เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 597-598
บทที่ 597 จระเข้กลืนวิญญาณ
“เอ่อ….”
บนเส้นทางเล็กๆภายในเทือกเขาที่รกร้างเจียงอี้ที่กำลังเดินอยู่ก็หยุดอย่างกะทันหัน ในตอนนี้เองที่ความคิดของเขาก็ปรากฏภาพสายฟ้าบนท้องฟ้าขึ้นซึ่งมันคล้ายกับตอนที่กระจกนิรันดร์โผล่ออกมา แต่คราวนี้เป็นคทาหยกที่กำลังร่วงลงมา และในเวลาเดียวกันนั้นก็มีข้อความปรากฏขึ้นในจิตใจของเขาว่า สมบัติอันดับแปดถูกรับไปแล้ว
ทุกๆสมบัติที่ได้นั้นทุกคนที่อยู่ในราชวังจะรู้สึกได้ และเจียงอี้ก็อยากรู้ว่าผู้ใดกันที่ได้คทาหยกนั่นไป คทาหยกนั้นมีหน้าที่อะไร? มันเป็นสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์หรือสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงกันนะ?
หลังจากที่ความคิดทั้งหมดแล่นเข้ามาในจิตใจของเขาเจียงอี้ก็ไม่กล้าที่จะไตร่ตรองอีกต่อไปเนื่องจากมีกลิ่นอายที่เย็นยะเยือกปรากฏออกมาซึ่งไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าหัวจระเข้กำลังจะโจมตีอีกครั้ง
“ฮึ่ม!”
ไข่มุกวิญญาณเพลิงของเจียงอี้สว่างขึ้นด้วยเปลวเพลิงอเวจีสามก้อนก่อนที่เจ้าหัวจระเข้จะปรากฏตัวขึ้นเขาก็ได้ปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกไปทันที เขายังคงปลดปล่อยฝ่ามือออกไปอีกสองก้อน และเป็นไปตามที่คาดไว้คือก่อนที่เจ้าหัวจระเข้จะผ่านเปลวเพลิงอเวจี มันก็กลายเป็นควันสีขาวและจางหายไป
“ฮู่วฮู่!”
เจียงอี้สังหารเจ้าหัวจระเข้ไปแล้วแต่ในใจของเขาก็รู้สึกไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่นัก ใครจะไปรู้ว่าทางเดินนี้จะยาวขนาดไหน? แล้วจะมีเจ้าหัวจระเข้อีกกี่ตัวอยู่ด้านหน้ากัน?
เปลวเพลิงอเวจีในไข่มุกวิญญาณเพลิงของเขานั้นเหลือมากกว่าพื้นที่ครึ่งหนึ่งเล็กน้อยซึ่งมันน่าจะได้ประมาณสามพันก้อนหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือหากมีเจ้าหัวจระเข้ผุดออกมาอีกพันตัว เปลวเพลิงของเจียงอี้ก็จะหมดไป และเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจะใช้อะไรรับมือกับการโจมตีอีก?
ยิ่งไปกว่านั้นเปลวเพลิงอเวจีนั้นยังพบได้เพียงในหุบเขาชิงวิญญาณที่ทวีปเทียนชิงเท่านั้น ระหว่างทางที่มาที่นี่ เจียงอี้ก็ไม่พบเปลวเพลิงอเวจีอีกเลย
“ไปต่อเถอะ!”
เวลานั้นไม่คอยท่าและเจียงอี้ก็ไม่กล้าที่จะคิดอะไรมากมายนักยิ่งเขาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่มันก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เขาแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปและเริ่มเร่งฝีเท้า
เส้นทางเล็กๆนั้นขรุขระและไม่ค่อยมั่นคงขณะที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่รกร้างว่างเปล่าและไม่มีมนุษย์แม้แต่คนเดียวอันที่จริงแล้วมันไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอะไรเลย เมื่อกวาดมองไปรอบๆ พื้นที่ทั้งหมดนั้นก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่น่าสะพรึง คนที่มีจิตใจที่อ่อนแออาจจะกลายเป็นบ้าไปเสียก่อนที่เจ้าหัวจระเข้จะเข้ามาโจมตีพวกเขาเสียอีก
ฟรึ่บ!ฟั่บ!
เจียงอี้เคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อยๆหลังจากที่เขาเดินไปได้ประมาณหนึ่งกิโลเมตร ห้วงอากาศทางด้านขวาก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย เจียงอี้ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขากวาดมองไปและปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมาสามก้อนและเผาเจ้าหัวจระเข้ไป
ฟรึ่บ!
เจียงอี้เพิ่มความเร็วของเขาอีกครั้งซึ่งมันเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นแรกและโลดแล่นอยู่บนทางเดินเล็กๆเขาไม่ได้เดินตัดผ่านป่าไปอย่างผลีผลามและเนื่องจากว่าที่นี่มีทางเดินเพียงทางเดียวเขาจึงคิดว่าการเดินทางบนเส้นทางนี้ปลอดภัยกว่าแน่นอน
จี๊ดจี๊ด!
ห้วงอากาศด้านซ้ายและด้านขวาเริ่มสั่นไหวอีกครั้งซึ่งทำให้สีหน้าของเขามืดมนลงไม่ใช่เพราะว่าเขากลัวเจ้าหัวจระเข้นั้นแต่มันเป็นเพราะว่าสิ่งที่เขากังวลที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อเขาผ่านมาเรื่อยๆ เจ้าหัวจระเข้นี้จะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้อาจจะมาเป็นสองตัว แต่ต่อจากนี้อาจจะเป็นสามหรือไปจนถึงสี่,หรือสิบ….หรือร้อยตัวก็ได้
“ย๊ากกก!”
ในขณะที่เจ้าหัวจระเข้ปรากฏขึ้นเขาก็ปลดปล่อยเปลวเพลิงอเวจีหกก้อนออกมาใส่พวกมัน ก่อนที่พวกมันจะมาถึงตัวเจียงอี้พวกมันก็กรีดร้องออกมาและกลายเป็นควันสีขาวไปแล้ว
“รีบไปดีกว่า!”
เจียงอี้เดินทางด้วยความรวดเร็วและเขาก็ไม่ได้กังวลว่าเปลวเพลิงอเวจีจะน้อยลงอีกต่อไปเขาเพียงต้องไปให้เร็วที่สุดเพื่อไปถึงสุดทางนี้ ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะตกตายอยู่ที่นี่ก็ได้
ฟรึ่บฟั่บ!
ขณะที่เขาวิ่งไปก็มีเจ้าหัวจระเข้โผล่พุ่งมาหาเขาตลอดเวลา
“เปลวเพลิงอเวจี!”
เจียงอี้ไม่ได้ใช้เปลวเพลิงอเวจีอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไปเนื่องจากเขาตระหนักได้ว่ามันจะหมดเร็วมากเขาจึงควบคุมเปลวเพลิงอเวจีให้ออกมาห่อหุ้มร่างเขาเอาไว้สามชั้นขณะที่ยังคงก้าวไปด้วยความรวดเร็ว
จี๊ดดดด!
ห้วงอากาศจากทั่วทุกสารทิศกระเพื่อมอย่างต่อเนื่องและเจ้าหัวจระเข้นับไม่ถ้วนก็พุ่งมาทางเจียงอี้อย่างไรก็ตาม เจียงอี้ก็ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงอเวจีสามชั้น ดังนั้นจึงไม่มีเจ้าหัวจระเข้ตัวไหนเข้าไปในจิตวิญญาณของเขาได้เลย แต่พวกมันทั้งหมดถูกเผาเป็นควันสีขาวและปล่อยเสียงกรีดร้องอันแหลมคมออกมาซึ่งมันดังก้องไปทั่วและทำให้สถานที่แห่งนี้น่ากลัวยิ่งขึ้น
“เวรเอ้ย!มันไม่ได้ผล….เปลวเพลิงอเวจีค่อยๆลดลงเร็วเกินไป! มันมีสิ่งมีชีวิตเช่นนี้เยอะขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”
หลังจากที่วิ่งไปอย่างหมดหวังประมาณเกือบสิบกิโลเมตรเจียงอี้ก็บ่นอยู่เงียบๆ เปลวเพลิงอเวจีกำลังแผดเผาจระเข้กลืนวิญญาณพวกนี้ แต่พวกมันก็ทำให้เพลิงอเวจีของเขาลดลงไปเยอะเช่นกัน ในเวลาเพียงสิบกิโลเมตร เจียงอี้ถูกจระเข้กลืนวิญญาณจู่โจมไปเกือบพันตัวและเขาก็ใช้เพลิงอเวจีไปหลายร้อยก้อนแล้ว
เส้นทางที่คดเคี้ยวนี้ทอดยาวไปไกลและไม่มีผู้ใดรู้ว่าเส้นทางนี้ยาวเพียงใดหากยังมีเจ้าหัวจระเข้อยู่อีกมากมายและหากเจียงอี้ไม่เหลือเปลวเพลิงคอยปกป้องร่างของเขาแล้ว เขาจะต้องตายอย่างแน่นอนเนื่องจากจิตวิญญาณของเขาจะพังทลายจากการโจมตีของพวกมัน
“วิ่งวิ่ง วิ่งง!”
ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้วเจียงอี้จะหยุดอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? เขาได้แต่หวังว่าเส้นทางนี้จะไม่ได้ยืดยาวเกินไปและเขาจะสามารถไปถึงสุดทางได้ก่อนที่เปลวเพลิงอเวจีของเขาจะหมดลง
ยี่สิบกิโลเมตร,สามสิบกิโลเมตร…..ห้าสิบกิโลเมตร!
เจียงอี้ไม่กล้าวิ่งต่อไปขณะที่เขาใช้เปลวเพลิงของเขาไปสองในสามส่วนแล้วสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดของทางเลยด้วยซ้ำ ซึ่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาสามารถแผ่ออกมาได้อย่างน้อยก็ในรัศมียี่สิบถึงสามสิบกิโลเมตรขณะที่เปลวเพลิงอเวจีของเขานั้นเหลือเพียงส่วนสุดท้ายแล้ว
“หยุดก่อนแล้วกัน!”
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยุดวิ่งไปเขาอยากจะรู้ว่ามีเจ้าหัวจระเข้เข้ามามากมายหรือไม่หลังจากที่เขาหยุดนิ่งไปแล้ว
จี๊ด!จี๊ด!
อากาศโดยรอบสั่นไหวอีกครั้งขณะที่มีจระเข้กลืนวิญญาณมากกว่าสิบตัวพุ่งออกมาเมื่อพวกมันถูกเปลวเพลิงอเวจีแผดเผาไป พื้นที่ทั้งหมดก็เงียบสงัดลง และหัวใจที่กระวนกระวายของเจียงอี้ก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน ดูเหมือนว่ายิ่งเขาวิ่งเร็วมากเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งดึงดูดจระเข้กลืนวิญญาณมามากเท่านั้น
“ข้าจะทำยังไงดี?”
เจียงอี้ไม่ได้ปลดปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงอีกต่อไปขณะที่ร่างของเขาดูดเปลวเพลิงที่เหลือกลับไปโดยอัตโนมัติเขาค่อยๆเดินไปข้างหน้าขณะที่เขาก็ยังคิดไม่ตกว่าจะหลุดจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร
เขาสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ยอดเยี่ยมมากเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายและจิตใจของเขาจะคิดได้เร็วขึ้นและใช้เวลาเพียงสามก้าวขณะที่จิตใจของเขานั้นคิดทบทวนอยู่นับร้อยครั้งและเมื่อมีเจ้าหัวจระเข้สองตัวบินมา ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น
จิตวิญญาณของเขานั้นไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากสิ่งมีชีวิตกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ได้หากเขาอยากเดินออกไปจากที่นี่โดยไม่ตาย เขาต้องคิดหาทางสังหารจระเข้กลืนวิญญาณทั้งหมดนี้ให้ได้
เขามีวิธีการที่อุกอาจมากมายแต่มีเพียงเปลวเพลิงอเวจีและพลังของเก้าดาราสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถสังหารพวกมันได้ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องนึกถึงสิ่งหลังด้วยซ้ำเพราะว่ามันล้ำค่าเกินไปและมันเป็นไพ่ตายสุดท้ายของเขาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น
หมายความว่าทางเลือกเดียวของเขาก็คือการพึ่งเปลวเพลิงอเวจีที่เหลืออยู่!
ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำคือใช้เปลวเพลิงอเวจีให้น้อยที่สุดที่จะสร้างความเสียหายกับจระเข้กลืนวิญญาณพวกนั้นให้ได้มากที่สุด นั่นเป็นทางเดียวที่เขาจะช่วยเหลือตัวเองให้รอดไปได้
หลังจากปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมาและสังหารจระเข้สองตัวนั้นไปแล้วเจียงอี้ก็ยืนอยู่ที่เดิมและหลับตาลงอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายที่ปรากฏออกมาจากตัวเขานั้นเปลี่ยนไปขณะที่มันดูเหมือนเขากำลังจมดิ่งสู่สภาวะประหลาด
ครู่ต่อมากลิ่นอายของเขาก็เริ่มแปลกขึ้นและร่างของเขาก็เหมือนจะหลอมรวมกับสวรรค์และปฐพี เขาไม่ได้ดูเหมือนคนที่ยืนอยู่แต่กลับดูเหมือนก้อนหินหรือต้นไม้มากกว่า
ร่างของเขาค่อยๆขยับขณะที่ลอยไปข้างหน้าดวงตาของเขายังคงปิดอยู่ขณะที่กำลังลอยอยู่บนทางขรุขระนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นดั่งเศษใบไม้ที่กำลังล่องลอยไปตามสายลม
บทที่ 598 รากฐานของผู้สืบเชื้อสายตระกูลสูงศักดิ์
เมื่อเจียงอี้เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์เขาพยายามผสานร่างกับโลกและหาข้อบกพร่องในตัวเจ้าหัวจระเข้เพื่อที่จะหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะสังหารพวกมันเพื่อที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้
จี๊ดจี๊ด!
ขณะที่ร่างของเขาเคลื่อนไหวห้วงอากาศข้างทางก็สั่นไหวและเจ้าหัวจระเข้ก็ปรากฏตัวและบินมาหาเขา
เจียงอี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงท่าทีใดๆเขาไม่ได้ลืมตาและไม่มีแม้แต่กลิ่นอายของเขา ไข่มุกวิญญาณเพลิงส่องสว่างขึ้นขณะที่ปลดปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกไปไม่กี่ก้อนก่อนที่จะทำให้เจ้าหัวจระเข้สองตัวนั้นร้องโหยหวนและกลายเป็นขี้เถ้าไป
โอหลังจากที่มนุษย์ประสานสวรรค์นี้ก้าวผ่านมาอีกระดับ ข้าว่าข้าสัมผัสถึงโลกนี้ได้มากขึ้นและข้าเห็นมันได้ชัดเจนและทั่วถึงมากขึ้นด้วย
ภายนอกเจียงอี้อาจจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่ภายในใจของเขานั้นประหลาดใจจริงๆ ตอนที่อยู่บนสะพานไร้ประโยชน์ เขาเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์โดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งทำให้เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับสภาวะนั้นมากขึ้น ในอดีตเขาจะถูกตรึงไว้ในสภาวะนั้น แต่คราวนี้ เขาสามารถขยับร่างกายได้และรู้สึกว่าเมื่ออยู่ในสภาวะนี้ เขาสามารถควบคุมร่างกายได้ดีขึ้นราวกับว่าเขาเป็นดั่งสายลมที่พัดไปทั่วโลก
เขารู้สึกว่าร่างกายนั้นไม่ได้เป็นของเขาแต่มันเหมือนกับเป็นเศษใบไม้หรือก้อนหินที่เขาสามารถควบคุมได้โดยบังเอิญ
จี๊ดจี๊ด!
ห้วงอากาศสั่นไหวอีกสองครั้งและเขาเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเกลียดออกมาจากช่องว่างได้อย่างชัดเจนซึ่งมันมีฟันอันแหลมคมและมีดวงตาสีแดง
ตายซะ!
ด้วยความคิดในใจของเขาเขาสะบัดฝ่ามือและปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมาทันที ก่อนที่จระเข้กลืนวิญญาณจะปรากฏขึ้น เจียงอี้ก็ได้ปลดปล่อยเปลวเพลิงไปที่มันแล้ว
“จี๊ดจี๊ด!”
พวกมันร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาขณะที่ร่างโปร่งแสงของมันหดตัวลงอย่างรวดเร็วเมื่อมันทะลุผ่านเปลวเพลิงอเวจีมา ร่างของมันก็มีขนาดเล็กลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว เจียงอี้ก็ปลดปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมาอีกและได้สังหารพวกมันไปได้อย่างง่ายดาย
ดีล่ะ!
เขารู้สึกยินดีอยู่เงียบๆรอบนี้เขาโจมตีช้าไปหน่อย หากเขาเร็วขึ้นกว่านี้ เขาจะสามารถเผาจระเข้จนตายได้ทันทีที่มันปรากฏตัวขึ้นมา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ…เขาจะใช้เปลวเพลิงอเวจีเพียงก้อนเดียวในการสังหารจระเข้กลืนวิญญาณหนึ่งตัวจากที่ก่อนหน้านี้เขาต้องใช้ถึงสามก้อน
ฟรึ่บ!
เจียงเหินไปเรื่อยๆและคอยสังหารจระเข้กลืนวิญญาณที่โผล่ออกมาร่างกายของเขานั้นเคลื่อนไหวได้สง่างามขึ้นเรื่อยๆและดีขึ้นเรื่อยๆ สามสิบนาทีต่อมา ก่อนที่ห้วงอากาศจะทันได้กระเพื่อมเขาก็เริ่มปลดปล่อยการโจมตีของเขาออกมาแล้ว เมื่อจระเข้กลืนวิญญาณโผล่ออกมา มันก็จะถูกเปลวเพลิงอเวจีสังหารไปในทันที
ตอนนี้ประสิทธิภาพของข้านั้นดีขึ้นมากน่าเสียดายนักที่ข้ารู้ตัวช้าเกินไปและข้าก็ใช้เปลวเพลิงอเวจีเยอะไปแล้ว!
เขาเสียดายอย่างเงียบๆแต่มันก็สายไปแล้วที่จะมาเสียดาย เขาทำได้เพียงหาทางอื่นที่จะสังหารจระเข้กลืนวิญญาณให้ได้
เขาเริ่มเคลื่อนไหวช้าลงเพราะรู้ว่ายิ่งออกมาไกลเท่าไหร่มันก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้นอย่างไรก็ตาม หากเขาคิดหาทางอื่นไม่ได้ เขาก็จะไปไม่ถึงสุดทางปรโลกนี้ได้
…
เจียงอี้นั้นลืมไปว่าอันที่จริงแล้วมีทางเดินคดเคี้ยวคล้ายๆกันอีกสองทางในอีกฟากของแถบป่าเส้นทางทั้งสามนั้นมีระยะทางประมาณหมื่นกิโลเมตรและจะจบลงด้วยประตูหินที่ต่างกัน เส้นทางเหล่านั้นไม่ได้ใกล้กันแต่ก็ไม่ได้ไกลกันเกินไป แต่ก็แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าเปลี่ยนเส้นทางเพราะทันทีที่พวกเขาออกจากเส้นทาง จระเข้กลืนวิญญาณจะเพิ่มขึ้นประมาณสิบเท่า
ตอนนี้ทางตรงกลางนั้นมีนายน้อยและคุณหนูอยู่หลายคนกำลังวิ่งกันอย่างรวดเร็ว ห้วงอากาศรอบข้างสั่นไหวอย่างต่อเนื่องเหมือนกับตอนที่เจียงอี้นั้นเร่งรีบ จระเข้กลืนวิญญาณนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาและส่งเสียงแหลมเสียดแทงอากาศขณะที่พวกมันบินไปทางนายน้อยและคุณหนูเหล่านั้น
นายน้อยทุกคนต่างมีท่าทีที่ผ่อนคลายมากคนที่นำหน้าคือนายน้อยที่สวมชุดจีนแดงที่แต่งกายประหลาด เขาเมินเฉยต่อจระเข้กลืนวิญญาณเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงและบินไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่น่ากลัว
“วู่วู่!”
เมื่อจระเข้กลืนวิญญาณปะทะเข้ากับร่างของเขาสร้อยกระดูกสัตว์ร้ายที่คอของเขาก็จะสว่างขึ้นด้วยแสงสีแดง ทุกครั้งที่จระเข้กลืนวิญญาณเข้ามาใกล้ พวกมันจะถูกปกคลุมไปด้วยรังสีสีแดงและจะกรีดร้องออกมาก่อนที่จะหายไปทันทีไอรีนโนเวล
นายน้อยในชุดสีแดงนั้นเป็นหลานชายของจักรพรรดิแห่งหมู่มารเขามีนามว่าเสียเฟย เขาพุ่งตรงไปข้างหน้าและเดินทางไปหลายพันกิโลเมตรแล้ว ไม่ว่าจระเข้กลืนวิญญาณจะปรากฏขึ้นอีกกี่ตัว เขาก็ไม่สนใจพวกมันและรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่ตามหลังมาไม่กี่ร้อยกิโลเมตรคือหวู่นี่ที่พาสาวใช้ขอบเขตเทียนจุนทั้งสี่มาด้วยในขณะที่พวกเขาวิ่งไป เขาก็ไม่สนใจจระเข้กลืนวิญญาณที่อยู่รอบๆเช่นกัน เพราะสาวใช้ทั้งสี่จะยืนอยู่คนละทิศขณะที่ถือดาบอ่อนที่มีกลิ่นอายที่น่าสะพรึง เมื่อจระเข้กลืนวิญญาณพุ่งมาที่พวกเขา ดาบอ่อนนั้นจะสร้างแสงสีแดงออกมาและสังหารพวกมันได้อย่างง่ายดาย
ดาบอ่อนนั้นเป็นสีขาวแต่ทำไมมันถึงเปล่งแสงเป็นสีแดงกัน?เห็นได้ชัดว่าจระเข้กลืนวิญญาณพวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณและไม่มีร่างกาย แต่พวกมันยังคงกลายเป็นควันหลังจากที่ถูกดาบอ่อนตวัดใส่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าสาวใช้ทั้งสี่ของเขานั้นทรงพลังและดาบอ่อนก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
เบื้องหลังหวู่นี่เป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแรงซึ่งสวมชุดเกราะหนังสัตว์อยู่เห็นได้ชัดว่าหนังสัตว์นี้ไม่ธรรมดาและมันทำมาจากหนังสัตว์อสูรโบราณ มันมีสีน้ำตาลควันและมีตราลึกลับอยู่บนนั้น ดูเหมือนว่าจะมีอาคมยับยั้งที่ทรงพลังบางอย่างอยู่ซึ่งทำให้ชุดเกราะมีกลิ่นอายที่น่ากลัวเช่นนี้ เมื่อจระเข้กลืนวิญญาณบินมา ชุดเกราะหนังสัตว์นี้จะส่องแสงสว่างขึ้นและห่อหุ้มเด็กหนุ่มที่สูงราวสองเมตรเอาไว้ด้วยแสงสีดำ และเมื่อพวกมันปะทะเข้ากับแสงสีดำเหล่านั้น พวกมันก็จะพินาศลงไปในทันทีขณะที่เด็กหนุ่มผู้นี้ยังคงวิ่งต่อไป
ถัดมาเป็นหลานชายของจักรพรรดิแห่งศาสตราเด็กคนนี้มีผิวที่บอบบางและดูน่ารักมากซึ่งทำให้ผู้คนประทับใจในตัวเขา เขาเหมือนเด็กที่ออกมาวิ่งเล่นขณะที่กระโดดโลดแล่นอย่างมีความสุข เห็นได้ชัดว่ามีสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญอยู่บนตัวเขา เสื้อคลุมปักลายสีเหลืองของเขาสว่างขึ้นด้วยแสงสีเหลืองจางๆซึ่งทำให้จระเข้กลืนวิญญาณเข้าใกล้เขาไม่ได้
ผู้ที่อยู่ไม่ไกลจากหลานชายจักรพรรดิแห่งศาสตราคือสาวน้อยเท้าเปล่าทุกย่างก้าวที่นางก้าวเท้าไป ร่างของนางจะหายไปในอากาศ
แต่นางไม่ได้หายไปจริงๆเพียงแค่ร่างกายของนางเปลี่ยนเป็นโปร่งแสงซึ่งทำให้จระเข้กลืนวิญญาณสูญเสียเป้าหมายไปและไม่สามารถโจมตีนางได้ นางนั้นเป็นเหมือนวิญญาณจริงๆที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและกำลังจะแซงหน้าหลานชายของจักรพรรดิแห่งศาสตราไป
เบื้องหลังหยิ่นรั่วปิงคือสองพี่น้องตระกูลหลิงพวกเขาทั้งสองค่อนข้างรวดเร็วและหลิงชือหย่าไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เพราะหลิงชีเจี้ยนนั้นมีดาบหยกขาวที่หมุนรอบทั้งสองและจะฟันจระเข้กลืนวิญญาณก่อนที่พวกมันจะเข้าใกล้พวกเขาได้อย่างง่ายดาย
บุคคลเหล่านี้เดินทางไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจส่วนเจียงอี้นั้นเข้ามาก่อนพวกเขาแต่เขายังไปไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของทางเส้นนี้เลย แต่เหล่านายน้อยและคุณหนูเหล่านี้กลับผ่านไปได้ครึ่งทางแล้ว
ความจริงนั้นได้พิสูจน์แล้วว่ารากฐานของผู้สืบเชื้อสายจากตระกูลเก้าจักรพรรดินั้นเหนือกว่าเจียงอี้ที่เป็นเหมือนชาวชนบทที่มาจากหมู่บ้านนัก
….