เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 583 -584
บทที่ 583 การรวมตัวของยอดฝีมือ
ทางเดินนั้นไม่ได้กว้างขวางมากนักแต่ก็ยังถือว่าเดินเรียงแถวผ่านไปห้าถึงหกคนพร้อมกันได้อย่างไรก็ตามคนที่อยู่ตรงข้ามพวกเขานั้นกำลังเดินเรียงกัน หากเจียงอี้และกลุ่มคนของเขาไม่ต้องการที่จะชนพวกเขา เขาก็จะต้องหลีกทางให้คนเหล่านั้น
เจียงอี้นั้นไม่ได้ต้องการสร้างปัญหาใดๆอยู่แล้วและหวังว่าพวกนั้นจะไม่สังเกตเห็นพวกเขา ดังนั้นทุกคนจึงพากันออกไปอย่างเชื่อฟัง องค์ชายใหญ่เฟยฉีในชุดคลุมที่โอ่อ่าคล้ายหนังงูเหลืองเหลือบมองพวกเขาอย่างไม่แยแส เขาไม่ได้สนใจพวกเขามากนักและเดินไปพร้อมกับผู้ติดตามของเขา
“หืม?”
เฟยฉีนั้นไม่ได้สนใจพวกเขาแต่ผู้ติดตามของเขาชำเลืองมองและหยุดเดินพร้อมพูดว่า“โอ้ ไม่ใช่ว่าท่านคือนายน้อยจูสุยหรอ?”
เฟยฉีและคนอื่นๆพากันหยุดชะงักไปหลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้และมองไปที่จูสุยด้วยความสอดรู้สอดเห็นซึ่งทำให้ร่างของเจียงอี้แข็งทื่อเขาเดินถอยกลับมาอย่างเงียบๆและก้มมองพื้นเพื่อเลี่ยงการสบตากับผู้ใด จูสุยนั้นไม่ได้โง่เขลา เขาป้องมือไปยังเฟยฉี “จูสุยคารวะองค์ชายใหญ่”
“สมาชิกตระกูลจู?”
เฟยฉีเลิกคิ้วและผู้ติดตามที่พูดเมื่อครู่พยักหน้าให้เขาเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาและพูดว่า “ท่านอยู่อันดับที่เท่าไหร่ในตระกูลจูรึ? องค์ชายสามนั้นอยู่โรงเตี๊ยมเฟยเซียน ทำไมท่านจึงมาอยู่ที่นี่กัน? ท่านต้องการให้ข้าบอกให้ใครมาจัดการที่พักให้ท่านหรือไม่?”
จูสุยกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อยและยิ้มอย่างรวดเร็ว“จูสุยอยู่ในลำดับที่สิบหก ขอบคุณท่านมากที่ต้อนรับเราแต่ข้าชอบความเงียบสงบและไม่ค่อยไปร่วมครื้นเครงเท่าไหร่ขอรับ”
“เอาล่ะหากท่านต้องการสิ่งใดก็มาหาข้าได้ที่ตำหนักเจ้าเมืองได้ทุกเมื่อ”
เห็นได้ชัดว่าองค์ชายใหญ่คนนี้สุภาพเรียบร้อยและกำลังจะจากไปแต่จากนั้นเมื่อเขาก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และมองไปที่สวนข้างหลังโรงเตี๊ยม “จูสุย มีแขกผู้มีเกียรติอยู่ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ นางเป็นสตรีอันดับที่สามจากตระกูลหยิ่น ท่านควรจะระวังตัวด้วย หากท่านทำให้แม่นางผู้นี้ขุ่นเคือง ข้าเกรงว่าแม้แต่ตัวข้าเองก็คงไม่สามารถช่วยท่านได้”
“ตระกูลหยิ่น?”
จูสุยตัวสั่นเทาขณะที่ผู้อาวุโสฉีและกู่อวี้หน้าซีดเผือดทั้งสามตระหนักได้ในทันใดว่าเหตุใดองค์ชายใหญ่จึงปรากฏตัวในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ จูสุยป้องมือและโค้งคำนับ “ขอบคุณองค์ชายใหญ่ที่ชี้แนะ จูสุยซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก”
“อื้ม!”
เฟยฉีออกไปพร้อมกับคนของเขาตลอดช่วงเวลานั้นไม่มีผู้ใดสังเกตเจียงอี้เลย
“ฮู่!”
เจียงอี้ถอนหายใจออกมาและแอบรู้สึกอยู่ในใจว่าเขาคิดถูกแล้วที่นำคนเหล่านี้มาเป็นทาสวิญญาณเมื่อมีจูสุยอยู่ข้างหน้า ผู้คนก็จะไม่สังเกตเห็นเขาที่เป็นเพียงองครักษ์ขอบเขตจินกังที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร
จูสุยเดินเข้าไปในลานพร้อมกับคนที่เหลือมันเป็นลานเล็กๆลานที่สี่ ทันทีที่พวกเขามาถึงลาน จูสุยและคนอื่นๆก็แอบมองไปยังลานสนามทางซ้าย
คำพูดของเฟยฉีเพิ่งจะทำให้เจียงอี้นึกได้เขากระซิบถามผู้อาวุโสฉีว่า “คนที่อยู่ที่นั่นเลื่องชื่อมากเลยหรือ?”
ผู้อาวุโสฉีสะดุ้งและพยายามจะปิดปากเขาเขาส่งเสียงให้เจียงอี้ว่า “นายน้อยที่สอง อย่าพูดอะไรที่โง่เขลาออกมานะขอรับ หากยอดฝีมือได้ยินเข้า พวกเราจะเดือดร้อนอย่างหนัก แม่นางหยิ่นรั่วปิงน่าจะอาศัยอยู่ด้านนั้น ปรมาจารย์ตระกูลหยิ่นคือ จักรพรรดิหยิ่น ผู้เป็นหนึ่งในเก้าจักรพรรดิ นางเป็นทายาทเพียงคนเดียวในรุ่นที่สามของตระกูลของนาง”
ตระกูลของเก้าจักรพรรดิอีกแล้ว!
เจียงอี้แอบประหลาดใจตระกูลทั้งเก้าของทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นคือเก้าตระกูลที่อยู่เหนือแดนเทียนชิงทั้งหมด พวกเขายังมีเกียรติที่ได้เป็นผู้ที่อยู่เรือนเคียงสตรีจากตระกูลหยิ่นอีก มันก็ไม่น่าแปลกใจนักที่จูสุยจะดูร้อนรน
จูสุยไม่ได้พูดอะไรออกมาอย่างโจ่งแจ้งหลังจากฟังคำเตือนของผู้อาวุโสฉีแต่เขาก็ยังคงจ้องมองไปทางด้านนั้นอย่างควบคุมไม่ได้ ส่วนเจียงอี้ก็ยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไร
หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในห้องแล้วผู้อาวุโสฉีก็เปิดอาคมยับยั้งไว้รอบๆสนามแต่เจียงอี้ก็ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของเขา จะเกิดอะไรขึ้นหากว่ามียอดฝีมือที่ทรงพลังอยู่อีกฝั่งหนึ่งที่สามารถแทรกซึมอาคมมาได้และสอดแนมพวกเขาเงียบๆ?
เขารับบทเป็นองครักษ์ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์และขยันขันแข็งและให้จูสุยเป็นเจ้านายในครั้งนี้
หลังจากที่พวกเขานั่งลงเจียงอี้ก็หันไปหาผู้อาวุโสฉี เขาพาผู้อาวุโสฉีเข้าไปในห้องและกระซิบว่า “ผู้เฒ่าฉี เจ้าตระเวนไปรอบๆและหาข้อมูลของราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ, นายน้อยและคุณหนูจากทุกตระกูลมาที เพื่อจะได้ให้นายน้อยสามารถไปเยี่ยมเยือนพวกเขาได้”
ผู้อาวุโสฉีพยักหน้าและแอบเลื่อมใสความระมัดระวังตัวของเจียงอี้เขาขอตัวกับจูสุยและเดินออกไปคนเดียว ส่วนเจียงอี้และผู้อาวุโสกู่ก็ขอให้บริกรนำไวน์และอาหารเลิศรสมาให้ พวกเขาให้จูสุยนั่งทานอาหารให้อร่อยส่วนพวกเขาและสาวใช้อีกห้าคนก็ไปดื่มด้วยกัน
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงผู้อาวุโสฉีก็กลับมาและรายงานต่อจูสุยก่อนที่จะส่งข้อความเสียงไปยังเจียงอี้และกล่าวว่า “นายน้อย ข้าได้ข้อมูลมาแล้วขอรับ ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับปรากฏอยู่บนยอดเขาห่างจากทางเหนือของเมืองไปหลายกิโลเมตร มีนายน้อยและคุณหนูหลายคนที่พากันไปตั้งค่ายกันอยู่ข้างนอกราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับและรอราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับที่กำลังจะเปิดในอีกสามวัน แต่แน่นอนว่าผู้ที่โดดเด่นที่สุดกำลังพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมที่หรูหราที่สุดของเมืองนั่นคือโรงเตี๊ยมเฟยเซียน”
“ข้ารู้มาว่ามีผู้ใดอยู่ในโรงเตี๊ยมเฟยเซียนบ้างมีปรมาจารย์ตระกูลถู นามว่าถูหลง, นายน้อยเจ็ดแห่งตระกูลหวู่ นามว่าหวู่นี่, หลานของจักรพรรดิแห่งหมู่มาร นามว่าเสียเฟย, หลานชายของหลิงอวี่เซวียนผู้ที่เป็นจักรพรรดิเซวียน นามว่าหลิงชีเจี้ยน, หลานสาวของหลิงอวี่เซวียน นามว่าหลิงชือหย่าและหลานชายของจักรพรรดิแห่งศาสตรา…”
ผู้อาวุโสฉีระบุรายชื่อทั้งหมดซึ่งทำให้เจียงอี้มึนหัวไปหมดเขาถามไปอย่างกำกวมและผู้อาวุโสฉีก็อธิบายให้เขาฟังจนสุดท้ายเขาก็คิดได้คร่าวๆ
เก้าจักรพรรดิมีจักรพรรดิอุดร,จักรพรรดิแห่งศาสตรา, จักรพรรดิเซวียน, จักรพรรดิแห่งหมู่มาร, จักรพรรดิแห่งมวลอสูร, จักรพรรดิอรหัง, จักรพรรดิหยิ่น, จักรพรรดิแห่งสงครามและจักรพรรดิแห่งราตรี
พวกเขาเป็นตัวแทนของเก้าตระกูลจักรพรรดิรุ่นปัจจุบันและทรงพลังที่สุดในแดนเทียนชิงนอกจากพวกเขาแล้วก็ยังมีตระกูลที่เลื่องชื่ออีกมากมายที่ถือกำเนิดมานับแสนปีเช่นตระกูลเฟยซึ่งดำรงอยู่มากว่าสามแสนปี พวกเขาไม่เพียงแต่ครอบครองทวีปเฟยหม่าแต่ยังเป็นมือหนึ่งของจักรพรรดิแห่งศาสตราอีกด้วย
คราวนี้มีคนจากเก้าตระกูลจักรพรรดิเผยตัวออกมา ส่วนอีกสามตระกูลที่เหลือจะมาที่นี่หรือไม่ ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้แน่ชัด แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่ พวกเขาก็อาจจะซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งและจะเผยตัวออกมาในยามที่ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเปิดเท่านั้น
เจียงอี้รู้ดีถึงตัวตนของคนเหล่านั้นเช่นเด็กที่ขี่นกร็อกปีกทองนั่นคือหลานของจักรพรรดิแห่งศาสตรา และผู้ที่มาหลังจากเขาที่นั่งอยู่บนรถม้าศึกกับสาวใช้ขอบเขตเทียนจุนผู้ที่เป็นศัตรูของเขาตลอดกาล หวู่นี่ผู้เป็นหลานของจักรพรรดิอุดร และผู้ที่ขี่น้ำเต้าและดาบมาคือหลานสาวและหลานชายของจักรพรรดิเซวียน ผู้มีนามว่าหลิงชีเจี้ยนและหลิงชือหย่า และคนสุดท้ายก็ไม่ต้องบอกเลยว่าเป็นผู้ใด เขาคือหลานของจักรพรรดิแห่งหมู่มาร นามว่าเสียเฟย
เจียงอี้ไม่ได้รู้สึกยินดีที่ได้พบนายน้อยและคุณหนูจากตระกูลที่มีชื่อเสียงเหล่านี้แต่กลับรู้สึกเพิ่มความหนักใจมากขึ้น
นั่นก็เพราะว่า…
อาวุโสฉีได้ข้อมูลมาว่าแม่นางอีที่สามอยู่ที่นี่แต่นางก็ไม่ได้อยู่ที่โรงเตี๊ยมเฟยเซียนด้วยซ้ำ เขาใช้ทองไปมากมายเพื่อจะสอบถามข้อมูลแต่ก็ไม่มีข่าวอะไรเลย นางไม่เคยปรากฏตัวอยู่ในเมือง หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าคนทั่วไปไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะรู้ได้ว่านางอยู่ที่ไหน
เจียงอี้เสี่ยงที่จะถูกไล่ล่าและถูกสังหารได้ทุกเมื่อเขามาที่เมืองผืนทรายนี้แต่ไกลโพ้นเพียงเพื่อได้ข้อมูลดังกล่าวมา ซึ่งมันทำให้เขาค่อนข้างผิดหวัง เขานั้นตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าการที่เขาอยู่ที่นี่นานขึ้นเพียงหนึ่งนาที อันตรายที่เขาจะได้พบกับความตายก็จะเพิ่มขึ้นตาม
เมื่อตอนที่ถูรุ่ยตายเขาได้ใช้ศาสตร์เวทย์ลับเพื่อส่งกลิ่นอายของเขากลับไปยังตระกูลถู และในตอนนี้ก็มีองค์ชายใหญ่ของตระกูลถู ถูหลงอยู่ในเมืองนี้
บทที่ 584 หยิ่นรั่วปิง
“หาเบาะแสต่อไปยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ไม่ว่าเจ้าจะเสียไปมากเท่าไหร่ที่จะได้ข่าวสารของนางมา มันก็คุ้มค่าอยู่ดี”
เจียงอี้ตอบด้วยเสียงเบาๆผู้อาวุโสฉีก็รู้เช่นกันว่าเขาติดอยู่ในสถานการณ์ที่ยุ่งยากและยิ่งเขาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น เขาจึงรีบออกไปจนแทบจะไม่มีเวลากินอาหารให้เสร็จเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่ผู้อาวุโสฉีออกไปแล้วเจียงอี้ก็กลับไปที่ห้องของเขาและจมอยู่กับความคิด ในตอนนี้เขาได้แต่หวังว่าถูหลงจะไม่ได้ข่าวเรื่องการตายของถูรุ่ยหรือไม่ได้รับกลิ่นอายของเขา
แต่ก็แน่นอนว่าแม้ว่าถูหลงจะได้กลิ่นอายวิญญาณของเขาแล้วแต่เขาก็จะไม่พบสิ่งใดเลยหากไม่ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบ และในตอนที่ถูหลงพบว่าเขาคือผู้ที่สังหารถูรุ่ยและบังเอิญกวาดสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไปทั่วร่างเจียงอี้ เขาก็จะถูกเปิดเผยตัวตนอย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้เขา, เฟิ่งหลวนและคนอื่นๆต้องตายทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีเฟยเทียนอีกคนแม้ว่าผู้อาวุโสฉีจะไม่รู้ว่าเฟยเทียนอยู่ในเมืองหรือเปล่า แต่ตระกูลเฟยนั้นใหญ่โตและทรงพลังมาก คราวก่อนตอนที่เจียงอี้และเฟิ่งหลวนซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นดินไปมาก เขายังถูกขัดขวางได้ และหากพวกนั้นดันมีทักษะพิเศษที่จะพบกลิ่นอายของเขา มันก็ยากที่จะหลบหนีได้
เจียงอี้นั่งอยู่ในห้องของเขาแต่เขากลับรู้สึกราวกับว่ากำลังนั่งอยู่บนเตียงเข็มเขารู้สึกราวกับว่าวันเวลานั้นผ่านไปเป็นปีและหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หัวเราะและเย้ยหยันตัวเอง เขาเป็นเพียงใครก็ไม่รู้ที่มาจากทวีปเทียนชิงและไม่ได้ออกมาสู่โลกภายนอกเป็นเวลานาน แต่เขาก็ได้ถูกกำหนดความตายจากสองตระกูลยอดฝีมือและตระกูลชั้นสูงอีกตระกูลแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองควรจะรู้สึกเป็นเกียรติแทนที่จะเศร้าโศก
“ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว…..ข้าต้องไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”
เสียงในความคิดของเขาโน้มน้าวให้เขาออกไปแต่เขาก็ยังนั่งอยู่ในห้องตลอดสี่ชั่วโมง เมื่อยามรุ่งสาง ในที่สุดผู้อาวุโสฉีก็กลับมา แต่ทันทีที่เขาเห็นใบหน้าของผู้อาวุโสฉี ใจของเขาก็จมดิ่งทันที
“นายน้อยไม่มีข่าวคราวอันใดเลยขอรับ ข้าติดสินบนบริกรในโรงเตี๊ยมเฟยเซียนและได้รับการยืนยันแล้วว่าแม่นางสามไม่ได้เข้าพักที่นั่นเลย ส่วนโรงเตี๊ยมอื่นๆก็ไม่มีข่าวคราวของนางเหมือนกัน นางคงกำลังซ่อนตัวอยู่ในเมืองหรือไม่ก็ไปตั้งค่ายพักอยู่ข้างนอกขอรับ”
ข้อความเสียงของผู้อาวุโสฉีนั้นทำให้ใจของเจียงอี้ยิ่งจมดิ่งลงไปอีกหรือว่าเขาควรรออีกสามวันเพื่อให้ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเปิดก่อนและรออยู่ข้างนอกดี? แต่เช่นนี้มันก็เสี่ยงเกินไป
เขาควรจากไปดีไหม?
หลังจากที่เขาพลาดโอกาสนี้มันก็เป็นไปได้ที่เขาจะไม่ได้พบแม่นางอีรุ่นสามนางนี้อีกเลย
“โอ้ใช่แล้ว!”
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้และพูดเบาๆว่า“ผู้อาวุโสฉี ข้าเคยได้ยินชื่อยอดฝีมือที่มีนามว่าหยูเวิน เจ้ารู้จักเขาหรือไม่?”
อีเพียวเพียวบอกให้เขาตามหาหยูเวินหากเขาเจอคนผู้นี้มันก็ไม่สำคัญแล้วว่าเขาจะล้มเหลวที่จะได้เจอแม่นางอีที่สามหรือไม่ เขายังอายุไม่ถึงยี่สิบปีและความแข็งแกร่งของเขาก็มาถึงขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดได้แล้ว หากว่าเขาสามารถหาตัวหยูเวินเจอ เขาก็จะได้รับข่าวจากอีเพียวเพียวได้
“หยูเวิน?”
ผู้อาวุโสฉีกระพริบตาด้วยความงุนงงก่อนจะตอบว่า“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลยขอรับ!”
“ดูท่าคงจะลำบากแล้วสิ……”
เจียงอี้รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยและรีบส่งผู้อาวุโสฉีไปถามจูสุยและผู้อาวุโสกู่หลังจากสอบถามมาแล้ว ผู้อาวุโสฉีก็ส่ายหัวและกล่าวว่า “นายน้อย พวกเขาก็ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ยินชื่อนี้ ตระกูลราชวงศ์ของเรานั้นมีประวัติของยอดฝีมือทั้งหมดในปฐพี แต่เราไม่เคยได้ยินชื่อหยูเวินมาก่อนเลยขอรับ”
เวรกรรมอะไรเนี่ย!ท่านแม่ นี่ท่านกำลังปั่นหัวข้าอยู่หรอ?
เจียงอี้นวดใบหน้าของเขาและถึงกับพูดไม่ออกตระกูลจูนั้นมีอำนาจอยู่ภายใต้จักรพรรดิแห่งสงครามและจะเข้าใจดีถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในทวีปจักรพรรดิบูรพาอย่างแน่นอนและผู้อาวุโสฉีก็รายงานชื่อของนายน้อยและคุณหนูทั้งหมดราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับคนเหล่านั้นมาก และมันก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อของหยูเวินมาก่อน แม้ว่าเจียงอี้จะไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพา แล้วเขาควรจะไปหาหยูเวินได้ที่ใดกัน?
ใจเย็นก่อนใจเย็น!
เจียงอี้บังคับตัวเองให้สงบลงจากข้อมูลที่อีเพียวเพียวให้เขามา นางจะต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแน่นอน และหยูเวินคนนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน แม้ว่าผู้อาวุโสฉีจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ก็ยังมีบางคนที่รู้ และมันอาจจะเป็นไปได้ที่สมาชิกตระกูลจักรพรรดิทั้งเก้านั้นน่าจะรู้
“เหมือนว่าข้าจะต้องคิดหาทางพบแม่นางอีที่สามให้ได้เสียแล้ว”
เจียงอี้ตัดสินใจที่จะเจอแม่นางอีที่สามไม่ว่าจะต้องเสียอะไรก็ตามมิเช่นนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปทวีปจักรพรรดิบูรพาทำไม
“ผู้อาวุโสฉีคุ้มกันข้าด้วย!”
หลังจากที่ตะลึงงันไปชั่วขณะเจียงอี้ก็ตัดสินใจลองวิธีใหม่และเข้าสู่สภาวะลึกลับ มนุษย์ประสานสวรรค์ เมื่อเขาเข้าสู่สภาวะนี้แล้ว เขาจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และมองดูสภาพแวดล้อมของเขาเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เขาต้องการมาให้ได้
ที่เขาพร้อมที่จะเสี่ยงในเรื่องนี้มันเป็นเพราะว่าเขาต้องการหาตัวแม่นางอีที่สามและยังต้องตรวจดูถูหลง,หวู่นี่และเฟยเทียนเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะปลอดภัยด้วย เขาไม่อยากตายโดยที่ไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นและนี่ก็ดึกมากแล้ว เขาจึงรู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ผู้อาวุโสฉีไม่รู้ว่าเจียงอี้ต้องการทำอะไรแต่เขาเห็นว่าเจียงอี้กำลังนั่งตัวตรงอยู่ เขาไม่กล้าที่จะประมาทและแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปครอบคลุมทั่วทั้งลานเล็กๆนั่น
ครั้งนี้เจียงอี้ไม่ได้โชคดีอย่างนั้นแม้ว่าเขาจะเข้าสู่ห้วงสมาธิเป็นเวลาสามชั่วโมงแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ได้จนกระทั่งรุ่งสาง
เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นดั่งสายลมยามเช้าที่ค่อยๆพัดออกมาภาพภายนอกปรากฏอยู่ในความคิดของเขาและเขาก็กลายเป็นสายลมลอยไปยังลานที่สามข้างๆเขาและเพิกเฉยต่อการป้องกันรอบๆลาน เขานั้นสามารถเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดาย
แสงสีขาวนั้นปรากฏขึ้นจากทิศตะวันออกและสีของท้องฟ้านั้นยังไม่สว่างมากนักแต่ภาพที่ปรากฏในใจของเจียงอี้นั้นชัดเจนมากและเมื่อเขาเห็นฉากภายในนั้น เขาก็ตกตะลึงขึ้นมา
ในลานตำหนักนั้นมีสตรีที่สวมกระโปรงสีขาวกำลังเริงระบำอย่างงดงามนางระบำด้วยเท้าเปล่าและเท้าเล็กๆของนางก็งดงามราวกับหยกขาว ท่าทางของนางสง่างามมากและเรือนร่างของนางก็งดงามเช่นกัน แม้ว่าใบหน้าของนางจะไม่ได้น่าทึ่งเท่าหลิงชือหย่า แต่ก็ยังงดงามในสายตาผู้อื่น
ผิวของนางน่าดึงดูดเป็นพิเศษและไม่ได้ขาวราวกับคนป่วยแต่กลับเปล่งประกายนุ่มนวลออกมาซึ่งมันมีเสน่ห์มากนางดูอายุราวๆสิบหกปีซึ่งใกล้เคียงกับหลิงชือหย่า
แต่แน่นอนว่า!
นี่ไม่ใช่ประเด็นหลักเจียงอี้ได้เห็นสาวงามมามากมายในชีวิตของเขาและนางก็ไม่สามารถทำให้เขาตกตะลึงได้ แต่มันเป็นการเต้นระบำของนางที่ทำให้จิตใจของเขาสั่นคลอน เจียงอี้อาจไม่รู้เรื่องดนตรีและการเต้นรำแต่เขาก็รู้สึกว่าแม้แต่เทพธิดาเองก็ไม่สามารถเต้นได้เลอเลิศไปกว่าสตรีที่อยู่ในลานตำหนักนี้ได้
มันเป็นเพราะว่าขณะที่นางเต้นรำอยู่ที่ลานตำหนักดอกไม้ทั้งหมดก็เริ่มผลิบาน!ไอรีนโนเวล
ใครๆก็รู้ว่าดอกไม้แต่ละดอกนั้นผลิบานในเวลาที่ต่างกันในลานของเจียงอี้ก็มีดอกไม้เช่นกันและยังอยู่ในช่วงกำลังผลิดอก แต่ที่นี่มันกลับบานสะพรั่งไปทั่ว
ขณะที่นางเต้นรำดอกไม้นับร้อยก็ค่อยๆเบ่งบาน ซึ่งมันเป็นภาพหนึ่งที่น่าจดจำสำหรับเจียงอี้นัก
ข้าไม่สามารถมองได้อีกต่อไปแม่นางหยิ่นรั่วปิงผู้นี้มีทักษะที่วิเศษจริงๆ แม้ว่าสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ของข้าจะเก่งกาจเพียงใดแต่หากว่านางมีความสามารถพิเศษในการตรวจจับข้าได้ มันจะเกิดปัญหาได้
เขาบังคับให้สายลมเคลื่อนออกไปไกลและภาพในใจของเขาก็ยังคงเปลี่ยนไปเรื่อยๆเมื่อเขามองไปรอบๆสถานที่อื่นในเมืองผืนทราย
เมื่อฉากในใจของเจียงอี้เปลี่ยนไปแม่นางหยิ่นรั่วปิงก็หยุดเคลื่อนไหวในทันที และสิ่งที่แปลกที่สุดคือดอกไม้ทั้งหมดร่วงโรยในขณะที่นางหยุดเคลื่อนไหว
“นายหญิงน้อยเกิดอันใดขึ้น?”
หญิงงามนางหนึ่งเดินออกมาจากห้องโถงและถามอย่างประหลาดใจ
สายตาของแม่นางหยิ่นมองไปยังลานที่สี่ข้างๆนางและริมฝีปากของนางก็ค่อยๆเปิดออกนางพูดอย่างเฉยเมยว่า “มีใครบางคนที่ลานข้างๆเราแอบมองข้าระหว่างที่ข้ากำลังฝึกฝนอยู่”
“หืม?”
แสงอันเย็นเยียบวูบผ่านดวงตาของหญิงงามผู้นั้นและความดุร้ายก็ปรากฏบนใบหน้าของนางนางคำรามออกมาว่า “คนผู้นั้นบังอาจมาแอบมองนายหญิงน้อยได้เช่นไรกัน?! พวกมันเหนื่อยที่จะใช้ชีวิตกันแล้วหรอ?!”