เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 579-580
บทที่ 579 ข้าเป็นคนดีขนาดนั้นเลยหรือ?
“พวกเจ้าช่างเอาแต่ใจนัก!”
ใบหน้าของเจียงอี้มืดมนและตำหนิพวกนางด้วยความโกรธ“พวกเจ้าเห็นว่าชีวิตพวกเจ้ามันราบรื่นและสบายเกินไปหรือ? พวกเจ้ารู้ไหมว่าศัตรูของข้าคือใคร? โถงวรยุทธนะ! แล้วประมุขใหญ่โถงวรยุทธเป็นใคร? จักรพรรดิอุดรหวู่ซาง! หากพวกเจ้าติดตามข้าต่อไป ข้ารับรองได้เลยว่าพวกเจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน กลับไปยังทวีปเฟิ่งหมิงซะ หรือไม่เช่นนั้น….หากข้าถูกก่อกวน ข้าจะบังคับให้พวกเจ้าตกเป็นของข้าซะ!”
น้ำเสียงของเจียงอี้ไม่ได้ใจดีเลยแม้แต่น้อย
แต่เฟิ่งหลวนและชิงหยีก็มองหน้ากันและหัวเราะออกมาพวกนางไม่ได้จริงจังอะไรเลย และเมื่อเห็นเจียงอี้กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองเจียงอี้ด้วยดวงตาที่สดใสก่อนที่นางจะพูดอย่างจริงจังว่า “นายน้อย อย่าพูดอะไรอีกเลย เราตัดสินใจแล้วว่าอีกสิบปีเราจะจากไปและนายน้อยก็ไม่จำเป็นต้องไล่เรากลับไปเลย”
เมื่อมองไปที่ดวงตาของเฟิ่งหลวนเจียงอี้ก็ตระหนักได้ว่าพวกนางจะไม่ยอมแพ้ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด
เจียงอี้ถอนหายใจเบาๆแต่ก็ตัดสินใจที่จะเกลี้ยกล่อมพวกนางอีกครั้ง“เฟิ่งเอ๋อร์ ทำไมเจ้าต้องทำให้ตัวเองลำบากถึงเพียงนี้? พวกเจ้าไม่คิดถึงครอบครัวหรอ? พวกเจ้าไม่นึกถึงทวีปของพวกเจ้าหรอ? หากเกิดอะไรกับพวกเจ้าขึ้นมาใครจะอยู่ที่นั่นเพื่อปกป้องทวีปของพวกเจ้ากัน?”
“ฮิฮิ!”
เฟิ่งหลวนยิ้มจางๆและพูดอย่างไม่หวั่นไหวว่า“ท่านประเมินตระกูลของเราต่ำไปจริงๆ แม้ว่าเราจะตาย ตระกูลของเราก็จะปั้นลูกหลานอีกสองคนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อันที่จริงแล้ว ก่อนที่ข้าจะออกจากทวีป ข้าก็ได้ส่งข้อความลับไปยังตระกูลของข้าแล้วเพื่อให้พวกเขาหาคนปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณ หากข้าไม่กลับไปที่นั่นในอีกสิบปี นางจะเป็นผู้สืบทอดของข้า”
“อ๊ะ?”
เจียงอี้ประหลาดใจและถามว่า“ตระกูลของเจ้าก็มีชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณหรือ? แล้วยังเป็นระดับสูงเหมือนกันด้วยหรือเปล่า?”
“ฮ่าฮ่า!”
เฟิ่งหลวนแลบลิ้นออกมาและพูดว่า“ข้าไม่บอกท่านหรอก…”
“เจ้านี่เลวร้ายจริงๆ!”
เจียงอี้กลอกตาและถอนหายใจอย่างไม่เต็มใจอีกครั้ง“พวกเจ้าโง่เขลาอะไรเช่นนี้? ข้าขัดเกลาศิลาสวรรค์มากมายและทำให้ร่างกายของข้าพังไปแล้ว ความแข็งแกร่งของข้าอาจหยุดเพียงเท่านี้และการที่พวกเจ้าตามข้าพวกเจ้าก็คงไม่ได้มีอนาคตที่สดใสหรอกนะ แถมข้ายังจะลากพวกเจ้าลงมาแทน แล้ววันหนึ่งพวกเจ้าจะต้องเสียใจแน่ๆ”
“ฮ่าฮ่าแล้วการที่ท่านคืนผนึกแห่งดวงจิตให้พวกข้า มันไม่ใช่ว่าท่านทำอะไรโง่เขลาเหมือนกันหรือ?”
เฟิ่งหลวนยิ้มก่อนจะพูดต่อ“อย่างที่ท่านว่า ตอนนั้นข้าพยายามปรับแต่งท่านแต่นายน้อยก็มีพลังมากกว่าและมาปรับแต่งข้าแทน จากมุมมองของท่าน ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรผิดและเราก็รู้สึกแย่มาก อย่างไรก็ตาม นายน้อยจะออกจากทวีปมากับพวกข้าก่อนก็ได้แต่ท่านก็ยังช่วยเรากำจัดจักรพรรดิเงือกและจักรพรรดิอสูรชือซึ่งเป็นการขจัดภัยคุกคามครั้งใหญ่แก่ทวีปของเรา พลเมืองหลายสิบล้านคนของทวีปเราเป็นหนี้ชีวิตท่านและพวกเขาไม่สามารถตอบแทนบุญคุณเหล่านี้ได้ ดังนั้นชิงหยีและข้าจะตอบแทนแทนพวกเขาเอง!”
“นายน้อยมีพวกเราเป็นทาสวิญญาณแต่ก็ปล่อยให้พวกเราจากไปแต่โดยดีพวกเรานั้นไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากความเคารพอย่างแท้จริงตลอดการเดินทางนี้ ท่านเห็นเราเป็นสหายและน้องสาว ใจของเฟิ่งเอ๋อร์และชิงหยีก็ไม่ได้แข็งราวเหล็กกล้านะเจ้าคะ จะไม่ให้พวกข้ารู้ซึ้งถึงความเมตตาของท่านได้อย่างไร? เรามีข้อตกลงสิบปีแต่ท่านกลับให้อิสระเรากลับมาก่อน ท่านดีกับเรามากนัก หากชิงหยีกับข้าไม่รู้คุณคน เราจะยังคู่ควรเป็นมนุษย์อยู่หรือ?”
คำพูดของนางเสียงดังกังวาน,มีเหตุผลและน่าหลงใหล แม้แต่เจียงอี้ก็ไม่รู้ว่าจะโต้กลับอย่างไร เขากระพริบตาและแตะหัวโล้นๆของเขาแล้วถามว่า “นี่ข้าเป็นคนดีขนาดนั้นเลยหรือ?”
“อุ๊บ!..”
ทั้งเฟิ่งหลวนและชิงหยีต่างพากันหัวเราะออกมาและประกายที่งดงามในดวงตาของพวกนางก็เผยออกมาซึ่งทำให้เจียงอี้หลงใหลในเสน่ห์นั้น
“ฮู่ว!”
เจียงอี้หยุดหายใจไปชั่วขณะก่อนที่จะหายใจเข้าไปเขาลูบหน้าตัวเองและพูดว่า “ก็ได้ๆ หากพวกเจ้าอยากจะตามข้ามาขนาดนี้ข้าจะให้พวกเจ้าตามข้ามาก็ได้ เลิกพูดเถอะ ข้าเถียงสู้พวกเจ้าไม่ได้อยู่ดี เราไปกันเถอะ!”
ฮิฮิ!
พวกนางหัวเราะออกมาเหมือนผู้ชนะและตามเจียงอี้ไปโดยมีหนึ่งคนอยู่ทางซ้ายและอีกคนอยู่ทางขวาและพวกเขาก็วิ่งไปทางจูสุยและคนของเขา
“ไปที่เรือลำเล็กของพวกเจ้าเถอะ!”
เจียงอี้เดินไปอยู่ข้างหน้าจูสุยและโบกมือให้ทุกคนไปยังเรือลำเล็กที่อยู่ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร ซึ่งทุกคนก็รวดเร็วมากและมาถึงเรือในไม่กี่นาที
“อ๊ะ?นายน้อยกลับมาแล้ว?”
บนเรือมีสาวใช้ที่น่ารักอยู่ห้าคนแต่พวกนางอ่อนแอมากและอยู่เพียงขอบเขตจื่อฝู่เท่านั้น ทุกคนต่างพากันดีใจเมื่อเห็นมีคนกำลังกลับมา ตอนนี้คนที่แข็งแกร่งบนเรือทั้งหมดไม่อยู่เลยและมันทำให้พวกนางกังวลมาก
“เอ๋?”
เมื่อกลุ่มคนเข้ามาใกล้ๆสาวใช้ทั้งห้าก็พบว่านายน้อยของพวกนางไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุด แต่กลับเป็นชายหนุ่มที่มีท่าทางแปลกๆอยู่ข้างหน้าทุกคนแทน เขาหัวโล้น, สวมชุดเกราะหนังและห้อยต่างหูซึ่งมันดูแปลกกว่านายน้อยของเขา ซึ่งกิริยาที่เขาแสดงออกมามันก็ยิ่งทำให้สาวใช้รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
“มานี่และคารวะนายท่านของพวกเจ้าซะ”
หลังจากที่เจียงอี้และคนอื่นๆบินขึ้นเรือมาจูสุยก็เห็นว่าสาวใช้เหล่านี้ไม่ทำอะไรเลยซึ่งใบหน้าของเขาก็มืดมนลงและตะโกนออกมาอย่างเย็นชา ในตอนแรกพวกนางก็ต่างพากันตกใจและรู้สึกสับสนเล็กน้อยว่าทำไมนายน้อยของพวกนางถึงบอกว่าเจียงอี้เป็นนายท่านกัน แต่พวกนางก็ไม่กล้าถามสิ่งใดออกมาและคุกเข่าลงอย่างหวาดกลัว “คารวะท่านใต้เท้า”
“ลุกขึ้นเถอะ!”
เมื่อมองไปที่สาวใช้เหล่านี้เขาก็กังวลเล็กน้อยเพราะพวกนางอ่อนแอเกินไป การเอาผนึกแห่งดวงจิตของพวกนางมามันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเขาได้เลย และการมีผนึกแห่งดวงจิตในจิตวิญญาณของตนมากเกินไปก็ส่งผลเสียได้เช่นกัน แต่เจียงอี้ก็ไม่ได้ใจแข็งพอที่จะสังหารพวกนาง แต่หากเขาปล่อยพวกนางไว้ แล้วถ้าหากว่าพวกนางเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาล่ะ?
ชายผมหงอกผู้อาวุโสฉีเห็นความลังเลของเจียงอี้ เขาจึงป้องมือและพูดว่า “นายท่าน ท่านไม่ต้องกังวลไป พวกนางทั้งหมดเป็นทาสที่ถูกขัดเกลาจากตระกูลราชวงศ์ ชีวิตของพวกนางถูกข้าควบคุมไว้ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลเลยขอรับ”
“โอ้!”
เจียงอี้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเขาเดินเข้าไปในห้องโดยสารพร้อมกับคนอื่นและนั่งตรงที่นั่งข้างหน้าอย่างไม่ลังเล เขาโบกมือให้เฟิ่งหลวนและชิงหยีมานั่งข้างๆ และโบกมือให้จูสุยและคนอื่นๆด้วย “พวกเจ้าก็มานั่งเถอะ”
พวกเขาจะไปกล้านั่งได้อย่างไร?แต่เนื่องจากเจียงอี้ออกคำสั่งแล้ว พวกเขาจึงไม่กล้าฝืนและไม่มีทางอื่นนอกจากนั่งลงไป
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลมากมายหรอก”
เจียงอี้หันไปหาผู้อาวุโสฉีและพูดว่า“ข้าสัญญาว่าจะคืนผนึกแห่งดวงจิตเมื่อครบหนึ่งปีและข้าตั้งใจจะทำตามคำพูดของข้า เจ้าแค่ต้องพาข้าไปยังราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับและหากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เราอาจคืนอิสรภาพให้พวกเจ้าในไม่ช้า พวกเจ้าสามารถใช้ชีวิตอย่างที่เคยใช้มาและข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว”
“ขอบคุณมากขอรับนายท่าน!”
ผู้อาวุโสฉีลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจูสุยและผู้อาวุโสกู่เองก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน
เจียงอี้โบกมือและกล่าวว่า“ข้าไม่มีกฏมากนักและอย่าเรียกข้าว่านายท่าน ให้เรียกข้าว่านายน้อยที่สองแทน เมื่อเราไปยังจักรวรรดิเฟยหม่า ข้าจะเป็นน้องสองของจู…..จูสุย ต่อหน้าคนอื่นพวกเจ้าก็รับคำสั่งในสิ่งที่จูสุยต้องการไปก่อน พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเคารพข้ามากมายอะไรนัก โดยเฉพาะจูสุย เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้วขอรับ!”
ทั้งสามป้องมือตอบอย่างพร้อมเพรียงกันพวกเขาเองก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆจะไม่เลวร้ายอะไรนัก หากเจียงอี้รักษาสัญญาจริง ในวันหนึ่งพวกเขาก็จะได้อิสรภาพคืนไป
“เอาล่ะ!”
เจียงอี้พยักหน้าเบาๆและยิ้มเขาพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เรื่องต่อไป เราจะหารือกันเรื่องราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับกันดีไหม?”
บทที่ 580 ทุกคนควรเอาอย่างจักรพรรดิลี้ลับ
ตั้งแต่เริ่มต้นยุคของหมู่มวลมนุษย์ชาติแดนเทียนชิงก็ก่อกำเนิดมาเป็นเวลาล้านปีแล้ว
ล้านปีก่อนเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ครองปฐพีนี้ ทุกทวีปถูกปกครองโดยปีศาจที่ทรงพลังซึ่งมันนำหายนะมาสู่ผู้คน มนุษย์ถูกผลักไสให้ไปอยู่ที่ภูเขารกร้าง, ทุ่งที่แห้งแล้งและหมู่เกาะต่างๆเพื่อดำเนินชีวิต
หลังจากนั้นก็มีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งหลายคนถือกำเนิดขึ้นในเผ่าพันธุ์มนุษย์พวกเขาคอยต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจและอสูรขณะที่คอยผลักดันหมู่มวลมนุษย์ซึ่งมันใช้เวลานับสามแสนปีในการปราบเหล่าปีศาจและขึ้นเป็นผู้ปกครองทวีปนี้ ปรมาจารย์ยอดฝีมือเหล่านี้ได้ทิ้งตำนานและนิทานไว้มากมายในทวีปต่างๆ
ประมาณเจ็ดแสนปีก่อนมีอัจฉริยะยอดเยี่ยมที่ไม่เคยมีมาก่อนจากเกาะลี้ลับ มันเป็นเกาะเล็กๆทางใต้ของแดนเทียนชิง เขาข้ามทะเลไปยังจักรพรรดิบูรพาเมื่ออายุประมาณสิบห้าปีและเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเป็นตำนานของเขา
ในยามนั้นมนุษย์มีองค์จักรพรรดิเพียงองค์เดียวที่เป็นผู้นำและต่อสู้ดิ้นรนกับกองทัพปีศาจทั้งสี่เผ่าพันธุ์ แต่จักรพรรดิองค์นี้ก็เหลืออายุขัยไม่ถึงร้อยปีแล้วและไม่มียอดฝีมือปรากฏตัวขึ้นมาเลย เมื่อจักรพรรดิองค์นี้สิ้นใจ เผ่าพันธุ์มนุษย์อาจถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจโจมตีได้ทุกเมื่อ
เมื่อเขาเข้าสู่ทวีปจักรพรรดิบูรพาชายหนุ่มผู้นี้ก็รุ่งโรจน์ราวกับดวงดารา เขาเข้าร่วมกองทัพต่อต้านปีศาจและทะลวงของเขตจินกังตอนอายุสิบห้าปีและกลายเป็นแม่ทัพ เมื่อเขาอายุสิบเก้าปี เขาก็เป็นผู้บัญชาการที่นำทัพได้ด้วยตัวเองและเมื่อเขาอายุยี่สิบสองปี กองกำลังของเขาได้กวาดล้างทองทัพปีศาจภายใต้คำสั่งของเขาและเข่นฆ่าปีศาจไปหลายสิบล้านตน เมื่ออายุได้ยี่สิบแปดปี เขากลายเป็นบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิองค์นั้น และในอายุสามสิบปี เขาได้บุกเข้าไปยังฐานทัพของเผ่าพันธุ์ปีศาจและสังหารปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ไปสิบสามตน มันเป็นการปูเส้นทางสู่ชัยชนะของมนุษยชาติตั้งแต่ยามนั้น
เขาใช้เวลาสิบห้าปีในการทำสิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถทำได้ตลอดช่วงชีวิตของพวกเขาแม้แต่จักรพรรดิก็ยังยอมรับว่าตัวเขาเองก็ยังเทียบไม่ได้ หลังจากนั้นจักรพรรดิองค์นี้ก็ได้สละราชบัลลังก์ให้กับเขา จากนั้นชายผู้นั้นก็นำทัพมนุษย์และทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจและขับไล่ไปยังภูเขาที่รกร้าง, ทะเลลึก, เกาะที่ไม่มีใครอยู่และพื้นที่ตอนเหนือสุด จากนั้นเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่มีพละกำลังที่จะสู้กลับอีกต่อไป
หลังจากไล่บี้เผ่าพันธุ์ปีศาจไปแล้วจักรพรรดิองค์ใหม่นี้ก็แยกตัวสู่สันโดษและหมกมุ่นอยู่กับการฝึกวรยุทธ หลังจากที่เขาเป็นผู้ปกครองแดนเทียนชิง เขาก็ทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการฝึกยุทธและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของขุนนางและปล่อยให้มันดำเนินไปด้วยแม่ทัพที่มีอำนาจสูงสุดเก้าคน โชคดีที่เขามีบารมีสูงส่งจึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ากบฏ ส่วนเผ่าพันธุ์ปีศาจเองก็ไม่กล้าเข้ามายุ่มย่ามในตอนที่เขาเป็นจักรพรรดิ
เขาเข้าสู่สันโดษเป็นเวลาเจ็ดสิบปี!
แม่ทัพทั้งเก้าเริ่มสร้างตระกูลขึ้นมาและกลายเป็นเก้าตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดในทวีปจักรพรรดิบูรพาและมีหนึ่งในแม่ทัพที่ชราเกินไปและกำลังจะตายลงในไม่ช้า
หลังจากที่เขาออกจากสันโดษเขาก็เดินทางท่องไปรอบๆแดนเทียนชิงและสังหารปีศาจที่เหลืออยู่อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็รวบรวมแม่ทัพทั้งเก้ามาหารือเรื่องลับบางอย่าง หลังจากนั้นเขาก็ทุบพื้นด้วยดาบของเขาและบินไปยังดวงอาทิตย์ต่อหน้าผู้คนหลายพันล้านคน
นามของเขาคือจักรพรรดิลี้ลับ!
เขาไม่ใช่หนึ่งในผู้แข็งแกร่งใดๆแต่เป็นชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนเทียนชิงแห่งนี้!
มีเขาเพียงคนเดียวที่ทะลวงอากาศขึ้นไปสู่ท้องฟ้าที่ไกลลิบจึงไม่มีใครล่วงรู้ว่าเขาไปแดนสวรรค์หรือตายไปแล้วแต่อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของเขานั้นก็ไม่เคยมีมาก่อนและไม่มีผู้ใดเทียบเทียม
ส่วนราชวังลี้ลับที่เขาอาศัยอยู่ก็ได้หายลับไปเมื่อเขาทุบพื้นที่ตรงนั้นแต่ผู้คนก็คุ้นเคยกับการเรียกมันว่าราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเพื่อคอยรำลึกถึงและให้เกียรติจักรพรรดิลี้ลับไปแล้ว
ราชวังแห่งนี้ปรากฏขึ้นทุกๆหนึ่งพันปีในสถานที่ต่างๆอย่างน่าพิศวงมันอาจจะปรากฏที่ก้นบึ้งทะเล, ในป่าที่ไม่มีผู้ใดอยู่ หรือทวีปต่างๆในแดนเทียนชิง
ทุกๆครั้งที่ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับนี้ปรากฏขึ้นมามันจะคงอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาหนึ่งปีและหลังจากนั้นจะหายไปและมีเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถเข้าไปล่าสมบัติได้ และผู้เชี่ยวชาญที่มีอายุมากกว่าสามสิบปีก็จะไม่สามารถเข้าไปที่นั่นได้ไม่ว่าจะมีพลังมากเพียงใดก็ตาม
สมบัติทุกอย่างของจักรพรรดิลี้ลับผู้นั้นถูกเก็บไว้ในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าขานกันมาว่ากระบี่ลี้ลับที่เป็นของจักรพรรดิลี้ลับก็อยู่ในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเช่นกันศาสตราวุทธนี้เป็นสิ่งที่มีมนต์ขลังอย่างแท้จริงและสามารถฟาดฟันผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนได้ง่ายราวกับหั่นผัก ชุดเกราะที่จักรพรรดิลี้ลับเคยสวมใส่เองก็อยู่ในนั้นเช่นกัน แม้แต่เด็กเล็กเองก็ไม่ได้รับอันตรายจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดเลยหากว่าเขาสวมชุดเกราะนั้น
ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับนั้นเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่จักรพรรดิลี้ลับได้มอบให้แก่ผู้คนในแดนเทียนชิงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าทำไมราชวังนั้นจึงหายไปและปรากฏขึ้นอีกครั้งในทุกๆหนึ่งพันปี อย่างไรก็ตาม…ทุกคนในแดนเทียนชิงต่างรู้ดีว่าจักรพรรดิลี้ลับคอยช่วยเหลือผู้คนของเขาอยู่ เขาช่วยให้คนที่มีพรสวรรค์ได้สมบัติบางอย่างที่จะทำให้พัฒนาได้อย่างรวดเร็วและช่วยให้มนุษย์แข็งแกร่งขึ้นและคอยปราบปรามเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ตลอดไป
คนรุ่นหลังเองก็รู้สึกขอบคุณจักรพรรดิลี้ลับมากมีรูปปั้นของเขาอยู่ในหลายๆเมืองในทวีปจักรพรรดิบูรพาซึ่งมันเป็นที่เคารพบูชาคนผู้คนทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนผู้ที่ได้สมบัติจากราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับก็จะได้รับการยกย่องจากตระกูลเพราะถือว่าพวกเขาเหล่านั้นได้รับการยอมรับจากจักรพรรดิลี้ลับ
แต่ก็แน่นอนว่า…
มีผู้เชี่ยวชาญบางคนที่ใฝ่ฝันที่จะทำลายอาคมยับยั้งในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับและครอบครองราชวังพร้อมกับกระบี่ลี้ลับและเกราะที่อยู่ภายในนั้นแต่ผู้ที่มีความคิดเช่นนั้นมักจะลงเองด้วยความตายที่โหดร้ายเสมอ
และในเวลานั้นหากมีผู้ใดกล้าทำลายราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ เหล่าแม่ทัพทั้งเก้าของทวีปจักรพรรดิบูรพาก็จะไล่ล่าคนผู้นั้นสุดหล้าฟ้าเขียวและคนผู้นั้นจะไม่มีที่ให้อยู่ทั่วทั้งแดนเทียนชิง
คราวก่อนราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับปรากฏขึ้นทางตอนเหนือสุดของแดนเทียนชิงและถูกค้นพบเมื่อมันกำลังจะหายไปผู้คนมากมายที่ได้รับข้อมูลมาต่างก็พากันไปที่นั่นแต่มันก็สายเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเข้าไปหาสมบัติได้เลย
หลังจากที่ผ่านมาหนึ่งพันปีราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้มันปรากฏอยู่บนทวีปเฟยหม่าเมื่อข่าวไปถึงหูทวีปจักรพรรดิบูรพา ทั้งทวีปต่างก็ลือกันสนั่น ลูกหลานตระกูลอันทรงเกียรติพากันไปที่นั่นอย่างบ้าคลั่งและทุกทวีปรอบๆทวีปเฟยหม่าเองก็ไปยังราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับอย่างรวดเร็วเช่นกัน
จูสุยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่แน่นอนว่าเขาไม่เคยคิดที่จะเข้าไปในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเองอยู่แล้วเขาเพียงต้องการสร้างพันธมิตรกับลูกหลานของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่ด้านนอกราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเท่านั้น หากเขาสามารถเอาชนะใจของแม่นางอีที่สามและแม่นางหย่าได้ เขาก็จะได้รุ่งโรจน์ขึ้นมา
จูสุยเป็นองค์ชายของทวีปเงาทมิฬแต่น่าเสียดายที่เขากำเนิดมาจากสาวใช้ในวังและมีตำแหน่งที่ต่ำมากนั่นคือเหตุผลที่ผู้อาวุโสฉีบอกว่าเขาก็เป็นองค์ชาย เขาแอบมาที่นี่อย่างลับๆและไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นทาสวิญญาณของเจียงอี้เมื่อเขาเพิ่งจะมาถึงทะเลเงานภา
“ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับจักรพรรดิลี้ลับ……….โอรสแห่งแดนสวรรค์”
เจียงอี้ถอนใจอย่างช่วยไม่ได้และเงียบไปหลังจากที่ฟังจูสุยพูดเรื่องน้ผู้อาวุโสฉี, เฟิ่งหลวนและชิงหยีเองก็นิ่งงันเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม จากการหายใจที่ถี่ขึ้นและดวงตาที่เป็นประกายของพวกเขา มันก็เห็นได้ชัดอยู่ว่าพวกเขาตื่นเต้นอยู่ในใจ
หลังจากที่เงียบไปนานเจียงอี้ก็ลุกขึ้นและสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ และถอนหายใจ “ทุกคนควรเอาอย่างจักรพรรดิลี้ลับนะ การบรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่, นำพรมาสู่ปฐพีนี้, ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์และเป็นที่เคารพบูชาจากผู้คนนั้นเป็นหนทางการดำเนินชีวิตของคนๆหนึ่ง”
“นายน้อยมีความทะเยอทะยานดีมากเจ้าค่ะ”
หลังจากฟังคำพูดของเจียงอี้ดวงตาของเฟิ่งหลวนก็สว่างขึ้นมาและชิงหยีก็ยกนิ้วให้เขา บางที อาจมีเพียงเจียงอี้เท่านั้นที่กล้าพูดอะไรเช่นนี้ และยิ่งมันออกมาจากปากของเจียงอี้มันก็ไม่ได้ฟังดูน่าอึดอัดอะไร หากคนอื่นกล้าพูดอะไรเช่นนี้ออกมา พวกนางอาจจะเข้าไปตบหน้าคนเหล่านั้นไปแล้ว
“ฮ่าฮ่าข้าแค่พูดไปเรื่อยน่ะ”
เจียงอี้แตะจมูกของเขาและหัวเราะออกมาอย่างเคอะเขินเขาโบกมือและสั่งว่า “ผู้อาวุโสฉี คุมเรือไปยังทวีปเฟยหม่าให้เร็วที่สุดและจากนั้นก็ไปยังราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับกันเถอะ”
ชิงหยีลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นและนางก็ตะโกนว่า“นายน้อย เราจะไปยังราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเพื่อเอาเกราะและกระบี่ลี้ลับกันไหมเจ้าคะ?”
เป๊าะ!
เจียงอี้ดีดหน้าผากนางเขากลอกตาและพูดว่า “ไปเอามาหรอ? กับตูดข้าน่ะสิ! ด้วยกำลังของเรา ดูเหมือนว่าเราจะไปตายมากกว่านะ เราจะไปขอความช่วยเหลือและตามหาหลานสาวของจักรพรรดิอรหังกัน”