เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 571-572
บทที่ 571 จากไปพร้อมกับความพ่ายแพ้
“หือ….”
นายน้อยเฟยเทียนรู้สึกสับสนขึ้นมามีเจียงอี้เต็มไปหมด เขาควรจะโจมตีไปที่ร่างไหนดี? เมื่อเขาปลดปล่อยสายฟ้านี้ออกมาแล้วมันจะไม่มีทางเรียกกลับคืนมาได้อย่างแน่นอน เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกัดฟันและเพ่งเล็งไปยังร่างแยกสองร่างของเจียงอี้
ฟึ่บฟั่บ!
เมื่อร่างแยกทั้งสองถูกโจมตีร่างนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที แต่พวกนั้นก็ไม่ใช่ร่างจริงของเจียงอี้อย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ร่างแยกที่เหลือก็ยังคงพยายามหนีอย่างต่อเนื่อง
ฟรึ่บ!ฟั่บ! ฟรึ่บ! พรึบ! ฟรั่บ!
เมื่อพลังงานสายฟ้าหมดลงร่างแยกของเจียงอี้ก็กลับมาและพุ่งไปยังพวกเขาทั้งสามจากทุกทิศทาง เจียงอี้อาจไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงออกมาแต่ทั้งสามคนก็ยังหวาดกลัวมาก เปลวเพลิงของเจียงอี้น่ากลัวเกินไปและสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังสองคนได้ทันทีโดยไม่ทิ้งซากใดๆเอาไว้เลย
“หนี!”
พวกเขาทั้งสามไม่รอช้านายน้อยเฟยเทียนอาจจะมีสายฟ้าที่น่ากลัว แต่มันจะมีประโยชน์อันใดหากว่ามันไม่สามารถโจมตีเจียงอี้ได้? ยิ่งไปกว่านั้น เจตจำนงสังหารของเจียงอี้ก่อนหน้านี้เคยตรึงพวกเขาไว้ได้ หากพวกเขาไม่หนีไปในตอนนี้แล้วจะให้พวกเขาหนีตอนไหน?
ฟรึ่บฟั่บ ฟรึ่บ!
พวกเขาทั้งสามคนแยกไปคนละทิศขณะที่หันมาโจมตีร่างแยกของเจียงอี้นายน้อยเฟยเทียนนั้นฉลาดที่สุดในนั้นเพราะเขาเลือกที่จะบินไปยังทิศทางที่ผู้อาวุโสชวีอยู่ เขาที่อยู่บนหัวของเขายังคงคอยโจมตีร่างแยกของเจียงอี้อยู่
“ตายย!”
เจียงอี้หวั่นเกรงเฟยเทียนเล็กน้อยและเขาไม่ได้ไล่ตามเฟยเทียนก่อนร่างที่แท้จริงของเขาพุ่งไปที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังคนหนึ่งและเมื่อเขาอยู่ห่างจากผู้นั้นประมาณสามกิโลเมตร เขาก็เหวี่ยงดาบมังกรเพลิงของเขาทันที
ร่างแยกที่อยู่รอบๆได้จางหายไปขณะที่มังกรอัคคีสองตัวพุ่งออกมาพร้อมกับเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ในตอนนั้นเอง เจียงอี้ก็ปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาซึ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังไม่สามารถขยับเขยื้อนได้และได้แต่มองมังกรอัคคีทั้งสองตัวที่กำลังบินมา
ปัง!
เปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์อาจจะไม่ได้รุนแรงเท่าเปลวเพลิงอเวจีแต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าจะสามารถต้านทานมันได้หรือ?ในขณะที่มังกรอัคคีทั้งสองปะทะเข้าไปยังคนผู้นั้น มันก็ระเบิดออกมาราวกับดอกไม้ไฟ ร่างของผู้เชี่ยวชาญคนนั้นก็ไหม้เกรียมซึ่งทำให้เขาสิ้นใจในทันที
“ผู้อาวุโสชวี!”
ในชั่วพริบตานายน้อยเฟยเทียนก็มาอยู่ข้างๆผู้อาวุโสชวีแล้วและตะโกนออกมาว่า “สังหารไอ้เด็กนั่นก่อน ไอ้สารเลวนั่นสังหารผู้เฒ่าฝูและคนอื่นๆ ตอนนี้มันกำลังจะไปสังหารผู้เฒ่าหั่วแล้ว”
“ไอ้เด็กสารเลวเจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว!”
ผู้อาวุโสชวีพุ่งออกไปพร้อมกับเสียงคำรามซึ่งทำให้เจียงอี้แสบแก้วหูแก่นแท้พลังของเขาที่หยุดชะงักเกือบจะทำให้หัวเขาเกือบคะมำลงไปกับพื้น เขาพยายามที่จะยืนหยัดขึ้นมาและหลังจากที่แก่นแท้พลังของเขากลับคืนสู่สภาวะปกติ ร่างของเขาก็สว่างวาบด้วยแสงสีขาวขณะที่เขาย้ายร่างฉับพลันไปยังผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังอีกคน
“ย๊าก!”
เฟิ่งหลวนตะโกนออกมาและพยายามที่จะยับยั้งผู้อาวุโสชวีเอาไว้ตราบใดที่เจียงอี้สังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังคนสุดท้ายได้ เฟยเทียนก็จะไม่มีองครักษ์คนอื่นอีกต่อไป จากนั้นเจียงอี้ก็จะสามารถไล่ล่าเฟยเทียนได้อย่างเต็มกำลังและหากผู้อาวุโสชวีอยากจะปกป้องเฟยเทียน ทางเดียวของเขาก็คือต้องล่าถอย
ปัง!
ในไม่ช้าเจียงอี้ก็ไล่ตามผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังทันและใช้เจตจำนงสังหารหยุดยั้งเขาเอาไว้และปลดปล่อยมังกรอัคคีออกมาพร้อมเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปอย่างง่ายดาย
“ไสหัวไปซะ!”
ในที่สุดผู้อาวุโสชวีก็รู้สึกหวาดกลัวขณะที่เขาคำรามออกมาดังสนั่นเขาปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังออกมาหลายครั้งซึ่งมันทำให้เฟิ่งหลวนต้องถอยร่นไป ร่างของผู้อาวุโสชวีย้ายไปอยู่ข้างๆเฟยเทียนและเขาใช้มือข้างหนึ่งแบกเฟยเทียนและรีบพุ่งไปข้างหน้า แต่ทางที่เขากำลังพุ่งไปนั้นเป็นที่ที่เจียงอี้ยืนอยู่
“นายน้อยระวัง!”
เฟิ่งหลวนอุทานออกมาผู้อาวุโสชวีไม่ได้คิดที่จะล่าถอยและเลือกใช้วิธีเดียวกับเจียงอี้ เขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถเอาชนะเฟิ่งหลวนได้ในเวลาสั้นๆ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะสังหารเจียงอี้ก่อนที่จะมาจัดการกับเฟิ่งหลวน
“หืม?”
เจียงอี้ที่เพิ่งสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังไปและเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเฟิ่งหลวนเขาก็หันไปรอบๆทันทีและเห็นเงาดำกำลังพุ่งตรงมาที่เขาอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปขณะที่เขาปลดปล่อยทักษะผสานออกมาเขาปล่อยมังกรอัคคีจำนวนมากออกมาพร้อมกับมังกรวายุ เขาได้ใช้เปลวเพลิงอเวจีหมดไปครึ่งหนึ่งแล้วและไม่กล้าใช้มันอย่างประมาทอีก
ในขณะเดียวกันเขาก็ใช้ร่างจำแลงคณานับและแยกร่างของเขาออกมาประมาณห้าสิบร่างซึ่งมันพุ่งไปทั่วทุกสารทิศทำให้ผู้อาวุโสชวีตัดสินใจได้น้อยลงและอาจหลบหนีไปอย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามแต่เขาประเมินผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนต่ำเกินไป ผู้อาวุโสชวีผู้นี้มาถึงระดับนี้ได้ด้วยการเข้าถึงรูปแบบเต๋าด้วยตัวเอง เขาไม่ได้ปลดปล่อยความสามารถพิเศษใดๆออกมาและเพียงแค่อ้าปากตะโกนออกมาว่า “สลายไปซะ!”
ราวกับว่ามันเป็นเสียงคำรามจากราชสีห์ฟ้าดินแปรเปลี่ยนไปขณะที่ลมและเมฆได้ก่อตัวขึ้น ห้วงอากาศข้างหน้านั้นเหมือนกับก้อนหินใหญ่เขวี้ยงใส่ทะเลสาบที่เงียบสงบ ระลอกคลื่นปรากฏในห้วงอากาศและมองเห็นระลอกคลื่นนั้นได้อย่างชัดเจน
มันแผ่กระจายออกไปขณะที่มังกรอัคคีทั้งสองตัวของเจียงอี้และเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ถูกพัดไปและความเร็วของพวกมันก็ช้าลงคลื่นพลังได้แผ่ไปยังร่างแยกทั้งหมดของเจียงอี้และทำให้พวกมันสลายตัวไปอย่างง่ายดาย ส่วนร่างจริงของเจียงอี้ก็สั่นไหวอยู่กลางอากาศและล้มลงไปกองกับพื้น
เสียงคำรามของราชสีห์ตนนี้ได้รบกวนแก่นแท้พลังของเขามันอาจจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่เมื่อแก่นแท้พลังของเขาแปรปรวน เขาก็จะไม่สามารถควบคุมร่างแยกได้และทำให้เขาล้มลงไปกับพื้น
“นายน้อย!”
เฟิ่งหลวนหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจขณะที่นางรีบบินไปและปลดปล่อยรูปแบบเต๋าราตรีออกมาอย่างรวดเร็วริมฝีปากของนางยังมีเลือดสดไหลออกมาและเห็นได้ชัดว่านางได้รับบาดเจ็บจากผู้อาวุโสชวีก่อนหน้านี้ นางไม่สามารถกังวลกับเรื่องอื่นได้ในตอนนี้ เพราะหากเจียงอี้ตาย นางและชิงหยีก็จะประสบชะตากรรมเดียวกับเขาเช่นกัน
แต่ก็แน่นอนว่าหลังจากที่ได้ใช้เวลาร่วมกับเจียงอี้นางก็มีความรู้สึกแปลกๆต่อเจียงอี้ บางที นางอาจจะชินกับการเป็นทาสของเขาแล้ว ดังนั้นนางจึงพร้อมอุทิศชีวิตให้เขา การได้เห็นเจียงอี้ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายมันทำให้ใจของนางนั้นลุกเป็นไฟ
“ฮึ่ม!”
เมื่อเห็นผู้อาวุโสชวีเข้ามาใกล้เขาเจียงอี้ก็รู้ว่าเขาไม่มีทางหลบหนีแล้ว แม้ว่าเขาจะย้ายร่างฉับพลันเขาก็ยังอาจจะถูกผู้อาวุโสชวีสังหาร ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานของชีวิตและความตายนี้ เขาไม่ได้เลือกที่จะวิ่งหนีไป แต่เขากระแทกพื้นและพุ่งไปหาผู้อาวุโสชวีแทน ทันใดนั้นเขาก็วาดดาบมังกรเพลิงออกไป ในคราวนี้มันถูกหลอมรวมกับเปลวเพลิงอเวจีซึ่งลุกโชนอยู่ในอากาศโดยรอบทันที คลื่นความร้อนที่น่าสะพรึงพุ่งเข้าหาผู้อาวุโสชวีและนายน้อยเฟยเทียนในฉับพลัน
ในเวลาเดียวกันมืออีกข้างของเจียงอี้ก็ได้รวบรวมพลังดาราและปลดปล่อยมันออกมาเป็นเงาฝ่ามือเล็กๆในทันใด
ตูม!ตูม! ตูม!
พลังดารานั้นทรงพลังมากและเมื่อมันถูกปลดปล่อยออกมาห้วงอากาศรอบๆก็สั่นสะท้าน ความกดดันที่น่าสะพรึงทำให้สีหน้าของนายน้อยเฟยเทียนเปลี่ยนไป เดิมทีเขาต้องการที่จะสาดสายฟ้าออกมาแต่เขาเพียงแค่อุทานออกมาแทน “ผู้อาวุโสชวี นั่นมันพลังดาราเก้าสวรรค์!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งสะท้อนออกมาในเวลาเดียวกัน“เจ้าสุนัขเฒ่า หากเจ้าต้องการจะสังหารข้า ข้าก็จะให้เจ้าและนายน้อยของเจ้าพินาศไปพร้อมกับข้า!”
เจียงอี้เอาชีวิตเขาเป็นเดิมพัน!
เขาใช้ชีวิตเดิมพันว่าผู้อาวุโสชวีคงไม่กล้าที่จะแลกชีวิตของเฟยเทียนกับเจียงอี้หรอก
มันง่ายมากที่ผู้อาวุโสชวีจะสังหารเจียงอี้ในระยะขนาดนั้นแต่เปลวเพลิงของเจียงอี้และพลังดาราเก้าสวรรค์นั้นเกินกว่าที่จะรับมือได้ ผู้อาวุโสชวีอาจจะรอด แต่เฟยเทียนล่ะ หากทิ้งเรื่องพลังดาราเก้าสวรรค์ไปและคิดเพียงเปลวเพลิงอเวจีเข้ามาใกล้กว่านี้ เฟยเทียนอาจจะกลายเป็นเถ้าถ่านได้
“ไอ้เด็กสารเลวหัวใสนักนะ!”
ตามที่คาดไว้ผู้อาวุโสชวีไม่กล้าเสี่ยง เขาคำรามออกมาและทำให้ห้วงอากาศสั่นสะท้านขณะที่เขาถอยร่นออกไปและเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นภาพหลัง เฟิ่งหลวนกำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วและผู้อาวุโสชวีก็รู้ว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะสังหารเจียงอี้ได้อีกแล้ว หากเขาไม่ถอยตอนนี้ นายน้อยเฟยเทียนอาจจะต้องตายอยู่ในที่แห่งนี้เป็นแน่
ฟรึ่บ!
ขณะที่ผู้อาวุโสชวีแบกนายน้อยเฟยเทียนหนีไปเฟยเทียนก็รู้ดีว่าวันนี้เขากำลังจะจากไปพร้อมกับความพ่ายแพ้ เขาทำได้เพียงตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลว่า “ไอ้สารเลว เจ้ารอข้าก่อนเถอะ หากข้าไม่ฆ่าเจ้าในสิบวัน ข้าก็ไม่สมควรเป็นมนุษย์อีกต่อไป!”
บทที่ 572 ท่องราตรีในสายลมและสายฝน
ฮู่ฮู่วว!
หลังจากที่ผู้อาวุโสชวีหายลับขอบฟ้าไปเจียงอี้และเฟิ่งหลวนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ครั้งนี้มันอันตรายมากจริงๆ แต่โชคดีที่นายน้อยเฟยเทียนนั้นคิดว่าตัวเองเก่งกาจและลงมาจัดการเอง หากว่าเขาส่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนมาคนเดียว แม้ว่าเจียงอี้จะไม่ตาย แต่เฟิ่งหลวนก็คงจะถูกจับตัวไป
“ไปกันเถอะ!”
ทั้งสองต่างพากันหนีไปทันทีคราวนี้พวกเขาไม่กล้าเดินทางใต้ดินอีกต่อไป ในเมื่อพวกนั้นเจอตัวพวกเขาทั้งที่อยู่ใต้ดินได้อย่างง่ายดาย แล้วมันจะยังมีประโยชน์อะไรที่พวกเขาต้องเดินทางใต้ดินอีกล่ะ?
เฟิ่งหลวนกินยาฟื้นฟูร่างกายก่อนที่จะอุ้มเจียงอี้หนีไปนางหยุดเดินทางหลังจากที่หนีไปได้ประมาณร้อยกิโลเมตรและเจียงอี้ก็แผ่ญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมา ทั้งคู่ตั้งใจจะหนีไปเหมือนตอนที่อยู่ทวีปมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยความเร็วทั้งหมดของพวกเขา
ศาสตร์เวทย์ญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีพลังมากในเวลาเพียงสิบห้านาที เขาสามารถตรวจสอบพื้นที่รัศมีนับล้านกิโลเมตรได้อย่างง่ายดายซึ่งมันทำให้เจียงอี้พบเส้นทางที่ปลอดภัยมาก
“ไปกันเถอะเราจะผ่านทางนี้ไป จะมีภูเขาลูกใหญ่อยู่ไกลออกไปและมีรอยเท้ามนุษย์อยู่น้อยมาก ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในภูเขาลูกนั้นเป็นเพียงราชันอสูร หากเราผ่านเขาลูกนี้ไป เราก็จะเดินทางกว่าล้านกิโลเมตรได้อย่างง่ายดาย”
นายน้อยเฟยเทียนเป็นองค์ชายแห่งทวีปเฟยหม่าและเขามีสถานะที่ยิ่งใหญ่ดังนั้นการระดมผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนไม่กี่คนคงไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับเขานัก หากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนสองคนตามล่าพวกเขา ผลที่ตามมาคงไม่อาจจินตนาการได้
อย่างที่คาดไว้….!
หลังจากที่หนีไปหลายพันกิโลเมตรเนินเขาเขียวขจีมากมายก็ปรากฏขึ้นภายหน้าพวกเขา ภูเขานั้นมีหุบเหวที่กว้างใหญ่และปกคลุมไปด้วยพืชพันธุ์ สถานที่แห่งนี้เป็นภูเขาร้าง มีสัตว์อสูรอยู่ในภูเขานี้มากมายและมีเสือยักษ์คอยซุ่มโจมตีอยู่จึงทำให้นักสู้ระดับกลางๆไม่กล้าเข้ามายังที่แห่งนี้
ฟรึ่บ!
เจียงอี้ได้ตรวจดูพื้นที่แถวนี้แล้วและบอกนางว่าไม่มีจักรพรรดิอสูรอยู่แถวนี้ดังนั้นเฟิ่งหลวนจึงรีบพุ่งไปในภูเขาโดยไม่กังวลใดๆ นางลอยผ่านพื้นที่เล็กๆราวกับนกกระเรียนโบยบิน จากนั้นนางก็แตะเท้าลงบนพื้นอีกครั้งก่อนที่จะพุ่งข้ามหุบเขาใหญ่ๆไป ในพริบตาเดียว นางก็เข้ามาอยู่ในส่วนลึกของเขาลูกใหญ่แล้ว
บางครั้งพวกเขาจะหยุดเดินทางเพื่อให้เจียงอี้คอยสำรวจก่อนว่ามีผู้เชี่ยวชาญไล่ตามพวกเขามาหรือไม่ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเส้นทางต่อไป ในเวลาเดียวกันเฟิ่งหลวนก็จะได้พักผ่อนและจากนั้นพวกเขาทั้งสองก็จะเดินทางต่อไป
เมื่อยามราตรีมาถึงสัตว์ร้ายที่ดุร้ายในภูเขาก็จะออกมาจากถ้ำของพวกมันเพื่อล่าอาหาร ภูเขายามค่ำคืนนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งและหากพวกเขาไม่ระวัง พวกเขาก็อาจจะตกที่นั่งลำบากได้ แมลงมีพิษจำนวนมากก็แทบจะไม่มีกลิ่นอายออกมาเพราะพวกมันปลอมเป็นใบไม้, กิ่งไม้หรือแม้แต่ก้อนหิน เฟิ่งหลวนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคอยแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาด้วยขณะที่นางเดินทางไปเรื่อยๆ
ค่ำคืนนี้มืดสนิทหากเป็นคนทั่วไปพวกเขาอาจจะขนหัวลุกได้หากต้องเดินทางเข้ามาในส่วนลึกของหุบเขา
เฟิ่งหลวนเองแม้จะแข็งแกร่งมากและเป็นผู้ปกครองทวีปเฟิ่งหมิงแต่นางก็ยังเป็นเพียงหญิงสาวที่อายุยี่สิบต้นๆ หากไม่ใช่เพราะมีเจียงอี้อยู่ใกล้ๆและอยู่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับ นางก็คงจะไม่มีวันกล้าเดินทางต่อ
ตูม!ตูม! ตูม!
พายุฝนได้เทกระหน่ำลงมามันทำให้ป่าเกิดเสียงประหลาดขึ้น เม็ดฝนได้โปรยปรายลงมาบนร่างของทั้งสองจนทำให้เสื้อผ้าของพวกเขาเปียกปอน ฝนเพิ่งจะตกหนักและมันคงจะไม่มีประโยชน์ที่พวกเขาจะใช้แก่นแท้พลังทำให้ความชื้นเหล่านี้กลายเป็นไอ ดังนั้นทั้งคู่จึงเลือกที่จะไม่สนใจมัน นอกจากนี้เฟิ่งหลวนยังต้องใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนางคอยตรวจจับกลิ่นอายต่างๆ
ครืน….
ฝนเริ่มตกหนักขึ้นและเสื้อผ้าของทั้งคู่ก็เปียกโชกจนแนบเนื้อพวกเขาและมันทำให้เรือนร่างที่งดงามของเฟิ่งหลวนเผยออกมาเม็ดฝนทำให้ผมของนางยุ่งเหยิงขณะที่มีผมติดอยู่ที่แก้มของนางซึ่งมันทำให้นางดูยากไร้แต่ก็ยังเผยมุมที่มีเสน่ห์ออกมาด้วย
บางทีอาจจะเป็นเพราะความกังวลหรือความกลัวในช่วงค่ำคืนหรืออาจจะเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของนางยังไม่ฟื้นตัวหรือไม่ก็ฝนที่ทำให้เฟิ่งหลวนหนาวสั่น แม้ว่าฝีเท้าของนางจะยังมั่นคงแต่ร่างของนางเริ่มสั่นเทาและผิวของนางก็เริ่มเปลี่ยนสีซึ่งทำให้นางดูน่าเวทนานัก
ในเมื่อเจียงอี้อยู่ข้างๆเฟิ่งหลวนเขาจะไม่รู้ถึงความแปลกประหลาดในตัวนางได้อย่างไร? เขาจึงถามออกมาอย่างเป็นห่วง “เฟิ่งเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่เข้าไปพักผ่อนในราชวังจักรพรรดิก่อนล่ะ เดี๋ยวข้าจัดการต่อเอง”
“ไม่!”
เฟิ่งหลวนหันมายิ้มเบาๆขณะที่นางส่ายหัว“นายน้อย เฟิ่งเอ๋อร์ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล”
ความเร็วของเจียงอี้ช้าเกินไปและสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่านางและอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้อย่างง่ายดายที่ภูเขาแห่งนี้ นอกจากนี้ ตอนที่เขาต้องแผ่ญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ต้องมีใครสักคนที่คอยปกป้องเขา ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาตายได้อย่างไร
เจียงอี้รู้เรื่องพวกนี้ดีดังนั้นเขาจึงไม่คิดมากในเรื่องนี้ แต่เขาก็ยื่นมือไปกอดเฟิ่งหลวนเพื่อให้ไออุ่นแก่นาง ครั้งนี้เขาไม่ได้แต๊ะอั๋งนางแต่เขาต้องการให้ไออุ่นนางอย่างแท้จริงและให้นางสัมผัสได้ว่านางก็ยังมีคนที่นางสามารถพึ่งพาได้
“โอ้”
เฟิ่งหลวนสั่นเล็กน้อยและมีรอยแดงระเรื่อปรากฏอยู่ที่ผิวของนางแต่นางก็ไม่ได้ขัดขืนมันเพราะนางสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของเจียงอี้ ในทางกลับกัน ร่างที่สั่นเทาของนางกลับสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็วและรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่อาจบรรยายได้อยู่ภายในตัวนาง ความเร็วของนางก็เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน
ทั้งคู่รีบร้อนไปท่ามกลางความเงียบสงัดก่อนหน้านี้ท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยพายุฝนขณะที่อากาศอันเย็นเยียบกำลังย่างกรายเข้ามา แต่ทั้งคู่กลับไม่รู้สึกหนาวเลย แต่มีกลิ่นอายอ่อนโยนจางๆแผ่ซ่านไปรอบๆซึ่งมันทำให้การเดินทางที่แสนน่าเบื่อนี้กลายเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างจะอ่อนไหว
ความเร็วของเฟิ่งหลวนนั้นเร็วมากแค่เพียงเที่ยงคืน ทั่งคู่ก็ได้ผ่านข้ามภูเขามาแล้ว ในระหว่างทางพวกเขาผ่านราชันอสูรสองตน แต่พวกเขาไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดและใช้เพียงกลิ่นอายที่น่ากลัวของพวกเขาคอยกดดันอสูรเหล่านั้นเท่านั้น
เจียงอี้ให้เฟิ่งหลวนหยุดพักผ่อนหลังจากที่ข้ามเขาลูกนั้นมาแล้วและเขาก็ปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพื่อตรวจหาเส้นทางที่ดีที่สุดที่จะเดินทางต่อหลังจากที่ผ่านไปสามสิบนาที ทั้งคู่ก็เดินทางกันต่อและฝ่าพายุฝนไป
ในเวลาเพียงหนึ่งวันพวกเขาก็เดินทางไปได้กว่าล้านกิโลเมตรแล้วและเส้นทางที่เจียงอี้เลือกไปนั้นค่อนข้างดีและไม่มีเมืองใดอยู่ใกล้ๆทางที่พวกเขาผ่านไปเลย พวกเขาจะผ่านเพียงผืนป่านอกเมืองเท่านั้นเพื่อกันไม่ให้หน่วยลับของทวีปเฟยหม่าพบเข้า
บางทีเจียงอี้และเฟิ่งหลวนอาจจะหนีมาเร็วเกินไปหรือไม่ก็เป็นเพราะเส้นทางที่พวกเขาใช้นั้นห่างไกลเกินไปหรือไม่ก็เป็นเพราะเฟยเทียนยังไม่ได้รวบรวมกำลังคนพอที่จะตามล่าพวกเขาไม่มีสายลับหรือผู้ไล่ล่าใดๆเลย และไม่ใช่แค่วันนี้แต่กับวันอื่นๆด้วยเช่นกัน
ในวันที่แปด…!
ทั้งคู่เดินทางมาเนิ่นนานแล้วและคาดว่าพวกเขาน่าจะเดินทางผ่านไปเกินครึ่งทวีปเฟยหม่าแล้วหลังจากที่แผ่ญาณศักดิ์สิทธิ์แล้วเจียงอี้ก็พบว่าไม่มีหน่วยสอดแนมหรือทหารไล่ตามพวกเขามาเลย เขาตัดสินใจที่จะหยุดและพักผ่อน หลังจากที่เร่งเดินทางมาเป็นเวลาแปดวันเต็มๆ เฟิ่งหลวนก็เหนื่อยมาก และเขาเองก็เหนื่อยมากเช่นกัน
เจียงอี้นั้นไม่ได้หาที่พักผ่อนแบบสุ่มสี่สุ่มห้าแต่เขาพักอยู่ในทะเลสาบขนาดใหญ่และดำดิ่งลงไปในทะเลสาบเงียบๆทะเลสาบนั้นเต็มไปด้วยปีศาจทะเลและยังมีราชาปีศาจอสรพิษอยู่ด้วย เจียงอี้ไม่ได้สังหารราชาปีศาจตนนี้แต่เขาใช้เจตจำนงสังหารสกัดกั้นมันไว้ หลังจากนั้นเขาก็นำราชวังจักรพรรดิออกมาและพาเฟิ่งหลวนเข้าไปข้างใน
ราชาปีศาจอสรพิษไม่สามารถสร้างความเสียหายและไม่กล้าโจมตีมันหลังจากที่ราชวังจักรพรรดิได้เปิดใช้อาคมยับยั้งเมื่อมีราชาปีศาจอยู่ใกล้ๆ สายลับธรรมดาจะกล้าดำน้ำลงมาในทะเลสาบได้อย่างไร?
หลังจากที่เฟิ่งหลวนถูกพาเข้ามาในราชวังจักรพรรดิแล้วนางก็นอนลงบนเตียงแล้วผล็อยหลับไป ส่วนเจียงอี้ก็หาห้องนอนและนอนหลับเช่นกัน ก่อนที่เขาจะหลับไป เขาก็เกิดสงสัยบางเรื่องขึ้นมา เกิดอะไรขึ้นกับทวีปเฟยหม่ากัน? ทำไมไม่มีใครตามล่าเขามาหลายวันแล้ว? นอกจากนี้เฟยเทียนเองก็ยังประกาศกร้าวออกมาเองด้วยว่าถ้าเขาไม่สามารถสังหารเจียงอี้ได้ภายในสิบวันเขาก็ไม่ควรจะเป็นมนุษย์อีก