เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 585 -586
บทที่ 585 หลิงชือหย่า
หลังจากนั้นฝ่ามือของสาวงามก็ส่องแสงและกำลังจะทำลายอาคมยับยั้งในลานตำหนักและเมื่อนางกำลังจะมุ่งหน้าไปยังลานที่สี่เพื่อสังหารพวกเขา แม่นางหยิ่นก็ส่ายหัวและพูดว่า “ช่างเถอะน้าหวน เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร”
นางยั้งมือเอาไว้แต่จิตสังหารในตัวนางยังคงพุ่งพล่านขณะที่พูดว่า“นายหญิงน้อย เขาต้องตายตั้งแต่ที่เขาบังอาจมาแอบมองท่านไม่ว่าเขาจะมีเจตนาไม่ดีหรือไม่ก็ตาม เรือนร่างที่สมบูรณ์แบบของท่านจะถูกผู้อื่นดูหมิ่นได้อย่างไร? หากเราต้องอดทนต่อทุกสิ่ง มันจะทำให้คนอื่นดูถูกตระกูลหยิ่นของเราเอาได้นะเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นน้าหวน”
นางส่ายหัวเบาๆ“เขาคงบังเอิญทำมันโดยไม่ได้ตั้งใจน่ะ นอกจากนี้เขาไม่ได้ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาแต่กลับเป็นสภาวะที่ไม่เหมือนใคร มันน่าจะเป็นสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ ดูเหมือนว่าเขาผู้นั้นเพียงจะเที่ยวมองไปเรื่อยและยังไม่ได้เข้าสู่ขั้นแรกเลยด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะข้าอ่อนไหวต่อสวรรค์และโลกาเป็นพิเศษเนื่องจากข้ามีกายวิญญาณพิเศษ ข้าคงจะไม่รู้ตัวว่าเขาแอบมองอยู่ก็ได้”
“มนุษย์ประสานสวรรค์?”
น้าหวนมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปดวงตาของนางกระพริบขณะที่นางตอบด้วยความสงสัย “ตระกูลจูมีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่จริงๆหรือ? นายหญิงน้อย หรือเราจะรับเขามายังตระกูลของเราดีเจ้าคะ? หากเราสามารถฝึกฝนเขาได้ เราอาจจะมีผู้เชี่ยวชาญที่มากฝีมือทีเดียว”
“ช่างมันเถอะ”
แม่นางหยิ่นเดินไปที่ห้องของนางด้วยเท้าเปล่าและตอบกลับไปตอนที่นางเดินไปถึงหน้าประตูว่า“ตระกูลจูนั้นมาจากตระกูลของจักรพรรดิแห่งสงคราม หากเราชักชวนเขามามันก็อาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลได้”
“อืมจริงด้วย…”
น้าหวนถอนหายใจดวงตาของนางยังคงเผยร่องรอยแห่งความเสียดายอยู่ขณะที่จ้องมองไปยังลานที่สี่นั้น
…
“ยังมีนายน้อยที่มีอิทธิพลมากมายที่อาศัยอยู่ใกล้โรงเตี๊ยมเล็กๆแถวนี้ไม่คิดเลยว่าจะมีห้าคนที่อยู่ขอบเขตเทียนจุนแล้ว ปฐพีนี้ช่างเต็มไปด้วยยอดฝีมือมากมายจริงๆ”
เจียงอี้ใช้สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์เพื่อตรวจดูพื้นที่รอบๆแต่ก็ไม่ได้พบเจออะไรมากมายนักเมืองนี้ใหญ่โตเกินไปและเขาก็สัมผัสได้เพียงรัศมีสิบกิโลเมตรเท่านั้นและไม่ได้ข้อมูลอะไรมากนักนอกจากเจอเหล่าทายาทผู้มีอิทธิพลและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนไม่กี่คน
เจียงอี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับสู่สภาวะปกติเขาลืมตาขึ้นมาและพึมพำกับตัวเองอยู่ครึ่งวันจนในที่สุดก็ออกคำสั่ง “ผู้อาวุโสฉี ไปตรวจสอบว่ามีผู้ใดสนิทสนมกับแม่นางอีที่สามบ้างและค้นหาที่ซ่อนของนางต่อไป ในขณะที่ทำเรื่องนี้อยู่ก็ไปหาข้อมูลของถูหลง, หวู่นี่และเฟยเทียนอย่างรอบคอบด้วยล่ะ”
ผู้อาวุโสฉีไม่ได้นอนมาทั้งวันแต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่าแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้เจียงอี้ทำอะไรอยู่แต่เขาก็ไม่ได้ถามถึงเรื่องนี้และลุกขึ้นเดินออกไปในขณะที่เจียงอี้ยังคงบิดตัวอยู่ภายในห้อง
เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆ
คราวนี้ผู้อาวุโสฉีก็ยังไม่กลับมาแม้ว่าจะผ่านไปครึ่งวันแล้วเจียงอี้ที่นั่งอยู่ในห้องของเขาเริ่มกังวลและกระสับกระส่ายมากขึ้น เขาจะปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาออกมาบ้างบางคราวเพื่อคอยตรวจดูโรงเตี๊ยมเล็กๆ แต่ก็แน่นอนว่าเขาไม่กล้าที่จะตรวจสอบลานตำหนักของแม่นางหยิ่นอีกต่อไป ญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เหมือนกับสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ มันเป็นเพียงอีกขั้นของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และผู้เชี่ยวชาญนั้นจะสามารถสัมผัสถึงพลังนี้ได้อย่างง่ายดาย
ผู้อาวุโสฉีออกไปข้างนอกหนึ่งวันและกลับมาในช่วงพระอาทิตย์ตกดินในที่สุดความกังวลในใจของเจียงอี้ก็คลายลงและเขาก็พาผู้อาวุโสฉีไปในห้องอย่างร้อนรนก่อนที่จะถามว่า “ผู้อาวุโสฉี เจ้าไปอยู่ที่ใดมา?”
ผู้อาวุโสฉียิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะส่งข้อความเสียงให้เขาว่า“นายน้อย ข้าไปตรวจสอบราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับที่นอกเมืองและได้ข้อมูลมาเล็กน้อยขอรับ”
เจียงอี้ตาสว่างขึ้นทันทีก่อนจะตอบว่า“พูดมา!”
ผู้อาวุโสฉีส่งข้อความต่อว่า“เรื่องแรกคือแม่นางอีที่สามน่าจะอยู่นอกเมือง มีคนพบนางอยู่ด้านนอกราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ แม้ว่านางจะสวมผ้าคลุมหน้าแต่ผมสีม่วงของนางก็สะดุดตาเกินไป นอกจากนี้ยังมีลูกหลานตระกูลผู้มีอิทธิพลแสดงความเคารพนาง สิ่งนี้จึงได้ยืนยันตัวตนของนางเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่นางเพียงเหลือบไปมองราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับก่อนที่จะหายตัวไปเลย ส่วนที่ว่านางซ่อนตัวอยู่ที่ใดนั้นคงมีเพียงแต่ลูกหลานตระกูลเลื่องชื่อเท่านั้นที่จะรู้ได้ขอรับ”
“เรื่องที่สองคือมีข่าวลือว่านางสนิทสนมกับหลิงชือหย่าผู้ที่เป็นหลานสาวของจักรพรรดิเซวียนมากหากนางจะไปหลบอยู่ในที่ปลอดภัย นางจะต้องไปพักอยู่กับแม่นางหย่าแน่นอนขอรับ”
“เรื่องที่สามคือถูหลง,หวู่นี่, เสียเฟย, หลิงชีเจี้ยนและคนอื่นๆได้ไปยังราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับในช่วงเช้า พวกเขายังกีดกันคนให้ห่างออกจากราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับในระยะสิบกิโลเมตรด้วย ซึ่งมันเห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเตรียมตัวที่จะเข้าสู่ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับในตอนที่มันเปิดขึ้น”
“เรื่องที่สี่เฟยเทียนไม่ได้อยู่ในเมืองนี้ บรรดาลูกหลานตระกูลเฟย มีเพียงเฟยฉีที่อยู่แถวนี้ ดูเหมือนว่าเฟยเทียนจะกลับไปยังเมืองหลวงแล้วขอรับ”
“ดี…”
หลังจากที่ได้ยินข้อมูลของผู้อาวุโสฉีความกังวลของเจียงอี้ก็ลดลงไปครึ่งหนึ่ง
แต่แม่นางอีที่สามปรากฏตัวและหายตัวไปเร็วเกินไปนี่เป็นความเจ็บปวดของเจียงอี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมุ่งหน้าไปยังราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับและตะโกนว่า “แม่นางอีจะออกมาพบข้าได้หรือไม่?” เป็นแน่
“ต้องหาทางเจอนางให้ได้!”
พรุ่งนี้ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับจะเปิดแล้วหากแม่นางอีที่สามออกมาจากที่ซ่อนและเข้าไปยังราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับทันทีที่มันเปิด ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องตามเข้าไปด้วยหรือ? เพียงแค่ถูหลงและหวู่นี่ก็เป็นปัญหามากแล้ว และนี่ยังไม่รวมเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่จะเข้าไปที่นั่นอีก
ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างได้และถามว่า“ผู้อาวุโสฉี เจ้าบอกว่าหลิงชีเจี้ยนไปทางเหนือของเมืองแล้ว? แล้วแม่นางหลิงชือหย่าล่ะ? นางยังอยู่ในโรงเตี๊ยมเฟยเซียนหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ!”ผู้อาวุโสฉีตอบ
“เข้าใจล่ะ!”
เจียงอี้ตัดสินใจที่จะเสี่ยงดูขณะที่เขาร่ายข้อสรุป“เดี๋ยวเจ้า, ข้าและองค์ชายจูสุยจะไปยังโรงเตี๊ยมเฟยเซียน เจ้าจะนำการ์ดเชิญไปเพื่อขอพบแม่นางหลิงชือหย่า”
“นี่!”
ผู้อาวุโสฉีกระพริบตาก่อนที่จะตอบอย่างลังเลว่า“ข้าเกรงว่าแม่นางหย่าจะไม่ต้องการพบพวกเรานะขอรับ”
เจียงอี้โบกมือและตอบว่า“เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก เราจะรู้เองว่านางต้องการพบเราไหมเมื่อถึงเวลานั้น”
เมื่อถึงช่วงค่ำเจียงอี้, จูสุยและผู้อาวุโสฉีก็ออกเดินทาง ทั้งสามคนเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมเล็กๆและขึ้นรถม้าไปยังโรงเตี๊ยมเฟยเซียนอย่างเงียบๆ โรงเตี๊ยมเฟยเซียนนั้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง ดังนั้นระยะทางจากที่พวกเขาอยู่จึงไม่ได้ไกลเกินไปนัก
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งสามคนก็มาถึงด้านนอกโรงเตี๊ยมเฟยเซียน จูสุยและเจียงอี้ไม่ได้ลงจากรถม้าขณะที่ผู้อาวุโสฉีนำเหรียญของเจียงอี้และรหัสของเจียงอี้ไปขอพบกับแม่นางหลิงชือหย่า
ผู้อาวุโสฉีนั้นมีสถานะค่อนข้างสูงในฐานะสมาชิกตระกูลจูดังนั้นเขาจึงเข้าไปในโรงเตี๊ยมเฟยเซียนได้อย่างง่ายดายและค้นหาตำหนักที่แม่นางหลิงชือหย่าพักอยู่ แต่เขาก็ถูกองครักษ์ของนายน้อยเฟยฉีขัดขวางและให้ออกไปข้างนอก
แม้ว่าองครักษ์ทั้งสองคนนี้จะมาจากจักรวรรดิเฟยหม่าแต่ผู้อาวุโสฉีก็ไม่ได้ละเลยพวกเขาขณะที่เขาป้องกำปั้นและพูดว่า “ข้ามีนามว่าฉีชิง ข้ากำลังช่วยนายน้อยจูสุยของข้าส่งคำร้องเพื่อขอพบแม่นางหลิง หวังว่าพวกท่านจะช่วยนำข้อความไปให้นาง”
“รอที่นี่ก่อน!”
ผู้อาวุโสฉีนั้นอยู่ขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดแล้วในขณะที่องครักษ์นั้นเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังธรรมดาแต่พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้มากมายนัก เนื่องจากหลายวันที่ผ่านมามีคนมาขอพบแม่นางหลิงมากมาย องครักษ์คนหนึ่งหยิบการ์ดเชิญไปและรีบกลับมาอย่างรวดเร็วและตอบอย่างไร้ความปรานีว่า “แม่นางหลิงบอกว่านางไม่ต้องการพบผู้ใด”
ร่องรอยของรอยยิ้มที่ขมขื่นนั้นเห็นได้จากมุมปากของผู้อาวุโสฉีผลลัพธ์นี้อยู่ในความคาดหมายของเขา แม้องค์ชายสามที่เลื่องชื่อที่สุดในตระกูลจูมาที่นี่ แต่แม่นางหลิงก็ไม่มีเหตุจำเป็นใดๆจะต้องพบเขา นับประสาอะไรกับจูสุยล่ะ
ผู้อาวุโสฉีกำหมัดแน่นอีกครั้งและตอบว่า“ข้ารบกวนท่านรายงานกลับไปยังแม่นางหลิงอีกครั้งได้หรือไม่ นายน้อยตระกูลข้าและแม่นางอีที่สามนั้นมีบางสิ่งที่เป็นพันธมิตรต่อกันและที่เราขอพบนางนั้นเกี่ยวข้องกับแม่นางอีที่สาม”
“หืม?”
คิ้วขององครักษ์ขมวดขึ้นขณะที่เขากวาดตามองไปยังผู้อาวุโสฉีอย่างสงสัยแต่เมื่อเขาเห็นว่าผู้อาวุโสฉีไม่ได้ล้อเล่น เขาก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งกลับไปรายงาน
ครู่ต่อมาองครักษ์ก็กลับมาและเผยรอยยิ้มที่เย็นชา“แม่นางหลิงกล่าวว่าให้นำนายน้อยตระกูลเจ้าเข้าไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากว่าเขากล้าใช้ชื่อของแม่นางอีที่สามเพียงเพื่อที่ว่าเขาจะได้พบนาง เช่นนั้นก็จงเตรียมรับผลที่จะตามมาด้วย”
…
บทที่ 586 อีฉาน
“รออยู่ตรงนั้นแหละ!”
ณลานตำหนักที่หกของโรงเตี๊ยมเฟยเซียน เจียงอี้และคนอื่นๆอีกสองคนกำลังจะเดินเข้าไป จูสุยต้องการที่จะพาเจียงอี้และผู้อาวุโสฉีเข้าไปแต่ก็ถูกองครักษ์ห้ามไว้ขณะที่เขาพูดอย่างเข้มงวดว่า “นายน้อยจูสุยเข้าไปได้ แต่พวกเจ้าสองคนรออยู่ข้างนอกซะ”
“นี่….”
สีหน้าของผู้อาวุโสฉีเปลี่ยนไปหากเจียงอี้ไม่เข้าไป การมาในครั้งนี้ก็ถือว่าสูญเปล่า นอกจากนี้จูสุยยังไม่รู้จักแม่นางอีที่สามและเขาอาจถูกแม่นางหลิงสังหารได้
“ท่านองครักษ์ทั้งสอง!”
เจียงอี้ป้องมือและโน้มตัวไปกระซิบว่า“ข้าจะไม่ปิดบังพวกท่านที่เคารพทั้งสอง ข้าเองก็มีความสัมพันธ์กับแม่นางอีที่สามเช่นกัน ผู้อาวุโสฉีไม่ต้องเข้าไปก็ได้ แต่เพียงแค่ให้ข้าและนายน้อยเข้าไป หากเราโกหกอันใด แม่นางหลิงคงจะไม่ปล่อยพวกเราไปหรอกใช่ไหม?”
“เอ่อ?”
องครักษ์ทั้งสองอาจสงสัยบางอย่างอยู่บ้างแต่เมื่อพวกเขานึกถึงความแข็งแกร่งขององครักษ์ลับของแม่นางหลิงเมื่อเทียบเข้ากับคู่นี้แล้วพวกเขาก็ผ่อนคลายลง หากจูสุยกล้าทำอะไรประมาท พวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอนและตระกูลจูจะถูกทำลายลง
จูสุยเดินนำเจียงอี้เข้ามาและเมื่อเขาเข้าไปแล้วเขาก็เดินเข้าไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ เขากระแอมในลำคอเล็กน้อยและป้องมือของเขา “จูสุย องค์ชายสิบหกแห่งจักรวรรดิเงาทมิฬต้องการที่จะพบแม่นางหลิงขอรับ”
“เข้ามา!”
ห้องนั้นสะท้อนไปด้วยเสียงที่ไม่แยแสซึ่งเป็นของหญิงงามที่ยืนอยู่บนน้ำเต้าสีม่วงเสียงหัวเราะในวันนั้นของนางกลับกลายเป็นเย่อหยิ่งและเย็นชาในตอนนี้
จูสุยจัดผ้าผ่อนของเขาและเดินเข้าไปอย่างสงบเพราะเขานั้นก็เติบโตในตระกูลราชวงศ์เขาจึงมีกิริยาที่ดีอยู่บ้างแต่ก็แน่นอนว่ามันเป็นเพียงภายนอกเท่านั้น เจียงอี้ก็ยังเห็นว่ามือที่จูสุยซ่อนอยู่นั้นกำลังสั่นเล็กน้อยอยู่ดี
ห้องโถงใหญ่นั้นสว่างไสวไปด้วยเทียนมากมายมีหญิงสาวผู้หนึ่งสวมชุดสีชมพูซึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างๆนางอย่างสบายๆ นางกำลังจิบชาอย่างเชื่องช้าและไม่แม้แต่จะเหลือบมองเมื่อทั้งคู่เดินเข้ามา
“คารวะแม่นางหลิง”
จูสุยเดินเข้ามาและป้องกำปั้นอย่างเคารพอีกครั้งส่วนแม่นางหลิงไม่แม้แต่จะหันกลับมาราวกับว่านางไม่ได้ยินหรือเห็นใครทั้งนั้น นางจิบชาอีกรอบก่อนจะหันกลับมาและพูดพร้อมกับโบกมือว่า “เชิญนั่งเถอะ”
เขาอาจเคยเห็นนางมาก่อนแล้วแต่เจียงอี้ก็ยังคงรู้สึกหลงใหลนาง ใบหน้าของนาง คิ้วที่เป็นสันและริมฝีปากเล็กๆที่ดูอ่อนโยนและมีเสน่ห์ ดวงตาของนางนั้นดูเย็นชา แต่เพราะความเย็นชานั้น เมื่อเทียนส่องกระทบที่ดวงตาจึงทำให้ดวงตาของนางงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้
ดวงตาของเจียงอี้เผยความหลงใหลออกมาขณะที่เขาจ้องมองไปยังหลิงชือหย่าส่วนจูสุยนั้นแทบจะน้ำลายหกขณะที่เจียงอี้ถอนหายใจอย่างเงียบๆและกระแอมเบาๆก่อนจะพูดว่า “นายน้อยขอรับ แม่นางหลิงให้ท่านนั่งลงได้แล้วขอรับ”
“อ๊ะ?ขอบคุณ แม่นางหลิง”
เมื่อจูสุยได้สติคืนมาเขาก็โค้งคำนับและนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยขนสุนัขจิ้งจอก ส่วนเจียงอี้มาที่นี่ในฐานะคนรับใช้ เขาจึงไม่กล้านั่งและยืนอยู่ข้างๆจูสุย
“ชือหย่าชอบความเงียบสงบก็เลยไม่ได้เรียกคนรับใช้มาในครั้งนี้ ข้าจะไม่เสิร์ฟชาใดๆให้แก่นายน้อยจู”
หลิงชือหย่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับความไม่สุภาพของจูสุยหรือไม่นางก็อาจจะเคยชินกับมันแล้วนางพูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้าสงสัยว่าเหตุใดนายน้อยจูจึงตามหาข้า ข้าได้ยินว่าท่านมีความสัมพันธ์บางอย่างกับพี่ใหญ่ฉาน?”
จูสุยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังตามคำสั่งของเจียงอี้“หลายเดือนก่อน ข้าไปยังทะเลบูรพาเวิ้งว้างและถูกตามล่าโดยจักรพรรดิอสูร ข้ารอดมาได้เพราะแม่นางอีช่วยข้าเอาไว้ ในเวลานั้นนางรีบกลับไปและข้าไม่มีเวลาแม้แต่จะขอบคุณ ที่ข้ามาเยือนเมืองผืนทรายในครั้งนี้ก็เพื่อจะได้พบแม่นางอีและแสดงความขอบคุณและบอกความลับแก่นาง”
“แต่ก็โชคร้ายที่หลังจากพยายามตามหานางมาระยะหนึ่งแล้วข้าก็ยังไม่พบเบาะแสของแม่นางอีเลย ข้าได้ยินมาว่าแม่นางหลิงและแม่นางอีนั้นเป็นสหายที่สนิทสนมกัน ดังนั้นข้าจะรบกวนแม่นางหลิงบอกได้หรือไม่หากว่าท่านรู้ว่าแม่นางอีอยู่ที่ใด? หากท่านบอกเราได้ ข้าจะซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง”
“โอ้”
นางพยักหน้าและพูดอย่างไม่ใส่ใจ“พี่ใหญ่ฉานเพิ่งกลับมาจากทะเลบูรพาเวิ้งว้างเมื่อหลายเดือนก่อน แต่นางไม่ได้อยู่ที่นี่และข้าก็ไม่รู้ว่านางอยู่ที่ใดเช่นกัน หากนายน้อยจูไม่มีสิ่งใดแล้ว ชือหย่าคงต้องขอตัวไปพักผ่อน”
“…”
เจียงอี้ถอนหายใจอย่างผิดหวังนางไม่รู้ว่าแม่นางอีอยู่ที่ใดหรือว่านางไม่ต้องการบอกพวกเขา?
เจียงอี้และจูสุยไม่กล้าถามสิ่งใดต่อเพราะกลัวว่าจะทำให้นางขุ่นเคืองและทำให้พวกเขาตายก่อนวัยอันควรได้
จูสุยนั้นมีสติมากและลุกขึ้นพร้อมกับป้องกำปั้น“เช่นนั้น ข้าคงไม่ขัดจังหวะการพักผ่อนของแม่นางหลิงแล้ว เป็นเกียรติของจูสุยที่ได้พบแม่นาง เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
เจียงอี้ป้องกำปั้นเช่นกันและเงยหน้าขึ้นมองแม่นางหลิงเขาเห็นทันทีว่าดวงตาของนางกำลังมองตรงมาที่เขา ดวงตานั้นดูเหมือนจะมองเห็นทุกสิ่งได้ เจียงอี้รีบโค้งคำนับขออภัยอย่างรวดเร็วและเดินตามจูสุยออกไปโดยที่เขาไม่กล้ามองต่อ
“เฮ้อ…”
หลังจากเดินออกมาจากห้องโถงนั้นเจียงอี้ก็มองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและถอนหายใจอีกครั้ง เขารู้สึกหลงทางเล็กน้อย เขาไม่เจอแม่นางอีและไม่รู้ว่าหยูเวินคือใคร เขาควรจะไปที่ใดกัน?
“ข้าไม่รู้จริงๆว่าพี่ใหญ่ฉานอยู่ที่ไหนแต่เมื่อราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเปิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ นางจะต้องปรากฏตัวขึ้นมาอย่างแน่นอน หากเจ้าต้องการตามหานางจริงๆ เจ้าสามารถไปรอที่ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับได้”
ทันใดนั้นเองหูของเจียงอี้ก็ดังขึ้นด้วยข้อความที่แม่นางหลิงส่งมา มันยังคงเป็นน้ำเสียงที่เย่อหยิ่งและเย็นชาซึ่งทำให้ร่างของเจียงอี้สั่นสะท้าน เขาหันกลับไปมองเพียงเพื่อที่จะรู้ว่านางได้เดินกลับไปที่ห้องของนางแล้วและทิ้งไว้เพียงภาพหลังที่งดงามไว้
“ขอบคุณแม่นางหลิง!”
มันไม่สำคัญว่านางจะได้ยินหรือไม่แต่เจียงอี้ก็ยังคงคำนับนางอย่างเคารพในขณะที่ใจเขาเต้นรัวไปด้วยความตื่นเต้น หญิงสาวคนนี้เหมือนจะอายุใกล้เคียงกับแม่นางหยิ่นและเมื่อเขาพบนางครั้งแรก เขาคิดว่านางเป็นเด็กสาวที่ไร้เดียงสาและไม่มีประสบการณ์ใดๆ ดูท่าแล้วคงไม่มีเหล่าชนชั้นสูงคนใดที่จะจัดการได้ง่ายๆเลย
นางรู้ได้อย่างไร?
มีเครื่องหมายคำถามอยู่ในใจของเจียงอี้เขายืนยันได้ว่านางไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายเขา ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ส่งข้อความมา
ตึกตึกตึก!
จูสุยกำลังเดินออกมาจากลานตำหนักและเจียงอี้ก็ไม่กล้าคิดอะไรมากนักขณะที่เขารีบตามเขากลับไปหาผู้อาวุโสฉีทั้งสามคนเดินออกจากโรงเตี๊ยมเฟยเซียนและขึ้นรถม้ากลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พวกเขาพักอยู่
“นายน้อยเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อเข้าไปยังลานเล็กๆแล้วผู้อาวุโสฉีก็รีบถามว่าเรื่องที่เจียงอี้ต้องการนั้นราบรื่นหรือไม่ เพราะมันเกี่ยวข้องกับอิสรภาพของพวกเขา เจียงอี้สัญญาว่าเมื่อเขาพบแม่นางอีที่สามแล้ว เขาจะจากไปทันทีและคืนผนึกวิญญาณให้พวกเขา
เจียงอี้ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปและนั่งเงียบๆมีบางอย่างที่เขานั้นไม่เข้าใจ แม่นางหลิงมองออกได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่ได้ทำอะไรพลาดไปเลย? หรือว่านางมีทักษะการอ่านใจคนกัน?
“อย่าเพิ่งถามข้าทุกคนไปพักผ่อนกันก่อน!”
ครู่ต่อมาเจียงอี้ก็ลุกขึ้นยืนและพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า“พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางไปยังด้านนอกราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเพื่อรอให้แม่นางอีปรากฏตัว แล้วเราจะตัดสินใจอีกทีว่าจะทำอะไรต่อไป”