เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 575-576
บทที่ 575 ข้าจะคืนอิสรภาพให้พวกเจ้า
“ฮู๊ฮู๊ ฮู๊!”
ขณะที่เจียงอี้กำลังครุ่นคิดอยู่ท้องฟ้าทางตะวันออกก็ส่งเสียงประหลาดออกมาอีกครั้ง เมื่อเฟิ่งหลวนมองไปทางนั้นร่างของนางก็สั่นเทาขึ้นมา นางรีบดึงเจียงอี้ให้หมอบลงซึ่งมันทำให้เขาตกใจและไม่กล้าหันไปมอง
มีชายหนุ่มอีกคนกำลังมาจากทางตะวันออกและเขาก็ดูอายุราวๆสิบเจ็ดสิบแปดปีเขายืนอยู่บนสิ่งประดิษฐ์คล้ายหัวกะโหลกยักษ์ มันใหญ่ประมาณสิบเมตรและเปล่งประกายด้วยแสงสีดำซึ่งดูน่ากลัวมาก มีอักขระสีเทาเข้มอยู่บนนั้นและก่อนที่กะโหลกนั่นจะใกล้เข้ามาก็มีลมชั่วร้ายวูบผ่านมาซึ่งทำให้เจียงอี้และเฟิ่งหลวนขนหัวลุก
ชายผู้นี้สวมเสื้อผ้าประหลาดๆขณะที่เขาสวมชุดสีแดงผมของเขาถูกถักทอเป็นเปียเส้นเล็กๆและที่คอของเขาก็มีสร้อยคอที่ทำจากกระดูกของสัตว์ร้าย เขาดูดีมากแต่น่าเสียดายที่ดวงตาของเขานั้นมีแววตาชั่วร้าย เฟิ่งหลวนเองก็มองเพียงแวบเดียวและไม่กล้ามองอีกต่อไปเพราะนางกลัวว่านางอาจจะดึงดูดความสนใจของคนผู้นี้และสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น
“ฮึ่ม!”
หลังจากนั้นจู่ๆชายหนุ่มผู้นั้นก็ส่งเสียงดังออกมาและทำให้แก้วหูของเจียงอี้และเฟิ่งหลวนปวดมาก ดวงตาของเฟิ่งหลวนเผยแววตาสังหารออกมาแต่เจียงอี้ก็คว้ามือนางไว้อย่างรวดเร็วซึ่งบ่งบอกนางเป็นนัยๆว่าอย่าผลีผลาม ชายหนุ่มผู้นี้อาจจะไม่ได้มีกลิ่นอายของขอบเขตเทียนจุนแต่เขาประหลาดมากและอาจจะฝึกฝนศาสตร์ชั่วร้ายบางอย่าง มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะอดทนและไม่ทำให้เรื่องราววุ่นวาย
โชคดีที่บุคคลผู้นี้ไม่ได้สนใจเจียงอี้และเฟิ่งหลวนบางทีเขาอาจจะรีบไปตามหาสิ่งประดิษฐ์ เขาจึงรีบบินไปทางตะวันตกเฉียงเหนืออย่างรวดเร็วด้วยหัวกะโหลกที่พัดพาความชั่วร้ายไปด้วย
“นายน้อยท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฟิ่งหลวนหยิบผ้าเช็ดหน้าของนางออกมาและค่อยๆช่วยเจียงอี้เช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากหูของเขาเมื่อเห็นเจียงอี้ส่ายมือ นางก็ถามอย่างเป็นกังวลว่า “นายน้อย ท่านคิดจะไปฉกหญ้ามังกรยาจกหรือเจ้าคะ?”
“ฮึฮึข้าก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้นแหละ”
เจียงอี้หัวเราะอย่างขมขื่นแค่เพียงชื่อราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับนั่นก็บ่งบอกได้แล้วว่ามันพิเศษเพียงใด หากนายน้อยและคุณหนูจากตระกูลอันทรงเกียรติจากทวีปจักรพรรดิบูรพามาที่นี่เพื่อมัน มันก็เป็นไปได้ที่ทวีปเงาทมิฬจะส่งยอดฝีมือมาที่นี่ด้วยเช่นกัน มันเป็นการรวมตัวของยอดฝีมือที่ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ ซึ่งมันก็ยากที่จะบอกว่าเขาจะเข้าไปที่นั่นได้หรือเปล่า และถึงแม้ว่าเขาจะเข้าไปในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับได้ แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับคนอื่นกัน?
ถอยหลังห่างไกลไปหมื่นก้าว…..
แม้ว่าเขาจะได้หญ้ามังกรยาจกมาแต่เขาก็จะถูกยอดฝีมือมากมายไล่ล่า แค่นายน้อยเฟยเทียนเพียงคนเดียวก็ทำให้เขาต้องหนีมาราวกับสุนัขได้แล้ว หากเขาถูกลูกหลานตระกูลอันทรงเกียรติไล่ล่าอีก เขาคงจะต้องตายแม้ว่าจะหนีขึ้นฟ้าหรือซ่อนอยู่ใต้ดินก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตาม….
หญ้ามังกรยาจกปรากฏขึ้นเพียงครั้งเดียวในทุกๆหมื่นปีและยอดฝีมือทั้งหลายก็คงจะพากันแก่งแย่งกัน และหากว่าเขาไม่ได้มันมาครองและต้องเผชิญหน้ากับคนที่มีโชคที่ท้าทายสวรรค์ ไม่ใช่ว่าเขายังต้องเฝ้ามองคนผู้นั้นอย่างหมดหนทางอีกหรอ?
หากปราศจากหญ้ามังกรยาจกร่างกายที่พังทลายของเขาก็จะไม่สามารถปรับปรุงได้และไม่สามารถบ่มเพาะพลังต่อได้ หากเขายังฝืนฝึกฝนมันต่อไปเพื่อเปลี่ยนดาวดวงที่สี่ในตันเทียนของเขา เขาคงจะต้องตายเพราะลมปราณแตกซ่านเป็นแน่
กายเนื้อคือรากเกิดแก่นพลังคือแหล่งกำเนิด ดวงจิตวิญญาณคือฐานชีวิต!
หากขาดสามสิ่งนี้ไปก็ใช้การไม่ได้อยู่ดีหากแก่นแท้พลังเขาไปไม่ถึงขอบเขตนั้นๆ เขาก็จะไม่สามารถสร้างพลังใดๆได้แม้ว่าเขาจะเข้าถึงรูปแบบเต๋าขั้นสูงก็ตาม และเขาก็จะติดอยู่ที่ขอบเขตจินกังไปตลอดชีวิต
เขาและโถงวรยุทธนั้นเป็นศัตรูกันและเจียงเปี๋ยหลีก็ตายด้วยน้ำมือของโถงวรยุทธ เขาต้องล้างแค้นให้พ่อของเขา พวกมันต้องชดใช้ ซูรั่วเสวี่ยเองก็ถูกจีทิงยวี่นำตัวไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพา นางเป็นหญิงที่เขารักมากที่สุดและเขาต้องการจะช่วยนาง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ มันจะไปมีประโยชน์อะไรแม้ว่าเขาจะไปถึงทวีปจักรพรรดิบูรพาแล้ว?
ดังนั้นเขาจึงอยากได้หญ้ามังกรยาจกแต่ในตอนนี้….มีผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาแต่เขาก็ทำได้เพียงมองอย่างช่วยไม่ได้และเจ็บปวดทรมานอยู่ในใจของเขา
“ลืมมันไปเถอะอย่าเสี่ยงมันเลยดีกว่าเพราะมันอันตรายเกินไป หากข้าตายมันก็คงจะไม่เป็นอะไร แต่เสี่ยวนู๋, อู๋ซวง, ว่านก้วนและคนอื่นๆจะต้องตายไปพร้อมกับข้า ไปทวีปจักรพรรดิบูรพาและตามหาหยูเวินก่อนจะดีกว่า”
ในที่สุดเจียงอี้ก็ตัดสินใจแล้วแน่นอนว่าเขาหวังอยู่ในใจมากว่าอีเพียวเพียวยังมีชีวิตอยู่ หากเขาหานางพบ เขาอาจจะขอความช่วยเหลือจากนางเพื่อช่วยชีวิตซูรั่วเสวี่ยได้ก็ได้ และจากนั้นเขาก็จะค่อยๆใช้เวลาตามหาหญ้ามังกรยาจกและล้างแค้นก็ยังไม่สาย
อีเพียวเพียวนั้นมีต้นกำเนิดที่ลึกลับและมันไม่สำคัญว่านางจะเป็นบุตรสาวของอีเชียนโฝหรือไม่แต่นางนั้นต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ เจียงอี้จะไม่รู้สึกละอายใจที่จะต้องพึ่งพาแม่ของตัวเองเลยเพราะว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับโถงวรยุทธและจักรพรรดิอุดรหวู่ซาง!
เนื่องจากเจียงอี้ได้ตัดสินใจแล้วเขาก็ไม่คิดอะไรมากอีกต่อไป หลังจากที่รอต่อไปอีกพักหนึ่ง เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีใครมาแล้ว เขาจึงบอกเฟิ่งหลวนว่าเขาจะใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาดูรอบๆนี้ก่อน
ญาณศักดิ์สิทธิ์ขยายกว้างออกไปราวกับสายลมที่แผ่ไปทั่วทุกสารทิศ
สามสิบนาทีต่อมาเขาก็ลืมตาขึ้นและพูดว่า “ไปริมทะเลกันเถอะ ตอนนี้มันปลอดภัยมากแล้วล่ะ”
“นายน้อยเราจะไม่ไปฉกหญ้ามังกรยาจกกันหรือเจ้าคะ?”
เมื่อนางเห็นว่าเจียงอี้กังวลกับมันเพียงไรนางก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกัดฟันแน่นและพูดว่า “หากนายน้อยต้องการมันจริงๆ เฟิ่งหลวนจะเสี่ยงชีวิตเพื่อนำมันมาให้ท่านเองเจ้าค่ะ”
“เอ่อ?”
ใจของเจียงอี้สั่นสะท้านนี่เป็นครั้งที่สองที่นางจะทำบางอย่างเพื่อเขา นอกจากนี้นางยังพร้อมที่จะเสี่ยงชีวิตของนาง เขาประทับใจมากอย่างสุดจะพรรณนาได้และยิ้มเบาๆ จากนั้นก็เอื้อมมือไปแตะบ่าของเฟิ่งหลวนแล้วพูดด้วยความจริงใจ “เฟิ่งเอ๋อร์ มันไม่จำเป็นหรอก ขอบใจมากนะ เราไปกันเถอะ”
เมื่อเห็นว่าเจียงอี้เป็นคนที่เด็ดเดี่ยวเพียงใดนางก็ไม่ได้พูดอะไรมากก่อนที่จะอุ้มเขาและบินไปที่ริมทะเล เดิมทีพวกเขาทั้งสองก็อยู่ไม่ไกลจากริมทะเลนั้นอยู่แล้ว และใช้เวลาเพียงสี่ชั่วโมง ทะเลเงานภาก็ปรากฏอยู่ข้างหน้าพวกเขาแล้ว
ริมทะเลนั้นเต็มไปด้วยทหารของจักรวรรดิเฟยหม่าและมีการคุ้มกันที่เข้มงวดกว่าชายทะเลทางตะวันตกมากฝั่งตรงข้ามของทะเลคือทวีปเงาทมิฬและความแข็งแกร่งของทวีปนั้นก็ไม่ต่างจากทวีปเฟยหม่าเลย
“ออกไปทางทะเลกันเถอะ!”
เจียงอี้ใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์สอดแนมและพบเส้นทางอย่างรวดเร็วเขาไม่ลังเลใดๆและบอกให้เฟิ่งหลวนพาเขาไปยังทะเล
เมื่อพวกเขาออกทะเลไปทั้งสองคนก็ไม่หยุดพักเลย พวกเขาอ้อมหน่วยลาดตระเวนไปและบินลงไปใต้ท้องทะเลลึก หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีหน่วยลาดตระเวนอื่นๆอยู่รอบๆ เจียงอี้ก็ให้เฟิ่งหลวนพาไปที่ก้นทะเลก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในราชวังจักรพรรดิ
หลังจากที่เดินทางติดต่อกันมาหลายวันและตอนนี้ก็พ้นจากอันตรายแล้วทั้งสองคนก็สบายใจขึ้นมามาก พวกเขาต่างพากันเข้าไปนอนในราชวังจักรพรรดิและเข้าสู่ห้วงนิทราไป
หลังจากที่หลับไปสิบหกชั่วโมงเจียงอี้ก็ค่อยๆตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาทำคือปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาและตรวจดูรอบๆ หลังจากที่ทุกอย่างปลอดภัยแล้วเขาก็ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ดูสถานการณ์ในราชวังจักรพรรดิต่อ
เจียงเสี่ยวนู๋เข้าสู่สันโดษ?หรือนางจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้? หากนางผ่านไปถึงขั้นที่สองของศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึกได้ นางอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนได้เลยหลังจากที่นางเปลี่ยนร่างของนางซึ่งทำให้เจียงอี้ตั้งหน้าตั้งตารอมาก
ส่วนประตูของหยุนเฟยก็ถูกปิดอย่างแน่นหนาและดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนหรือศึกษาศาสตร์เวทย์มนตร์และอาคมยับยั้งอยู่ส่วนประตูของจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนนั้นยังคงปิดสนิทซึ่งมันทำให้เจียงอี้พอใจมาก โดยเฉพาะกับเจ้าอ้วนเฉียนที่รู้สึกมาตลอดว่าการบ่มเพาะพลังเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายและหากว่าเขาเข้าสู่สันโดษเป็นเวลานานเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะจริงจังอยู่พอตัว
ส่วนจิ้งจอกน้อยเองก็หลับใหลไปเช่นกันในขณะที่สัตว์อสูรหยาจื้อกำลังนอนกรนอยู่ในห้องโถงใหญ่และสุดท้ายสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้ก็หยุดลงที่ห้องของเฟิ่งหลวน ประตูนั้นไม่ได้ปิดอยู่และไม่มีอาคมยับยั้งใดๆ เฟิ่งหลวนตื่นแล้วและกำลังคุยกับชิงหยีอยู่
บรึฟ!
อาคมยับยั้งที่ห้องของเจียงอี้สว่างขึ้นและเขาก็หายไปปรากฏตัวต่อหน้าเฟิ่งหลวนและชิงหยีเขาขัดเกลาราชวังจักรพรรดินี้แล้วดังนั้นเขาจึงสามารถควบคุมอาคมยับยั้งในนี้ได้เพื่อจะไปปรากฏที่ใดก็ได้ที่เขาต้องการ
“นายน้อย!”
เฟิ่งหลวนและชิงหยีต่างพากันรีบลุกขึ้นอย่างตกใจเจียงอี้สะบัดมือของเขาและยิ้ม “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่านายน้อยแล้ว พวกเจ้าไม่ใช่ทาสวิญญาณข้าอีกต่อไปและข้าจะคืนอิสรภาพให้พวกเจ้า ตอนนี้พวกเจ้ากลับบ้านได้แล้วนะ”
…
บทที่ 576 ข้า…..อยากจะอยู่ต่อ!
บรึฟ!
ศีรษะของเจียงอี้สว่างขึ้นและผนึกสีทองขนาดเล็กสองผนึกก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วผนึกเหล่านั้นกลายเป็นลำแสงสีทองและแทรกเข้าไปในหัวของเฟิ่งหลวนและชิงหยีก่อนที่จะหายลับไป
“โอ้”
ร่างอันบอบบางของเฟิ่งหลวนและชิงหยีสั่นสะท้านชั่วขณะในขณะนั้น ดวงตาของพวกนางก็สว่างขึ้นโดยเฉพาะชิงหยีที่ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและตื่นเต้น
“นายน้อยท่าน….”
เฟิ่งหลวนยืนขึ้นมาอย่างตื่นเต้นและไม่รู้จะแสดงท่าทีออกมาเช่นไรก่อนหน้านี้เจียงอี้เคยบอกพวกนางว่าจะคืนอิสรภาพให้พวกนาง แต่ในช่วงเวลานั้นนางก็ไม่ได้คิดมากและไม่ได้หวังว่าเจียงอี้จะมอบผนึกวิญญาณกลับมาให้พวกนางในตอนที่พวกเขามาถึงทะเลและคืนอิสรภาพให้จริงๆ
อันที่จริงแล้ว….!
วิธีที่เจียงอี้ทำนั้นช่างโง่เขลานักหากมีผู้ใดได้ครอบครองสาวงามและแข็งแกร่งทั้งสองนี้ พวกเขาก็คงจะเริงสำราญกับพวกนางในทุกๆวันและไม่มีวันปล่อยให้พวกนางหลุดมือไป ทั้งสองคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่น่าเกรงขาม ซึ่งการมีนักสู้ขอบเขตเทียนจุนเป็นทาสนั้นก็ป่าวประกาศชื่อเสียงในตัวมันเองแล้ว
เดิมทีเจียงอี้ให้สัญญาสิบปีกับพวกนางหลังจากที่เขาเป็นเจ้านายพวกนางแล้ว ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ล่วงเกินพวกนาง เขายังปฏิบัติต่อพวกนางเฉกเช่นสหาย แถมเขายังช่วยพวกนางกำจัดภัยจากเผ่าพันธุ์เงือกแล้วเขายังคืนอิสรภาพให้แก่พวกนางและให้พวกนางกลับไปอีกด้วยหรือ?
ผู้คนมากมายคงจะติเตียนเจียงอี้ว่าเขาเป็นคนโง่เง่าหากมีผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้หนทางสู่ทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นเต็มไปด้วยอันตราย หากไม่มีเฟิ่งหลวน โอกาสที่เขาจะตายก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้เฟิ่งหลวนและชิงหยียังเป็นศัตรูของเขามาก่อน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าทั้งคู่จะเปลี่ยนใจและล้างแค้นให้แก่ความอัปยศอดสูที่พวกนางต้องทนทุกข์ทรมานหรือไม่!
พรุ่บ!
ทันใดนั้นเองเฟิ่งหลวนดึงชิงหยีให้คุกเข่ากับนาง นางคำนับเขาสามครั้งก่อนที่จะเงยหน้าด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ดวงตาที่งดงามของนางยังมีประกายหยาดน้ำตาขณะที่นางพูดว่า “เฟิ่งหลวนขอบคุณนายน้อยที่เมตตา!”
เจียงอี้ยิ้มออกมาและมันเป็นรอยยิ้มที่สุกสกาวมาก
เขาไม่ได้ตัดสินพวกนางผิดเลยนิสัยของเฟิ่งหลวนและชิงหยีนั้นค่อนข้างดี อย่างน้อยทั้งคู่ก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะล้างแค้น แต่ตรงกันข้ามกลับรู้สึกขอบคุณเขาซึ่งสิ่งนี้มันทำให้เขาพอใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาเอื้อมมือไปพยุงพวกนางด้วยรอยยิ้ม“เฟิ่งเอ๋อร์ ชิงหยี ในวันนั้นข้าพลาดเข้าไปยังทวีปเฟิ่งหมิงโดยไม่ได้ตั้งใจ สุดท้ายข้าก็ทำให้พวกเจ้ากลายเป็นทาสวิญญาณเพื่อปกป้องตัวเอง อันที่จริงแล้วเราไม่ได้เกลียดชังหรือเป็นศัตรูกันและพวกเจ้าก็ไม่ได้ผิดอะไรหากมองสิ่งต่างๆในมุมของพวกเจ้า หลายเดือนที่ผ่านมา พวกเจ้าคอยช่วยเหลือข้ามามากมายแต่ข้าก็ยังปฏิบัติกับพวกเจ้าราวกับทาสวิญญาณ ข้าจะยังสมควรที่จะเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?”
เจียงอี้เป็นผู้ที่มีความอ่อนไหวมาโดยตลอดเขาอาจจะเป็นปีศาจที่โหดเหี้ยมกับศัตรูของเขา แต่ผู้ที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างมีเมตตาหรือช่วยเหลือเขา เขาจะตอบแทนคนเหล่านั้นคืนหลายเท่า หลายครั้งเฟิ่งหลวนเสี่ยงชีวิตเพื่อเขาซึ่งมันได้ใจเขาไป ดังนั้นตอนนี้เขากำลังจะมุ่งหน้าไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาที่เต็มไปด้วยอันตราย มันก็คงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ให้ทั้งสองเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้
“นายน้อยช่างเป็นคนที่ดีเยี่ยมจริงๆ!”
แก้มของชิงหยีอาบไปด้วยน้ำตาความสุขที่ได้อิสรภาพคืนมามันทำให้นางกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ ในขณะเดียวกันเฟิ่งหลวนอาจไม่ได้อ่อนไหวเท่านางแต่ดวงตาของเฟิ่งหลวนเองก็เป็นสีแดงก่ำเช่นกัน
“เอาล่ะเอาล่ะ!”
เจียงอี้เช็ดน้ำตาชิงหยีเบาๆและยื่นมือไปลูบหัวเฟิ่งหลวนก่อนที่จะพูดเบาๆ“ไม่ว่าพวกเจ้าจะเกลียดข้า, โทษข้า หรือขอบคุณข้า แต่ข้าก็จะปฏิบัติกับพวกเจ้าเช่นสหาย คำมั่นที่ข้าเคยให้ไว้ว่าหากวันหนึ่งข้าเป็นผู้ไร้เทียมทานแล้ว ข้าจะทำให้ตระกูลของพวกเจ้ารุ่งโรจน์อย่างแน่นอน ตอนนี้มันอาจดูอวดดีไปหน่อย แต่นี่คือคำสัญญาจากลูกผู้ชาย อ้อ พวกเจ้าออกไปได้ทุกเมื่อที่ต้องการนะ ระวังเส้นทางตอนกลับด้วยล่ะ ตระกูลพวกเจ้ายังรอพวกเจ้าอยู่และข้าหวังว่าเราจะได้พบกันในภายภาคหน้า”
ฮึกฮึก!
คราวนี้แม้แต่เฟิ่งหลวนก็ยังน้ำตาไหลออกมา นางกอดเจียงอี้และซุกอกของเขา ส่วนชิงหยีก็ร่วมกอดพวกเขาแน่นและสะอื้นตามจนน้ำตาเปียกโชกที่อกของเจียงอี้ไปหมด
ทวีปเฟิ่งหมิงเป็นที่ที่ผู้หญิงมีตำแหน่งสูงสุด!
ตั้งแต่ยังเด็กผู้หญิงจะถูกสอนว่าผู้ชายไม่มีความน่าเชื่อถือและพวกนางจะต้องเป็นหญิงที่เข้มแข็งและไม่เป็นของผู้ใดเสมอ
ทั้งคู่ก็ถูกสอนมาเช่นนี้แต่ไม่ว่าพวกนางจะเข้มแข็งเพียงใดแต่พวกนางก็ยังเป็นผู้หญิง ซึ่งทั้งคู่ต่างโหยหาชายผู้ที่ไม่ย่อท้อเพื่อปกป้องพวกนางจากลมและฝนและสร้างที่พักพิงที่ปลอดภัยไว้ให้พวกนาง
เจียงอี้ทำให้ความเข้าใจในตัวผู้ชายของพวกนางเปลี่ยนไป
ตอนนี้ในที่สุดพวกนางก็ได้อิสรภาพคืนมาและกลับมาเป็นจักรพรรดินีและแม่หญิงต่อได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดของเจียงอี้ทำให้พวกนางไม่สามารถกลั้นความรู้สึกของพวกนางได้และระบายมันออกมาในคราวเดียว
“เอาล่ะเอาล่ะ หากพวกเจ้ายังร้องไห้อยู่เช่นนี้พวกเจ้าจะไม่สวยเอานะ!”
เจียงอี้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าการปล่อยทั้งคู่ให้เป็นอิสระจะเป็นสิ่งที่โง่เง่ามาก?การสูญเสียเฟิ่งหลวนไปจะทำให้การเดินทางของเขาอันตรายมากยิ่งขึ้นแต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำตามหัวใจของเขา
มีการได้รับและสูญเสียสิ่งที่ล่อใจในชีวิตคนผู้หนึ่งมากมาย
มันคงเป็นโชคดีที่ข้าได้รับมันมาหรือไม่ก็เป็นชะตาที่ต้องสูญสิ้นมันไป
มันคงจะไม่น่าชื่นชมอีกต่อไปหากทุกสิ่งทุกอย่างกำหนดได้เรื่อยๆเพียงแค่ทำสิ่งที่ต้องการและไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากมาย ตามหัวใจไปและเจ้าจะพบสิ่งที่ชัดเจนในใจ ซึ่งหนทางนี้ เจ้าจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
นี่คือสิ่งที่เจียงอี้ยึดมั่นและปฏิบัติตามมาโดยตลอดทำไมเขาจะต้องไปสนใจความคิดของผู้อื่นแม้ว่าจะมีคนนับร้อยพันเรียกเขาว่าคนโง่เง่าตราบใดที่เขามีความสุขกับมันกันล่ะ?
….
เมื่อเฟิ่งหลวนและชิงหยีได้ยินคำพูดของเจียงอี้พวกนางก็หยุดร้องอย่างรวดเร็ว มันเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงที่จะชื่นชอบในความงาม
“อื้อ!”
เจียงอี้นำพวกนางออกจากอกเขาและช่วยทั้งคู่จัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงก่อนที่จะยิ้ม“อีกสองชั่วโมง ข้าจะเดินทางไปยังทวีปเงาทมิฬ พวกเจ้าก็น่าจะไปหลังจากที่ได้พักผ่อนสักครู่หนึ่งก่อน พวกเจ้าสามารถมุ่งไปทางเหนือของทะเลราตรีสีเลือดและกลับบ้านไปอย่างเงียบๆ โถงวรยุทธจะไม่ลงมือกับพวกเจ้าเมื่อข้าไม่ได้อยู่ด้วย”
เจียงอี้หันกลับไปและออกไปหลังจากที่เขาพูดจบเขากลับไปที่ห้องของตัวเองและแผ่ญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมา เขาตรวจสอบรัศมีหนึ่งล้านกิโลเมตรก่อนที่จะเตรียมตัวออกเดินทาง
“จักรพรรดินีฮือ ฮือออ!”
หลังจากที่เจียงอี้ออกไปแล้วชิงหยีก็กอดเฟิ่งหลวนและร้องไห้ออกมาขณะที่เฟิ่งหลวนหยุดร้องไห้แล้ว นางหลับตาลงและก้มหน้าซึ่งขนตาของนางสั่นไหวและไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่
ชิงหยีร้องห่มร้องไห้ออกมาเป็นระยะและทันใดนั้นนางก็เช็ดน้ำตาและกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข นางยิ้มและพูดว่า “จักรพรรดินี ในที่สุดเราก็ได้อิสรภาพคืนมาแล้ว ไปอำลานายน้อยแล้วกลับบ้านกันเถอะ! ชิงหยีเริ่มฝันว่าได้กลับบ้านแล้ว ข้าคิดถึงท่านแม่เหลือเกิน”
เฟิ่งหลวนเงยหน้าขึ้นมาและมีร่องรอยของความไม่เต็มใจในดวงตาของนางนางนิ่งไปชั่วขณะและกัดฟันแน่นพร้อมพูดว่า “ชิงหยี เจ้ากลับไปคนเดียวไหม? ข้า…..อยากจะอยู่ต่อ”
…