าสองสามพันกิโลเมตร พวกเขาได้ผ่านเมืองมากมายและแม้ว่าหนุ่มน้อยนั่นต้องการไล่ตามพวกเขามา คนเหล่านั้นอาจจะหาพวกเขาไม่พบหลังจากที่ผ่านมาไกลเช่นนี้
หลังจากที่เร่งเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืนเจียงอี้และคนอื่นๆอาจจะไม่ได้รู้สึกเหนื่อยแต่คนควบม้าและม้าศึกทั้งสองตัวเหนื่อยมาก แม้ว่าจะสามารถเปลี่ยนม้าศึกได้แต่เจียงอี้ก็คุ้นเคยกับคนควบม้าคนนี้แล้วและไม่ต้องการเปลี่ยนคนควบม้าอื่น
คนควบม้าเองก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันทีที่ได้ยินว่าพวกเขากำลังจะพักผ่อนเขารีบควบม้าไปยังเมืองเล็กๆอย่างรวดเร็วและจองโรงเตี๊ยมชั้นบนสุดที่ดีที่สุดเช่นเคย ในครั้งนี้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นและทุกคนก็ทานอาหารเย็นกันและต่างแยกย้ายไปพักผ่อน
เจียงอี้ไม่ได้เหนื่อยมากนักยิ่งนักสู้แข็งแกร่งมากเท่าใด ความต้องการในการนอนหลับพักผ่อนก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น หากเขาไม่นอนหรืออยู่โดยไม่กินไม่ดื่มตลอดเจ็ดวันเขาก็ยังไม่เป็นอะไร ดังนั้นเขาจึงเข้าสู่ห้วงสมาธิและศึกษาศาสตร์เวทย์ต่อ
ศาสตร์เวทย์นทีเคลื่อนคล้อยของเขาอยู่ในระดับต้นแล้วแต่เขาก็ยังต้องใช้เวลามากกว่านี้ก่อนจะไปถึงขั้นบรรลุ ในตอนนี้เจียงอี้สามารถใช้ร่างจำแลงคณานับสร้างร่างแยกออกมาได้สามสิบถึงสี่สิบร่างแล้วและกำลังก้าวไปในระดับที่ดี เนื่องจากเขาเข้าใจรูปแบบเต๋าอัคคีแล้ว สวรรค์สยบเพลิงอเวจีของเขาจึงก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ในตอนนี้เขายังคงปล่อยออกมาได้เพียงเพลิงโลกา หากเขาอยากจะสร้างเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ เขาอาจจะใช้เวลาฝึกฝนอย่างต่ำก็สองสามปี
ในช่วงสองวันมานี้เจียงอี้ได้เปลี่ยนไปศึกษาศาสตร์เวทย์วิญญาณพฤกษาซึ่งทำให้ผู้ฝึกฝนสามารถตรวจดูสถานการณ์แถวๆต้นไม้ได้ทุกต้น มันยังสามารถควบคุมและเปลี่ยนต้นไม้ได้อีกด้วยซึ่งมันจะช่วยได้มากเมื่อมีการต่อสู้กันในป่า
เขาศึกษามันมาสองวันแล้วแต่ศาสตร์เวทย์วิญญาณพฤกษานั้นลึกลับมาก เจียงอี้ไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันเลย แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนเพราะมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้ผลในเดี๋ยวนั้น และยิ่งเขารีบมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งยากที่จะเข้าถึงมากขึ้นเท่านั้น
“นายน้อย!”
ในระหว่างช่วงกลางดึกจู่ๆเจียงอี้ก็ได้ยินเสียงข้อความที่ถูกส่งผ่านมายังเขา เขาค่อยๆเปิดประตูในขณะที่มีเรือนร่างที่งดงามเดินเข้ามาในห้อง เจียงอี้เลิกคิ้วขึ้นมาขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยว่าที่เฟิ่งหลวนเข้ามาในห้องของเขากลางดึกและสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นนั้น นางจะมาล่อลวงเขาหรือเปล่านะ?
“นายน้อยมีบางอย่างเกิดขึ้นเจ้าค่ะ!”
เฟิ่งหลวนสวมเสื้อผ้าที่บางและเผยไหล่ที่ขาวราวหิมะและขาที่เรียวยาวของนางก่อนหน้านี้นางอาจจะหลับอยู่เนื่องจากผมเผ้าของนางก็ดูไม่เป็นระเบียบแต่ทำให้เจียงอี้ตะลึงงันอยู่ขณะหนึ่ง แต่คำพูดของนางก็ทำให้เขาคืนสติและถามด้วยเสียงเบาๆว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“โอ้”
เฟิ่งหลวนรีบมาที่นี่และลืมตัวไปว่านางแต่งตัวไม่เรียบร้อยนางเพิ่งตระหนักได้เมื่อเห็นเจียงอี้จ้องมองนางอย่างหลงใหล ใบหน้าของนางแดงระเรื่อแต่นางก็รีบพูดออกมาเบาๆว่า “มีคนแอบตามเราอยู่ใกล้ๆนี้ มันน่าจะเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษและผู้ที่ติดตามเรามาอยู่ขอบเขตจินกัง หากไม่ใช่เพราะรูปแบบเต๋าราตรีของข้าที่ทำให้ข้าสัมผัสสิ่งต่างๆได้ดีในตอนกลางคืน ข้าเองก็คงไม่รู้ตัวเลยเจ้าค่ะ”
“หืม?”
ดวงตาของเจียงอี้เผยประกายแห่งความเย็นชาออกมาสายลับขอบเขตจินกัง? และยังเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษ? ไม่น่าแปลกใจที่เฟิ่งหลวนรีบมาที่นี่โดยที่ยังไม่ได้แต่งตัวให้ดี และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะเป็นสายลับเผ่าพันธุ์พิเศษ แต่เขาดันเป็นสายลับขอบเขตจินกังนี่สิปัญหา!
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังถือเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเทียนชิงและแม้ว่าทวีปเฟยหม่าจะมีผู้เชี่ยวชาญมากมายแต่ผู้ที่อยู่ขอบเขตจินกังก็ยังถือว่ามีสถานะอยู่ระดับหนึ่ง พวกเขาส่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังมาเป็นสายลับจริงๆหรือ? และผู้ที่อยู่เบื้องหลังผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังนี่จะมีพลังขนาดไหนกัน?
“เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ?นายน้อย เราจะสังหารสายลับนั่นไหมเจ้าคะ?” ดวงตาของเฟิ่งหลวนเต็มไปด้วยจิตสังหาร นางไม่กล้าทำสิ่งใดโดยประมาทและจะลงมือหลังจากที่เจียงอี้อนุญาตเท่านั้น ไม่เช่นนั้น หากนางลงมือไปโดยพลการมันอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้
เจียงอี้พึมพำอยู่ครู่หนึ่งและส่ายมือ“ไม่ต้อง อย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่ในเมืองเล็กๆนี่!”
มันไม่สำคัญว่าสายลับคนนี้จะมาจากที่ใดแต่พวกเขาไม่สามารถสังหารผู้คนอย่างประมาทไม่เช่นนั้นสถานการณ์อาจจะบานปลายไป เมืองนี้มีผู้คนอยู่มากมาย หากว่าพวกเขาต่อสู้กันที่นี่มันอาจจะทำให้เมืองนี้วุ่นวายอย่างมาก และหากเหล่าตระกูลใหญ่ๆเริ่มรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ สถานการณ์อาจจะเลวร้ายกว่านี้ก็ได้
“คุ้มกันข้าทีข้าจะตรวจสอบสายลับนี่!”
เจียงอี้นั่งขัดสมาธิขณะที่นางจับไหล่เจียงอี้และส่ายหัว“นายน้อย คนผู้นี้มาจากเผ่าพันธุ์พิเศษและมีประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยมมาก เมื่อท่านแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไป เขาจะรับรู้ได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ฮึฮึ!”
เจียงอี้เอื้อมมือออกไปจับมือเฟิ่งหลวนที่อยู่บนไหล่เขามาไว้ข้างๆเขายิ้มและกล่าวว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าประเมินนายน้อยของเจ้าต่ำไปหน่อยนะ อย่าว่าแต่ขอบเขตจินกังเลย แม้ว่าเขาจะเป็นขอบเขตเทียนจุน ข้าก็สามารถสอดส่องเขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว”
เจียงอี้ไม่ได้กังวลกับเฟิ่งหลวนอีกต่อไปและเข้าสู่สภาะหลับใหลจิตใจของเขาสงบลงอย่างรวดเร็วขณะที่ทิวทัศน์ของทะเลอัสนีปรากฏขึ้นในใจของเขา
ถูกต้องแล้ว!
เจียงอี้กำลังเข้าสู่สภาวะที่เขาจะเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน
แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้เขาค่อนข้างโชคร้ายนักหลังจากพยายามอยู่สิบห้านาทีเขาก็ยังไม่สามารถเข้าสู่สภาวะนั้นได้ เขาลืมตาขึ้นไปมองเฟิ่งหลวนที่กำลังจ้องมองเขาอย่างประหม่าและเขาก็เกาหัวและพูดว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าไปยืนห่างๆหน่อยได้ไหม? กลิ่นตัวเจ้า….มันมีกลิ่นเฉพาะตัวของเจ้าออกมาและมันกวนใจข้า…..”
“อ๊ะ?”
เฟิ่งหลวนหน้าแดงขึ้นมาทันทีและรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็วและนั่งลงที่มุมเตียงใบหน้าของนางแดงฉ่าไปหมด เพราะก่อนหน้านี้นางจดจ่อกับสายลับผู้นั้นจนนางไม่ได้สังเกตว่านางอยู่ใกล้เจียงอี้มากและทำให้เขาเสียสมาธิ
เจียงอี้หายใจเข้าลึกๆและปัดความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไปจนสิ้นคราวนี้เขาเริ่มเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ได้แน่ๆ ซึ่งชื่อ สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์นี้ เขาเป็นคนตั้งมันขึ้นมาเอง
ในตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกลายเป็นสายลมและกำลังล่องลอยไปมาในห้องเขามองเห็นเฟิ่งหลวนที่ปกปิดใบหน้าของนางอย่างชัดเจนขณะที่ผิวของนางแดงระเรื่อเล็กน้อย แต่เขาไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
ฉากในความคิดของเขาค่อยๆเปลี่ยนไปและเริ่มรู้สึกถึงสถานการณ์ภายในโรงเตี๊ยมและเขาก็ค่อยๆออกไปหาสายลับผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
เขาเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษและสูงไม่ถึงหนึ่งเมตรเขาดูเหมือนเด็กและซูบผอมมากแต่เขามีใบหน้าที่แก่กว่าวัย ตอนนี้เขานอนหลับตาอยู่ที่มุมหนึ่งของลานด้านในและไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายออกมา หากเจียงอี้ไม่ได้มาตรวจดูอย่างใกล้ชิด เขาก็จะไม่เจอสายลับผู้นี้ สายลับคนนี้ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างประมาทและดูขี้ขลาดเหมือนขอทานและแสร้งทำเป็นหลับเฉยๆ
เจียงรู้ว่าเขาเป็นสายลับเพราะเขาลืมตาขึ้นมาและม่านตาของเขาก็เป็นสีเขียวจมูกของเขากระตุกเล็กน้อยเหมือนสุนัข และตอนที่เขาลืมตาขึ้นมา เจียงอี้ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังจากภายในร่างกายของคนผู้นั้น มันอาจจะถูกปกปิดเอาไว้แต่สายลับผู้นี้ต้องเป็นขอบเขตจินกังแน่ๆ
ฮู่ฮู่ว!
เจียงอี้ค่อยๆออกจากสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ขณะที่สีหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นเล็กน้อยสายลับนี่มาจากโถงวรยุทธในทวีปเฟยหม่าหรือมาจากตระกูลใหญ่ๆกันนะ แต่ไม่ว่าเขาจะอยู่ฝ่ายไหน พวกเขาก็ซวยแล้วล่ะ
“นายน้อยเราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ?” เฟิ่งหลวนเอนกายไปขอคำชี้แนะจากเขา
“เราจะกำจัดเขา!”
เจียงอี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เมื่อเราเข้าไปในป่าในวันพรุ่งนี้ เจ้ากับข้าจะไปกำจัดเขาด้วยกัน แล้วเราจะปรับแต่งให้เขากลายเป็นทาสวิญญาณและหาว่าใครคือนายของเขาก่อนแล้วกัน”
บทที่ 568 มีคนขวางทาง
ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างสงบสุขคนแคระผู้นั้นไม่ได้เคลื่อนไหวและเขาแค่หดตัวอยู่ที่มุมเหมือนขอทาน คนแคระผู้นั้นยังคงไม่ขยับตัวแม้กระทั่งหลังจากที่เจียงอี้และคนอื่นๆออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว เจียงอี้ไม่ได้แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาออกมาเพื่อคอยสอดส่องสายลับผู้นั้นและเดินทางต่อไปเหมือนปกติ
“นายน้อยเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? สายลับผู้นั้นตามเรามาอยู่หรือเปล่า?”
หลังจากที่เดินทางมาเป็นระยะทางเกือบพันกิโลเมตรเจียงอี้ก็เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ในป่าที่เขากำลังผ่านทันทีที่เขาลืมตาขึ้นมาเฟิ่งหลวนก็ถามเขาอย่างเป็นกังวล
“หืม?”
ชิงหยีและเสี่ยวนู๋ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อพวกนางเห็นว่าเฟิ่งหลวนกังวลเพียงใด พวกนางก็จ้องไปที่เจียงอี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ส่วนเจียงอี้ก็ยิ้มอย่างเย็นชาและตอบว่า “เขากำลังตามมา แต่เขาปกปิดตัวเองเป็นอย่างดี หากข้าอาศัยเพียงสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้า ข้าอาจจะไม่เจอตำแหน่งเขาได้เลย คนผู้นี้เป็นสายลับชั้นยอดแน่นอน”
ดวงตาของเฟิ่งหลวนเป็นประกายด้วยความเย็นชาขณะที่นางตอบว่า“เราจะลงมือไหมเจ้าคะ?”
เจียงอี้นิ่งไปชั่วขณะก่อนที่จะตอบว่า“เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าคว่ำเขาคนเดียวไหวมั้ย? ข้าไม่อยากให้มันวุ่นวายในขณะที่ลงมือ”
“ไม่มีปัญหา!”นางตอบด้วยความยโส น่าขันสิ้นดี! หากขอบเขตเทียนจุนไม่สามารถโค่นขอบเขตจินกังได้ เฟิ่งหลวนคงต้องลงจากตำแหน่งผู้ปกครองแห่งทวีปเฟิ่งหมิงแล้วกระมัง
“เอาล่ะ”
เจียงอี้พยักหน้า“เราจะเดินทางกันต่อไปส่วนเจ้าก็ลงไปเงียบๆแล้วค่อยตามเรามานะ”
“อื้ม”
เฟิ่งหลวนกลายเป็นดั่งสายลมก่อนที่นางจะหายลับไปแม้แต่คนควบม้ายังรู้สึกเพียงว่าม่านรถกระพือในขณะที่มีภาพหลังสีขาวสว่างขึ้นมา เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเฟิ่งหลวนออกไปจากรถแล้ว
รถม้ายังคงเดินทางต่อไปขณะทีเฟิ่งหลวนพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้เล็กๆที่อยู่ห่างออกไปนางซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้และไม่ได้แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนางออกมา นางอาศัยเพียงสายตาที่คอยสอดส่องรอบๆเท่านั้น
ซ่อก!แซ่ก!
จากนั้นไม่นานก็มีเงาร่างเล็กๆโผล่ออกมาจากด้านหลัง ความเร็วของคนผู้นั้นเร็วมาก และเขาไม่ได้ใช้ทางหลวงแต่เดินทางผ่านป่าไม้ใกล้ๆทางหลวง ทุกครั้งที่เขาพุ่งออกมาไกลๆ เขาจะคอยค้นหาสถานที่ที่ปกปิดตัวเองเอาไว้ ความเร็วของคนผู้นั้นเร็วมากจนผู้เชี่ยวชาญธรรมดาๆจะมองเห็นเพียงว่ามีบางสิ่งบางอย่างสั่นไหวเท่านั้น
ที่สำคัญที่สุดคือคนผู้นี้ตัวเล็กมาก เขาสามารถซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหินและมันสามารถปกปิดร่างเขาได้หมดเลย หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งหลวนรู้ถึงตัวตนของเขา นางก็คงจะมองไม่เห็นเขาได้อย่างรวดเร็วแม้ว่านางจะคอยเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
เฟิ่งหลวนเก็บกลิ่นอายของนางและไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรขณะที่นางรอให้คนๆนี้เข้ามาใกล้นางก่อนที่นางจะโจมตีแต่คนแคระนั่นก็หยุดลงเมื่อเขาอยู่ห่างจากเฟิ่งหลวนหลายร้อยเมตร หลังจากนั้นมันก็ทะยานขึ้นไปอย่างกะทันหันและพุ่งตัวถอยหลังกลับไป
ข้าถูกเจอแล้วหรือ?แล้วยังพยายามหนีด้วย?
เฟิ่งหลวนตกตะลึงแต่นางก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นกันนางกระโดดออกไปอย่างรวดเร็วและเมื่อนางอยู่กลางอากาศ ฝ่ามือของนางก็ปกคลุมไปด้วยรังสีสีดำ และท้องฟ้าครึ่งหนึ่งก็จมอยู่ใต้ความมืดมิดอย่างรวดเร็ว
คนแคระผู้นั้นจะไม่สามารถหลบหนีได้อีกต่อไปขณะที่รูปแบบเต๋าราตรีถูกปลดปล่อยออกมาหากผู้ที่อ่อนแอกว่าเฟิ่งหลวนถูกปกคลุมด้วยรูปแบบเต๋า พวกเขาจะรู้สึกว่าพวกเขาจะถูกแยกออกมาจากโลกเดิมในขณะที่พวกเขาจะค่อยๆจมดิ่งลงไปในโลกที่มืดมิดและจมดิ่งสู่ห้วงจินตนาการซึ่งทำให้ทุกคนหลงลืมทิศทางไปโดยสิ้นเชิง
ซ่อกแซ่ก!
เฟิ่งหลวนปล่อยรังสีสีเขียวออกมาอย่างง่ายดายและเทพลังนั้นไปที่ร่างของคนแคระหลังจากนั้นคนแคระก็หมดสติไป คนแคระผู้นั้นอยู่ขอบเขตจินกังแล้ว แต่เขาก็อยู่เพียงขั้นที่สองเท่านั้น สำหรับขอบเขตเทียนจุนแล้วมันก็เหมือนกับการจับมด
ความมืดมิดได้ค่อยๆจางหายไปขณะที่สภาพแวดล้อมกลับคืนสู่สภาวะปกติเฟิ่งหลวนแบกคนแคระด้วยมือเดียวขณะที่นางแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าไม่ผู้ใครติดตามพวกเขามาอีกแล้ว นางก็รีบตามรถม้าเจียงอี้ไปอย่างรวดเร็ว
เจียงอี้และคนอื่นๆกำลังนั่งอยู่บนรถม้าขณณะที่เฟิ่งหลวนพุ่งกลับมาด้วยความเร็วที่สูงที่สุดในไม่กี่พริบตานางก็ตามมาทันและกลับเข้าไปในรถม้าอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ที่นางออกไปจนนางกลับเข้ามา คนควบม้ายังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเฟิ่งหลวนออกจากรถม้าไป
“อ๊ะ?”
ชิงหยีและเสี่ยวนู๋ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเนื่องจากเจียงอี้ไม่ได้บอกอะไรพวกนางแต่เมื่อพวกนางเห็นเฟิ่งหลวนอุ้มคนแคระกลับมา ทั้งคู่ก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
“เริ่มกันเลยเถอะ!”
เจียงอี้หันไปมองก่อนที่จะแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพื่อคอยคุ้มกันเฟิ่งหลวนนางพยักหน้าและมือของนางก็เปล่งแสงสีเขียวขณะที่กำลังเตรียมตัวปรับแต่งคนแคระผู้นี้ให้เป็นทาสวิญญาณ
พวกเขาจะไม่มีทางได้รับคำตอบจากสายลับมืออาชีพเช่นนี้เลยพวกเขาจึงกำลังจะปรับแต่งให้เขากลายเป็นทาสวิญญาณและจะได้รู้ทุกสิ่งที่อยากรู้ นอกจากนี้พวกเขาจะยังได้มีสายลับระดับสูงเพิ่มขึ้นมาอีกคนและในภายหน้าพวกเขาก็จะได้สอดส่องผู้คนได้ง่ายมากขึ้นเช่นกัน
“อั๊ก!”
เมื่อเฟิ่งหลวนเริ่มใช้ศาสตร์ลับของนางร่างของคนแคระก็สั่นเทาอย่างไม่ได้คาดคิด เลือดของเขากระอักออกมาจากปากและดวงตาทั้งสองก็กลับกลอกเป็นสีขาวก่อนที่จะหยุดหายใจไป
“อ๊า!”
เจียงเสี่ยวนู๋และชิงหยีพากันตกใจเสี่ยวนู๋ก็ร้องออกมาเช่นกันเพราะเลือดที่ไหลออกมาจากคนแคระผู้นั้นเป็นสีเขียว
“วางแผนมาอย่างดีเยี่ยมจริงๆ!”
เจียงอี้และเฟิ่งหลวนชำเลืองมองหน้ากันทั้งสองคนต่างแสดงสีหน้าที่เคร่งเครียดโดยเฉพาะเฟิ่งหลวนที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “นายน้อย มีศาสตร์ลับประทับอยู่บนจิตวิญญาณของคนผู้นี้แล้ว หากมีผู้ใดต้องการที่จะปรับแต่งหรือค้นหาจิตวิญญาณของเขา เขาก็จะตายทันที ศัตรูของเราในครั้งนี้น่ากลัวมาก”
“เอาศพไปทิ้ง!”
เจียงอี้โบกมือของเขาจากนั้นเฟิ่งหลวนก็บินออกไปและโยนศพลงไปในพุ่มไม้เล็กๆก่อนที่จะกลับมา ในขณะเดียวกันชิงหยีก็เช็ดเลือดที่เลอะในรถม้าด้วยสีหน้าที่ขมขื่น
เจียงอี้ก็พึมพำกับตัวเองและครู่ต่อมาเขาก็หยิบถุงใบไม้สีทองจากแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณให้คนควบม้าหลังจากที่เขาเดินออกมาจากรถม้า“ฟังให้ดีนะ นี่คือรางวัลของเจ้า เราจะออกเดินทางไปตอนนี้และเจ้าจงเดินทางต่อไปห้าวันโดยใช้เส้นทางที่เราได้ตกลงกันไว้ หากใครถามว่าเราจะไปที่ใดกัน เจ้าก็แค่ตอบไปตามนั้น เข้าใจไหม?”
“ขอรับขอรับ ขอบคุณนายน้อยมากเลยขอรับ” คนควบม้าคว้าถุงใบใหญ่ขณะที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทองสีม่วงนี่หนักอย่างน้อยห้ากิโลใช่ไหมนะ? เมื่อเขาทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับการหาเงินใช้ชีวิตไปชั่วชีวิตแล้ว
“ไปกันเถอะ!”
เจียงอี้กวักมือเรียกและเฟิ่งหลวน,ชิงหยีและเจียงเสี่ยวนู๋ก็ค่อยๆเดินออกมาทีละคน เจียงอี้อุ้มเจียงเสี่ยวนู๋เอาไว้และทั้งสี่คนก็กลายเป็นภาพหลังและพุ่งไปยังภูเขาสูงที่อยู่ไกลลิบตา
ซู่ซู่…..
คนควบม้าเดินทางมาเนิ่นนานและมีประสบการณ์และความรอบรู้อยู่บ้างแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นจอมยุทธที่น่าเกรงขามเช่นนี้ซึ่งมันทำให้ผิวของเขาซีดเผือด เขานิ่งงันไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะควบม้าเดินทางต่อไปและไม่กล้าที่จะขี้เกียจ เขาไม่กล้าที่จะขัดคำพูดของเจียงอี้และหากว่าเจียงอี้รู้ว่าเขาขี้เกียจ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
ทั้งสี่คนทนกับลมหนาวที่พัดผ่านมาพวกเขายืนอยู่บนยอดเขาและมองไปยังป่าไม้อันกว้างไกลเบื้องหน้าพวกเขาและค่อนข้างไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป พวกเขาไม่รู้เลยว่าจะเดินทางต่อไปอย่างไรดี
“ชิงหยีเสี่ยวนู๋ พวกเจ้าสองคนเข้าไปซ่อนอยู่ในราชวังจักรพรรดิก่อนแล้วกัน เรามีคนมากเกินไปและมันจะตกเป็นเป้าได้ง่ายๆ”
ทั้งสองต่างพยักหน้าแต่โดยดีและรู้ว่าครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเมื่อมีทั้งคู่อยู่รอบๆนั้นจะทำให้พวกเขาตกเป็นเป้าได้ง่ายๆ
บรึฟ!
หลังจากพาพวกนางเข้าไปในราชวังจักรพรรดิแล้วเจียงอี้ก็เรียกสัตว์อสูรเถาอู้ออกมาและเดินทางลงไปใต้ดินหลายร้อยเมตรพร้อมกับเฟิ่งหลวน ที่เขาพานางไปด้วยนั่นก็เป็นเพราะว่านางแข็งแกร่งมาก ด้วยรูปแบบเต๋าราตรี พวกเขาจะสามารถสัมผัสถึงอันตรายใต้ดินได้เร็วขึ้น
ผ่านไปเพียงวันเดียว!
ทั้งคู่หนีไปราวกับว่าชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับมันแต่ในเวลาเพียงหนึ่งวัน กลุ่มผู้ที่อยู่เบื้องหลังคนแคระก็ได้เผยกรงเล็บออกมา
เฟิ่งหลวนหยุดเจียงอี้ในทันทีขณะที่กลิ่นอายของนางค่อยๆเพิ่มขึ้นนางมองไปทางเจียงอี้และยิ้มอย่างขมขื่น “นายน้อย ข้างหน้ามีมือสังหารอยู่หกคนเจ้าค่ะ มีขอบเขตเทียนจุนหนึ่งคนและขอบเขตจินกังห้าคน เตรียมตัวเข้าสู่สงครามการนองเลือดได้เลยเจ้าค่ะ”
“ขึ้นไปเหนือพื้นดิน!”
ใต้ดินนั้นไม่เหมาะที่จะสู้เจียงอี้จึงขึ้นไปด้านบนเนื่องจากอีกฝ่ายมีคนมากกว่าและเขาไม่รู้ว่าพวกนั้นมีความสามารถพิเศษแบบไหน หลังจากที่เจียงอี้เก็บอสูรเถาอู้กลับไปแล้ว นางก็พาเขาขึ้นไปด้วยมือข้างเดียว ดาบยาวในมืออีกข้างของนางก็พุ่งขึ้นไปด้านบนราวกับมังกรที่เดือดดาล
ปึง!ปัง! ปึ้ง!
เมื่อนางพุ่งออกมาเงาทั้งหกก็บินขึ้นไปด้วยเช่นกัน นายน้อยคนหนึ่งที่มีท่าทางที่น่ากลัวเล็กน้อยมองไปยังเฟิ่งหลวนและแสยะยิ้มพร้อมพูดว่า “เหอะๆ หญิงผู้นี้อยู่ขอบเขตเทียนจุนจริงๆ แม้ว่าจะยังไม่มั่นใจว่านางใช่ร่างฟีนิกซ์ที่แท้จริงหรือไม่แต่การเดินทางครั้งนี้ก็ยังคุ้มค่าอยู่แหละนะ”