เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 591-593
บทที่ 591 สะพานโซ่เหล็ก
บรึฟ!
แสงสีขาวส่องอยู่ภายหน้าเจียงอี้โลกในดวงตาของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขามองไปได้ไกลสุดสายตาและมันแปลกตามาก
ในตอนนี้เขายืนอยู่บนก้อนหินหน้าเหวขนาดใหญ่ซึ่งกว้างอย่างน้อยห้ากิโลเมตรไฟสีแดงด้านล่างต่างส่องสว่างขึ้นมาถึงท้องฟ้า ข้างล่างนั้นเป็นลาวาร้อนเต็มไปหมด หากผู้ใดตกลงไปก็คงไม่เหลือแม้แต่ซาก แม้ว่าลาวานั้นจะอยู่ห่างจากพื้นดินเกือบสามสิบกิโลเมตรแต่ความร้อนที่ตีขึ้นมาเป็นระยะนั้นก็ทำให้แทบจะหายใจลำบากนัก
มีสะพานโซ่เหล็กอยู่สามสายเพื่อข้ามหุบเขาไปสะพานนั้นมีความกว้างเพียงหนึ่งเมตรและถูกปกคลุมด้วยกระดานชนวนสีดำอยู่ตรงกลาง โซ่เหล็กทั้งสองเส้นนั้นทำจากเหล็กสีดำที่เปล่งประหายความเยือกเย็นออกมา
“หืม?มีคนอยู่ตรงนั้นเยอะเชียว! ไม่นะ หวู่นี่อยู่ทางนั้นและถูหลงก็น่าจะอยู่ที่นั่นเหมือนกัน”
เจียงอี้ไม่ได้สนใจสะพานโซ่เหล็กหรืออะไรเลยเขามัวมองไปทางสะพานโซ่เหล็กสองเส้นทางด้านขวาและสีหน้าเขาก็มืดหม่น มีคนนับร้อยอยู่ที่สะพานทั้งสองแห่งนั้น บนสะพานโซ่เหล็กตรงกลาง เจียงอี้เห็นหยิ่นรั่วปิง, หลิงชือหย่า, หลิงชีเจี้ยน, เสียเฟย, หลานชายของจักรพรรดิแห่งศาสตราและคนอื่นๆอย่างชัดเจน
เขาไม่เคยเจอถูหลงมาก่อนแต่เขาเคยเห็นหวู่นี่สาวใช้ขอบเขตเทียนจุนทั้งสี่คนที่รายล้อมเขาไว้นั้นค่อนข้างระบุตัวตนเขาอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขามองไม่นาน ความตื่นตระหนกในใจก็ถูกแทนที่ด้วยความสงสัย
ขณะที่ผู้คนบนสะพานทั้งสองสายนั้นทำตัวแปลกๆแทนที่พวกเขาจะบินแต่พวกเขากลับเดินอย่างช้าๆราวกับว่าทุกย่างก้าวนั้นยากเย็นเป็นอย่างมาก หลายคนไม่สามารถยืนตรงได้และดิ้นรนพยุ่งตัวเองขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบางคนที่ใช้ทั้งมือและเท้าคลานไปกับพื้นด้วย
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
เจียงอี้รู้สึกสับสนเขาไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แน่นอนของหลิงชีเจี้ยนและเสียเฟยและคนอื่นๆ แต่มันแน่นอนอยู่แล้วว่าทายาทของตระกูลสูงศักดิ์ไปถึงขอบเขตเทียนจุนแล้ว แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังก็สามารถบินไปได้อย่างที่พวกเขาพอใจได้ หากเป็นขอบเขตเทียนจุนคงบินข้ามสะพานไปได้ในพริบตาสิ แล้วทำไมพวกเขาถึงได้เดินช้าเช่นนั้น?
อย่างไรก็ตามเจียงอี้ก็รู้สึกโล่งใจที่สะพานโซ่เหล็กอยู่ห่างจากกันสามกิโลเมตร และคนเหล่านั้นแค่เดินยังลำบากฉะนั้นพวกเขาคงจะบินมาที่นี่ไม่ได้ล่ะนะ อย่างน้อยตอนนี้เจียงอี้ก็ยังปลอดภัย
ขณะที่เจียงอี้กำลังสังเกตผู้คนอยู่ผู้คนเหล่านั้นที่อยู่บนสะพานอีกสองแห่งก็เห็นเขาเช่นกัน สามกิโลเมตรนั้นไม่ได้ไกลมากและคนที่สามารถเข้ามาข้างในได้อย่างน้อยก็ต้องอยู่ขอบเขตจินกังและมีสายตาที่ดีมาก ดังนั้นพวกเขาจึงมองเห็นเจียงอี้ได้อย่างง่ายดาย
ฮือฮา!
การปรากฏตัวของเจียงอี้นั้นทำให้เกิดความวุ่นวายเล็กน้อยแต่ทุกคนก็กลับคืนสู่ความสงบอย่างว่องไวและมองเจียงอี้ด้วยความเย้ยหยันและเวทนา
“อะไรกัน?”
เจียงอี้สับสนเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นว่าทั้งหยิ่นรั่วปิงและหลิงชือหย่าต่างก็มองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจและหลังจากมองเขาพักหนึ่ง พวกนั้นก็เลิกสนใจเขา หยิ่นรั่วปิงยังอยู่ในเท้าเปล่าและค่อยๆเดินไปทีละก้าว แม้ว่านางจะเชื่องช้าแต่หลังของนางก็ยังตรงอยู่และท่าทีของนางก็ดูสบายๆ
ส่วนหลิงชือหย่ากำลังยืนอยู่กับชายหนุ่มที่หล่อเหลาเจียงอี้เคยเห็นคนผู้นั้นมาก่อน เขาคือหลิงชีเจี้ยนที่บินอยู่บนดาบในวันนั้น หลิงชือหย่าดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย นางแทบจะยืนอย่างมั่นคงไม่ได้หากไม่ใช่เพราะหลิงชีเจี้ยนที่คอยประคองนางไว้
ส่วนเด็กอายุเจ็ดถึงแปดปีที่เป็นหลานชายของจักรพรรดิแห่งศาสตรากลับทำให้เขาประหลาดใจเด็กคนนั้นกำลังเดินอย่างต่อเนื่อง ฝีเท้าของเขาก็ช้ามากเช่นกันแต่เขาก็ดูไม่ต้องพยายามและเหลือบมองเจียงอี้อยู่เป็นครั้งคราว
ข้างหน้าเด็กคนนั้นคือหวู่นี่ที่เดินได้อย่างง่ายดายแต่สาวใช้ทั้งสี่ของเขากลับเชื่องช้าราวกับหอยทากหวู่นี่มองไปที่เจียงอี้ในตอนนี้ ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความเย้ยหยันแต่เขาก็ไม่ได้สนใจเจียงอี้เป็นพิเศษจึงทำให้เจียงอี้โล่งใจเป็นอย่างมาก
ประมุขน้อยของโถงวรยุทธผู้นี้อาจไม่ได้ข้อมูลของเขาหรือไม่เขาก็ยังไม่ถึงจุดที่จะได้รับความสนใจจากประมุขน้อยโถงวรยุทธผู้นี้
สิ่งที่ทำให้เจียงอี้ประหลาดใจและสลดใจเป็นอย่างมากคือเขาไม่พบวี่แววของอีฉานเลย ผมสีม่วงของนางเด่นชัดมาก แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขากวาดมองทุกคนแล้ว เขาก็ยังไม่พบนางเลย
แต่ถึงอย่างไรก็เถอะ!
ในเมื่อเขาอยู่ที่นี่แล้วและไม่มีทางกลับไปได้แล้วเจียงอี้ก็ต้องพยายามไปต่อ และถ้าหากว่าตระกูลเฟยตามเขามาที่นี่และขอให้หลานชายของจักรพรรดิแห่งศาสตราและกลุ่มของเขาช่วยสังหารเขา เขาก็คงจะถึงจุดจบของชีวิตจริงๆแล้วล่ะ
เจียงอี้ก้าวไปยังสะพานข้างหน้าเขาหลังจากที่ก้าวไปสองก้าว เขาก็รู้สึกว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร และเขาได้ก้าวไปยังสะพานโซ่เหล็กอย่างเงอะๆงะๆ
ตึ้งง!
แรงกดดันราวกับภูเขาได้กระแทกลงมาซึ่งทำให้เจียงอี้ไม่ทันได้ระวังตัวขาของเขาอ่อนยวบลงไปและถูกกดลงไปกับสะพานโซ่เหล็กด้วยแรงกดดันอันมหาศาลจนทำให้หัวกระแทกเข้ากับพื้นอย่างจัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลายคนบนสะพานโซ่เหล็กตรงกลางเห็นเจียงอี้และหัวเราะเยาะเขาแต่หลังจากนั้นพวกเขาเองก็ล้มลงไปเช่นกัน แต่หลายคนก็ยังเย้ยหยันออกมาอยู่ดี
น่าอับอายนัก
เจียงอี้เห็นหยิ่นรั่วปิงและหลิงชือหย่ายิ้มออกมาวูบหนึ่งและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาซึ่งมันทำให้เขาอับอายมากแต่เขาก็เข้าใจเช่นกันว่าทำไมทุกคนถึงเป็นเช่นนั้น
เป็นอย่างที่คาดไว้ในหุบเขาแห่งนี้มีแรงโน้มถ่วงที่รุนแรงมากจนไม่มีผู้ใดบินไปได้หรือเดินไปได้รวดเร็วเกินไป ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้พวกเขาตกสะพานและถูกเผาเป็นเถ้าถ่านได้!
ช่างน่ากลัวนัก!
เจียงอี้แอบถอนหายใจเบาๆแต่เขาก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ในใจ แม้ว่ามันจะมีแรงกดดันสูงแต่เขาก็ยังทนได้และผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนที่สะพานนั้นก็น่าจะเดินไปได้ง่ายกว่าเขา
เขาพยายามที่จะยืนขึ้นมาและเมื่อเขานึกถึงเสียงหัวเราะของหยิ่นรั่วปิงและหลิงชือหย่าแล้วเขาก็กัดฟันยืดตัวขึ้นมาและยกขาก้าวต่อไป
หนึ่งก้าว,สองก้าว, สามก้าว!
เจียงอี้รู้สึกแปลกยิ่งกว่าเดิมเขาสามารถต้านแรงกดดันนั้นได้แล้วเหตุใดผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนถึงได้เดินช้านัก? ด้วยความเร็วเช่นนี้ เขาจะสามารถแซงทุกคนได้ในไม่ช้า
สี่ก้าว,ห้าก้าว!
ตึ้งง!
ขาของเจียงอี้อ่อนยวบลงและสะดุดล้มอีกครั้งร่างทั้งร่างของเขาถูกกระแทกลงไปที่พื้นและใบหน้าบิดเบี้ยวไปเพราะแรงกดดัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“เจ้างั่ง…”
“ฮ่าฮ่านี่เขาพยายามทำให้พวกเราหัวเราะหรือ?”
แม้ว่าผู้คนบนสะพานโซ่เหล็กอีกสองเส้นจะเดินอย่างยากลำบากแต่บางคนก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ รวมถึงหยิ่นรั่วปิงและหลิงชือหย่าด้วย ร่างอันบอบบางของหลิงชือหย่าสั่นเทาไปทั่ว นางอาจจะล้มลงไปกับพื้นแล้วหากไม่ใช่เพราะหลิงชีเจี้ยนคว้าตัวนางเอาไว้
“ฮ่าฮ่าฮ่าอ๊ากกก!”
ชายคนหนึ่งบนสะพานโซ่เหล็กทางด้านขวาหัวเราะออกมาแต่เขาก็เดินโซเซและก้าวพลาดจนเสียการทรงตัวและกลิ้งลงมาจากสะพานโซ่เหล็ก ในไม่ช้าเขาก็ตกลงไปยังลาวาด้านล่างและถูกเผาจนไม่มีอะไรเหลือเลย
“โอ้”
ผู้คนไม่กล้าที่จะหัวเราะต่อแล้วและหันกลับมามุ่งเน้นที่จะเดินต่อไปบนสะพานโซ่เหล็กที่สาม หลายคนมองไปทางเจียงอี้ด้วยสายตาที่เกลียดชังซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาตำหนิเจียงอี้ที่ทำให้คนผู้นั้นต้องตายไป
“บ้าเอ้ยแรงกดดันเพิ่มขึ้น!”
หลังของเจียงอี้โค้งงอลงไปและเขาก็มีหน้าตาที่บูดบึ้งแม้ว่าแรงกดันนั้นจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่มันก็ฉับพลันและไม่สามารถคาดเดาได้เลย
เขาไม่เสี่ยงที่จะประมาทและค่อยๆเดินไปข้างหน้าช้าๆตามที่คาดไว้ หลังจากที่เขาเดินไปห้าก้าว แรงกดดันก็เพิ่มขึ้นอีกครั้งแต่ในครั้งนี้เขาก็พร้อมรับมือกับมันจึงทำให้ขาของเขางอเพียงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ล้มลง
จากนั้นเขาจึงเข้าใจว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนเหล่านั้นจึงไม่กล้าเดินเร็วเกินไป เพราะหากพวกเขาเร่งรีบ พวกเขาอาจปรับตัวไม่ทันกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหันได้และจะตกจากสะพานโซ่เหล็กอย่างแน่นอน
“ให้ตายเถอะสะพานโซ่เหล็กนี่สร้างมาให้คนข้ามหรอ?”
หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยก้าวเจียงอี้ก็รู้สึกว่าแรงกดดันที่ไหล่ของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแล้ว แม้จะกัดฟันพยายามอย่างเต็มที่แต่เขาก็ไม่สามารถยืนตรงๆได้อีกต่อไป
สะพานโซ่เหล็กนี้ไม่ได้ยาวมากนักและยาวแค่เพียงห้ากิโลเมตรแต่ปัญหาก็คือ หากแรงกดดันยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเช่นนี้ อย่าว่าแต่ไปจนสุดทางและเดินเข้าไปยังประตูหอนั่นเลย ถึงแม้ว่าเขาจะคลานไปกับพื้น เขาก็จะไม่สามารถไปถึงกลางสะพานได้ด้วยซ้ำ
บทที่ 593 มนุษย์ประสานสวรรค์ขั้นแรก
“ระดับนรก?”
แม้ว่าหลิงชีเจี้ยนจะพูดเบาๆแต่สะพานโซ่เหล็กนั้นก็อยู่ห่างกันเพียงสามกิโลเมตรและหูของเจียงอี้นั้นดีมาก เขาจึงได้ยินมันอย่างชัดเจน แต่เจียงอี้ก็ไม่ได้หันไปมองทางพวกเขาและเดินต่อไปเงียบๆ
ปึ้ก!
หลังจากนั้นอีกยี่สิบก้าวในที่สุดเจียงอี้ก็ต้านแรงกดดันไม่ไหวและล้มลงอีกครั้ง คราวนี้เขายืนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาหยุดยืนหอบอยู่ตรงนั้น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถลุกขึ้นได้อีกต่อไปแต่เขาก็ยังเงยหน้าและมองไปที่ไกลๆและไม่ย่อท้อเลย
เขาพักเพียงครึ่งนาทีก่อนที่จะเริ่มคลานต่อไปเขาตระหนักดีว่ามันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปถึงอีกฟากของสะพานโซ่เหล็ก แม้แต่ไปให้ถึงกลางสะพานก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปถึงหรือเปล่า
ลางของความตายและการเย้ยหยันของหลิงชีเจี้ยนและหลิงชือหย่านั้นยังดังก้องอยู่ในหูของเขาอย่างชัดเจน
เขาเริ่มคลานไปอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดอะไรและเร็วกว่าตอนนี้เล็กน้อยแต่หลังจากที่คลานไปได้ทุกๆห้าก้าว เขาก็จะชะลอตัวเพื่อให้ร่างกายปรับกับแรงโน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้น
ด้วยแขนขาทั้งสี่ที่คลานอยู่บนพื้นความกดดันต่อร่างกายเขาก็จะลดลงมาก ในตอนนี้เขาเร็วขึ้นมากจนไปได้ถึงแปดร้อยก้าว, พันก้าว…..พันสามร้อยก้าว….
หลังจากผ่านไปหนึ่งในห้าส่วนของเส้นทางบนสะพานนั้นเขาก็ชะลอตัวลงแต่ก็ไม่ได้หยุดแม้แต่นิดเดียว เขาค่อยๆไปข้างหน้าทีละก้าวเรื่อยๆ กางเกงของเขาขาดเพราะแรงเสียดทานของขากับชนวนสีดำที่พื้นสะพาน ขาของเขาเริ่มเลือดออกแต่เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และยังคงคลานต่อไป
“โง่เง่าสิ้นดี!เขาคลานเร็วมากและไม่รู้จักรักษาความแข็งแกร่งเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน เขารู้เพียงแค่ว่าเขาจะต้องรีบตรงไปข้างหน้าซึ่งมันอาจจะทำให้เขาฆ่าตัวเองไวกว่าเดิม”
“ฮ่าฮ่านั่นมันโง่เง่าจริงๆ ข้าพนันได้เลยว่าเขาจะไปได้มากสุดแค่สองพันก้าว”
“หืมสองพันก้าวหรอ? เจ้าประเมินเขาสูงไป หากเขาเดินไปได้อีกพันห้าร้อยก้าว ข้าจะกินอึสามกิโลให้ดูเลย!”
“ฮ่าฮ่าเรามาเดิมพันกันมั้ยล่ะ? หากว่าเขาไปได้สองพันก้าว อัตราการเดิมพันจะอยู่ที่ห้าต่อหนึ่งเท่า, พันแปดร้อยก้าวอยู่ที่สามต่อหนึ่งเท่าและพันห้าร้อยก้าวจะอยู่ที่สองต่อหนึ่งเท่าของการวางเดิมพัน”
“เอาสิข้าเดิมพันด้วยศิลาสวรรค์ห้าสิบก้อนที่พันห้าร้อยก้าว”
“……”
ผู้คนบนสะพานโซ่เหล็กทางด้านขวาจะเดินช้ามากและมีแรงกดดันน้อยที่สุดดังนั้นหลายคนยังมีเวลาที่จะหัวเราะและเย้ยหยัน บางคนถึงขั้นวางเดิมพันกับเจียงอี้และส่วนใหญ่จะพนันว่าเขาจะไปไม่ถึงสองพันก้าว
บรรยากาศที่ครื้นเครงนั้นดึงดูดความสนใจของนายน้อยและคุณหนูบนสะพานตรงกลางผู้คนก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้สนใจเจียงอี้เช่น หวู่นี่, หลานชายจักรพรรดิแห่งศาสตรา, เสียเฟยและคนอื่นๆอีกมากมายเริ่มมองไปทางเจียงอี้เป็นครั้งคราวและอยากรู้ว่าเขาจะอดทนได้นานเพียงใด
เจียงอี้ทำเป็นหูทวนลมกับความปั่นป่วนรอบข้างหรือบางทีเขาอาจจะไม่สามารถเปลืองพลังงานเพื่อไปสนใจคนอื่นได้อีกต่อไป
หัวเข่าของเขาแทบจะลากไปตามพื้นและกระดานชนวนสีดำก็เปรอะเปื้อนเลือดของเขาเป็นทางมือของเขานั้นถูกับชนวนนั้นเช่นกันและหลังของเขาก็แทบจะแหลกติดกับพื้นสะพานอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังคงเงยหน้าขึ้นมาและมองไปข้างหน้าอย่างเย็นชาและดื้อรั้นพร้อมกับค่อยๆก้าวไปข้างหน้า
หนึ่งพันสี่ร้อยก้าว!
เขาเริ่มช้าราวกับหอยทากและช้ากว่าคนอื่นๆมากแต่เขาก็ยังก้าวต่อไป
ปัง!
หลังจากผ่านไปพันสี่ร้อยห้าสิบก้าวแขนขาของเขาก็อ่อนยวบลงไปและล้มลงไปบนพื้นชนวนสีดำอย่างแรง ในตอนที่ทุกคนคิดว่าเขาไปต่อไม่ได้อีกแล้ว เขาก็เริ่มกลับมาคลานอีกครั้งหลังจากที่ผ่านไปได้ห้านาที
หลังจากที่ผ่านไปพันห้าร้อยก้าวเขาไม่สามารถขยับตัวได้อีกต่อไป คราวนี้เขาพักถึงสิบนาทีถึงจะคลานต่อไปได้
หลังจากที่ผ่านไปพันห้าร้อยสามสิบก้าวเขาก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้และนอนลงบนพื้นสะพานราวกับหมูที่ตายแล้ว ดวงตาของเขาปิดลงและแทบจะไม่หายใจ ดูเหมือนว่าอวัยวะของเขาทั้งหมดจะแตกสลายไปในไม่ช้า, จิตวิญญาณของเขาจะสลายไปและในไม่ช้าเขาก็จะจากไปเพราะทนกับแรงกดดันอันมหาศาลนี้ไม่ได้
หลังจากนั้นสองนาที,ห้านาที….สิบนาที!
เจียงอี้ยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้นเสียเฟย, หวู่นี่และคนที่เหลือไม่สนใจเขาอีกต่อไป ส่วนหยิ่นรั่วปิงและหลิงชือหย่าหันกลับไปมองไม่กี่ครั้ง ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ไม่มีอะไรน่ามองนักสำหรับคนที่เหมือนตายไปแล้ว บนสะพานโซ่เหล็กทางด้านขวาหลายคนเริ่มตะโกนเรียกร้องหานายน้อยที่ริเริ่มการเดิมพันเพื่อที่จะเอาของเดิมพันมา
“หืม?”
หลังจากที่ผ่านไปสิบห้านาทีเจียงอี้ก็ลุกขึ้นยืน แต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้เดินต่อแต่เขาพยายามนั่งขัดสมาธิ มันเหมือนกับว่าเขากำลังจะฝึกฝนและพักฟื้นร่างกายของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนมีสายตาที่ประหลาดใจก็คือเมื่อผ่านไปห้านาที เจียงอี้ก็ยืนขึ้นพร้อมกับหลับตาอยู่!
เขายืนขึ้นจริงๆ!
นอกจากนี้เขายังไม่แสดงอาการสั่นเทาออกมาเลยแม้แต่น้อยดูเหมือนว่าเขากำลังจมอยู่ในห้วงสภาวะประหลาดซึ่งทำให้ทุกคนไม่สามารถละสายตาได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และปฐพี
“เป็นไปได้ยังไงกัน?!”
หลิงชือหย่าอุทานออกมาผู้คนหลายคนเริ่มระเบิดความโกลาหลออกมาขณะที่เจียงอี้เดินไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เร็วกว่าในตอนเริ่มต้นมากๆ แต่หลังจากทุกๆห้าก้าว เขาจะหยุดชั่วขณะก่อนที่จะเดินต่อไป และในเพียงชั่วพริบตาเขาก็เดินไปร้อยก้าวแล้ว!
“อัจฉริยะ!เขาเข้าสู่มนุษย์ประสานสวรรค์ขั้นแรกแล้วจริงๆ!”
ดวงตาที่แวววาวของหยิ่นรั่วปิงกระพริบไปพร้อมๆกับความตกตะลึงปัจจุบันนางเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจียงอี้ ในตอนที่เจียงอี้เข้าสู่มนุษย์ประสานสวรรค์ขั้นแรกแล้ว เขาก็สามารถหลอมรวมตัวเองเข้ากับสวรรค์และปฐพี, ปลดเปลื้องน้ำหนักที่หนักอึ้งและเดินได้อย่างรวดเร็ว
“อาหากเขาเลือกระดับกลางหรือระดับเลวร้าย เขาก็อาจจะมีโอกาสรอดก็ได้ ไม่น่าเลย….”
ในไม่ช้าดวงตาที่เป็นประกายของหยิ่นรั่วปิงก็หมองลงไป จากความคิดของนางแล้ว ร่างกายและความแข็งแกร่งของเจียงอี้นั้นอ่อนแอเกินไป แม้ว่าเขาจะไปถึงมนุษย์ประสานสวรรค์ขั้นแรกแล้วแต่มันก็ยังไม่มีทางที่เขาจะข้ามสะพานนี้ไปได้
หนึ่งพันแปดร้อยก้าว,สองพันก้าว…..สามพันก้าว!
เจียงอี้หลับตาเดินหน้าต่อไปอย่างรวดเร็วความเร็วของเขานั้นดูเหมือนว่ามันไม่น่าเป็นจริงได้ พวกเขาต่างรู้สึกราวกับว่าตัวเองเห็นผีกลางวันแสกๆ บางคนถึงกับสงสัยว่าสะพานนั่นใช่ระดับนรกจริงหรือ
ในที่สุดเขาก็ชะลอความเร็วลงเมื่อเขาผ่านหนึ่งในสามส่วนของสะพานไปได้แล้วแม้ว่าความเร็วของเขาจะรวดเร็วมาก แต่เจียงอี้ก็เริ่มสั่นและหอบอีกครั้งซึ่งเห็นได้ชัดว่าความกดดันนั้นมันหนักเกินไปสำหรับเขา
หลังจากที่ผ่านไปสามพันห้าร้อยก้าวความเร็วของเจียงอี้ก็เริ่มพอๆกับคนอื่นๆ
หลังจากที่ผ่านไปสี่พันก้าวเจียงอี้ก็คุกเข่าลงและเริ่มคลานช้าๆอีกครั้ง แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงปิดอยู่และกลิ่นอายพิลึกก็ยังคงแผ่ออกมารอบตัวเขาซึ่งทำให้คนอื่นละสายตาจากเขาไปได้ยาก
“เขามีพรสวรรค์บางอย่างหากเขารอดไปจากที่นี่ได้ เราสามารถชวนเขามาอยู่ตระกูลเราได้”
หลิงชีเจี้ยนถอนหายใจเบาๆแต่หลิงชือหย่านั้นดูอึกอักเล็กน้อย นางเคยส่งข้อความเสียงไปหาเจียงอี้ว่าหากว่าเขาข้ามไปได้ครึ่งสะพาน นางจะใช้แซ่ของเขา และเจียงอี้ในตอนนี้ก็อยู่ห่างจากกลางสะพานไม่ถึงพันก้าวเลยด้วยซ้ำ
หวู่นี่และกลุ่มของเขาหยุดมองเจียงอี้แม้ว่าเจียงอี้ยังคงเดินต่อไป แต่จากที่พวกเขาเห็นนั้น เจียงอี้กำลังจะหมดเรี่ยวแรงและเขาจะไม่มีวันข้ามสะพานนี้ไปได้
สี่พันห้าร้อยก้าว,สี่พันแปดร้อยก้าว…
เจียงอี้กลับมาช้าเหมือนหอยทากอีกครั้งร่างของเขาแทบจะติดอยู่กับพื้นสะพานแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเลือดเริ่มไหลออกมาจากเจ็ดทวารของเจียงอี้และมันดูน่าสยดสยองมาก เหมือนกับว่าเขาในตอนนี้อาจจะตายได้ทุกเมื่อ
ฮู่ฮู่!
ในตอนนั้นเองมีเสียงลมดังมาจากอีกฟากหนึ่งของหุบเขา ทุกคนหน้าซีดและนั่งลงในทันที จากนั้นพวกเขาทั้งหมดต่างหันไปมองเจียงอี้เป็นตาเดียว
หลายคนคิดว่าเจียงอี้ใกล้จะตายแล้วและพายุกำลังจะใกล้เข้ามาแต่เขายังคงอยู่ในสภาวะที่ไม่รู้จักและค่อยๆคลานไปข้างหน้า
ฮู่ฮู่!
กระแสลมเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆและสะพานโซ่เหล็กก็เริ่มสนั่นหวั่นไหวทันใดนั้นหลิงชือหย่าก็ร้องออกมาและหลายคนก็เผยสายตาที่เหยียดหยาม นั่นก็เป็นเพราะว่าเจียงอี้ตกลงมาจากสะพานโซ่เหล็กและปะทะเข้ากับลาวาด้านล่างอย่างจัง!
“อ๊ะ?แม่เจ้า นี่ข้าเห็นอะไรไป……?”
หลิงชือหย่าและหยิ่นรั่วปิงหลับตาปี๋แต่ในไม่ช้าความหวาดกลัวก็ครอบงำพวกนางและทำให้พวกนางตัวสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว มีผู้คนหลายคนมองลงไปยังลาวาด้านล่างนั้นเพื่อที่จะมองภาพที่พวกเขาจะจดจำไปตลอดชีวิต!