เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 603-604
บทที่ 603 ผ่านด่าน
จี๊ดจี๊ด!
ครู่ต่อมาจระเข้กลืนวิญญาณก็โจมตีอีกครั้ง ดวงจิตหลักของเจียงอี้ไม่ได้เคลื่อนไหวขณะที่เขาก็ยังคงควบคุมดวงจิตดวงเล็กให้โจมตี เมื่อใดก็ตามที่จระเข้กลืนวิญญาณตัวใดตัวหนึ่งเข้ามา เขาก็จะสลายมันทันที และเมื่อจระเข้กลืนวิญญาณเก้าตัวถูกทำลายทั้งหมด ดวงจิตหลักของเขาก็จะวนเวียนไปรอบๆและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
“ดวงจิตหลักนี่ใหญ่ขึ้นอีกแล้วหรอ?อย่าบอกนะว่ามันจะแยกดวงจิตออกมาอีกดวงหลังจากที่มันมาถึงขีดจำกัดอีกครั้ง?”
เจียงอี้พึมพำอย่างงุนงงในขณะที่เขาคอยตรวจดูดวงจิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากที่ยืนยันแล้วว่าดวงจิตเขาไม่ได้มีปัญหา เขาก็ไม่ได้สนใจมันอีกต่อไป
เขานั้นเดินช้ามากหากไม่ใช่เพราะป่าที่น่าขนลุกที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก เขาก็คงไม่อยากจะเดินไปไหนและจะอยู่ที่นี่ไปปีนึงเพื่อรอให้ค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งเขาออกไป ที่นี่นั้นปลอดภัยมากและดวงจิตของเขาก็ถูกหล่อเลี้ยงอย่างไม่หยุดยั้ง แล้วมันจะต้องมีอะไรให้กังวลอีก?
หนึ่งวัน,สองวัน…….สามวัน!
และมันก็เป็นอย่างที่เจียงอี้คาดไว้เมื่อดวงจิตหลักของเขาถึงขีดจำกัดมันก็เริ่มแยกดวงจิตดวงใหม่ออกมา ดวงจิตที่มีรูปร่างคล้ายดาบมังกรเพลิงได้ก่อตัวขึ้นภายในทะเลแห่งดวงจิต มันเหมือนว่ามีผู้พิทักษ์ดวงจิตขนาดเล็กอีกสองดวงซึ่งทำให้ดวงจิตหลักของเขาปลอดภัยยิ่งขึ้น
“พุ่งไปเลย!”
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็สนใจสิ่งเหล่านี้มากขึ้นเขาเพิ่มความเร็วอย่างกะทันหันและกลายเป็นภาพหลังขณะที่เขาพุ่งไปข้างหน้า เขาอยากจะรู้ว่าดวงจิตดวงเล็กทั้งสองดวงนี้ทรงพลังเพียงใด
จี๊ด!จี๊ด!
ในขณะที่เขาเพิ่มความเร็วพื้นที่โดยรอบก็เริ่มสั่นไหวอย่างดุเดือด มีระลอกคลื่นนับไม่ถ้วนและจระเข้กลืนวิญญาณหลายสิบตัวพุ่งออกมาขณะที่พวกมันพุ่งเข้าไปยังทะเลแห่งดวงจิตของเจียงอี้
“เข้ามาเลย!”
เจียงอี้ควบคุมดวงจิตดวงเล็กหนึ่งดวงเพื่อคอยคุ้มกันดวงจิตหลักในขณะที่อีกดวงคอยพุ่งไปยังจระเข้กลืนวิญญาณที่เข้ามาราวกับสัตว์ที่ดุร้าย
พุฟ!
โดยพื้นฐานแล้วพวกมันไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเขาแล้วจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจระเข้กลืนวิญญาณเหล่านั้นถูกดวงจิตดวงเล็กสลายไปกลายเป็นควันภายในคราเดียว พวกมันทั้งหมดตายไปจนสิ้นและมันไม่สำคัญอีกแล้วว่าพวกมันจะมาอีกกี่ตัว
ภายในพริบตาจระเข้กลืนวิญญาณหลายสิบตัวที่บินเข้ามาล้วนถูกทำลายไปในขณะที่ดวงจิตหลักของเจียงอี้ก็ยังวนเวียนไปรอบๆทะเลแห่งดวงจิต เขาดูดซับพลังทั้งหมดเหล่านั้นซึ่งทำให้ร่างของดวงจิตวิญญาณขยายขึ้นมาหลายเท่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า!เอาอีก….”
เจียงอี้เสพติดมันไปแล้วไม่ว่ายังไง ดวงจิตดวงเล็กเหล่านี้ก็เป็นประโยชน์และไม่ได้เป็นอันตรายต่อเขา จริงๆแล้วเขาอยากจะรู้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว เขาจะมีดวงจิตเล็กๆเหล่านี้ได้กี่ดวง และยิ่งไปกว่านั้นคือ ยิ่งเขามีดวงจิตเล็กๆเหล่านี้มากเท่าไหร่ ดวงจิตหลักของเขาก็จะยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น ในภายภาคหน้า ยังจะมีใครใช้ศาสตร์ลับวิญญาณทำร้ายเขาได้หรือไม่?
ฟรึ่บ!
เขากลายเป็นภาพหลังและพุ่งผ่านทางเดินแคบๆไปซึ่งมันทำให้จระเข้กลืนวิญญาณนับไม่ถ้วนถูกปลุกขึ้นมาในขณะที่แสงสีขาวจำนวนมากนั้นส่องประกายอย่างไม่มีสิ้นสุด จระเข้กลืนวิญญาณพุ่งเข้าไปยังทะเลแห่งดวงจิตของเขาอย่างไม่รู้จบ และสุดท้ายพวกมันทั้งหมดก็ถูกดวงจิตดวงเล็กสังหารไปหมด
หนึ่งชั่วโมงต่อมา!
ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าดวงจิตของเจียงอี้ก็ถูกแยกออกมาอีกครั้ง ในตอนนี้เขามีดวงจิตดวงเล็กอยู่สามดวงขณะที่ดวงจิตหลักของเขายังคงขยายตัวต่อไป
“แม่เจ้าดวงจิตข้าจะแข็งแกร่งเพียงใดหากมันยังคงเติบโตต่อไปเช่นนี้? หากข้ามีดวงจิตเล็กๆเหล่านี้สักสิบสองดวงหรือเป็นร้อยดวง ใครจะสามารถทำร้ายดวงจิตหลักของข้าได้กันนะ?”
เจียงอี้ตื่นเต้นขึ้นเมื่อเขาจินตนาการถึงเหล่ายอดฝีมือที่จะโจมตีดวงจิตวิญญาณเขาแต่เมื่อการโจมตีเหล่านั้นเข้าไปในทะเลแห่งดวงจิตของเจียงอี้ พวกมันทั้งหมดก็จะถูกบดขยี้ไปสิ้น
“ไปต่อเถอะ!”
เจียงอี้กำหมัดแน่นและยังคงพุ่งผ่านทางเดินแคบๆไปเมื่อจระเข้กลืนวิญญาณเข้ามาจู่โจม ดวงจิตของเขาก็แยกออกมาอย่างต่อเนื่อง ห้า, สิบ….สิบห้า
ทุกๆหนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้นดวงจิตวิญญาณหลักของเขาจะถึงขีดจำกัดและแยกดวงจิตดวงเล็กๆออกมา ในเวลาหนึ่งวันกว่าๆก็มีดาบมังกรเพลิงเล่มจิ๋วมากกว่ายี่สิบเล่มลอยอยู่ในทะเลแห่งดวงจิตของเขาแล้ว โชคดีที่ดวงจิตเหล่านี้มีขนาดเล็กและไม่ได้ใช้พื้นที่มากเท่าไหร่นัก
สองวันต่อมา…..
มีดวงจิตวิญญาณทั้งหมดสามสิบหกดวงและในที่สุดเจียงอี้ก็หยุดตัวเองเพราะว่าเขามาถึงปลายทางของเส้นทางปรโลกแล้วและประตูหินก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา
บรึฟ!
ประตูหินค่อยๆเปิดขึ้นอย่างไรก็ตาม เจียงอี้เริ่มลังเลใจ แม้ว่าด่านที่สองจะน่าขนลุกเพียงใดแต่มันก็ค่อนข้างปลอดภัย ใครจะรู้ว่ามีอันตรายแบบไหนที่รอเขาอยู่ในด่านที่สามกัน?
แต่หากว่าเขาผ่านประตูนี้ไปเขาก็จะมีโอกาสที่จะท้าทายด่านต่อไปและยังรวมไปถึงโอกาสที่จะได้สมบัติที่มีค่าที่สุดหรือแม้แต่หญ้ามังกรยาจกที่เขาต้องการมาโดยตลอดก็ได้!
จี๊ดจี๊ด!
จระเข้กลืนวิญญาณนับไม่ถ้วนพุ่งมาจากทั้งสองด้านแต่เขากลับไม่ได้สนใจและพึมพำอยู่กับตัวเองครู่หนึ่งหลังจากที่เขาสังหารจระเข้กลืนวิญญาณไปหมดแล้ว เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในประตูหิน
“จี๊ดจี๊ด!”
ประตูบานใหญ่นั้นค่อยๆปิดอย่างไม่เร่งรีบและเส้นทางปรโลกก็กลับคืนสู่ความสงบ
…
“แม่เจ้านี่ข้าเพิ่งเห็นอะไรไป?”
“น่ะ…นี่…..”
“มันเป็นไปได้อย่างไร?”
ทุกคนในจัตุรัสพากันตกตะลึงจิตใจของพวกเขายังคงฉายภาพที่เพิ่งเห็นซ้ำไปมา เด็กหนุ่มที่สวมชุดเกราะและหมวกรบยืนอยู่หน้าประตูหินที่สูงตระหง่านขณะที่จระเข้กลืนวิญญาณนับไม่ถ้วนส่งเสียงและแทรกเข้าไปในหว่างคิ้วของเด็กหนุ่มผู้นั้น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันขณะที่เขาจ้องมองไปที่ประตูราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง และในพริบตา เด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปในประตูบานใหญ่และหายลับไปจากสายตาของทุกคน
ประตูหินนั้นคือความยากระดับนรกชุดเกราะก็ยังเป็นชุดเกราะเช่นเดิม แต่เด็กคนนั้นไม่ได้เป็นคนเดิมในอดีตอีกต่อไป
แต่อย่างไรเสียก็ยังมีคนที่จดจำใบหน้านั้นได้และเฟยเทียนก็ร้องออกมา “เป็นมัน นั่นคือมัน เป็นไปได้อย่างไรกัน? เป็นไปไม่ได้! มันผ่านเส้นทางปรโลกมาได้ยังไง? นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย….”
“เหอ!”
เสียงของเฟยเทียนทำให้ดวงตาของคนสี่ห้าคนสว่างขึ้นเพราะ…..พวกเขาเดิมพันกับเจียงอี้เอาไว้ว่าจะผ่านด่านสองไปได้และผลตอบแทนนั้นอยู่ที่ห้าเท่า
ดวงตาของผู้คนมากมายก็เริ่มสว่างขึ้นเจ้าเด็กนอกคอกนั่นสร้างปาฏิหาริย์ได้จริงๆ หากเขาได้โอกาสและโชคดีต่อไปเช่นนี้และผ่านด่านที่สาม, ด่านที่สี่ หรือแม้กระทั่งได้รับหญ้ามังกรยาจก พวกเขาก็จะมั่งคั่งมาก
เพราะผลตอบแทนนั้นคือร้อยเท่า!
ศิลาสวรรค์หนึ่งร้อยก้อนจะทำให้พวกเขาได้ศิลาสวรรค์คืนไปหนึ่งหมื่นก้อน!เฟยเทียนนั้นไม่ได้ถือว่าเป็นคนสำคัญของใครๆ แต่เมื่อมีเฟยฉีอยู่ใกล้ๆ พวกเขาคงไม่หนีหนี้หรอกใช่ไหม? พวกเขามากมายได้วางเดิมพันเอาไว้และไม่มีตระกูลใดเทียบเท่าตระกูลเฟยได้ แต่หากพวกเขาหนีหนี้ ตระกูลเฟยอาจทำให้คนเหล่านี้ลุกฮือกันมาโจมตีพวกเขาได้
แต่เดิมพวกเขาหลายคนดูแคลนเจียงอี้พวกเขารู้สึกว่าเขานั้นเป้นคนงี่เง่าและคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่ในตอนนี้พวกเขากลับเริ่มสวดอ้อนวอนเงียบๆเพราะหวังว่าเขาจะผ่านด่านต่างๆให้ได้มากที่สุด และมันจะทำให้พวกเขาได้กำไรมากโข
“เหอะๆ”
สีหน้าของเฟยฉีเองก็ไม่ปกติเช่นกันดวงตาที่เย็นชาของเขากวาดผ่านเฟยเทียนไปขณะที่เขาดุอย่างเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าเจียงอี้ใช้ยาเปลี่ยนกายไปและคืนร่างเดิมหลังจากที่ยาหมดฤทธิ์แล้ว หากเฟยเทียนไม่พูดออกมา พวกเขาอาจจะหักล้างหนี้ได้ แต่ตอนนี้เขากลับยืนยันแล้วว่าคนที่ผ่านด่านมาคือเจียงอี้ นั่นก็แปลว่าพวกเขาจะต้องชดเชยศิลาสวรรค์ให้กับผู้ที่เดิมพันเหล่านี้ด้วย
“ไอ้เด็กนั่นมันเป็นผู้ใดกัน?”
“เขาสามารถผ่านเส้นทางปรโลกระดับนรกมาได้ด้วยความแข็งแกร่งขอบเขตจินกังขั้นแรกพวกเจ้าทุกคนก็คงเห็นแล้วว่าจระเข้กลืนวิญญาณเหล่านั้นโหดเหี้ยมเพียงใด แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ดวงจิตวิญญาณของเขานั้นกล้าแกร่งเพียงใดกันนะ?”
“ใช่แล้วสิ่งประดิษฐ์ที่ป้องกันดวงจิตนั้นหายากที่สุดและมันคงเป็นไปไม่ได้ที่เด็กคนนี้จะมีมัน เขาต้องมีความสามารถในการปกป้องดวงจิตของเขาเป็นแน่…”
จัตุรัสนั้นเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกันเจียงอี้เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าเขาจะผ่านด่านสามไปได้หรือไม่ แต่ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็ตราตรึงอยู่ในใจของทุกคนไปแล้ว
เป็นที่ชัดเจนว่าเฟยเทียนรู้ว่าเขาพูดอะไรผิดไปหลังจากที่เขาได้ยินคำพูดของคนอื่นๆและเห็นสีหน้าของเฟยฉีเขาก้มหน้าลงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและพึมพำว่า “ไอ้สารเลวเอ้ย มันจะดีกว่าที่เจ้าจะตายอยู่ในด่านที่สามซะ ไม่เช่นนั้นหากเจ้าออกมาเมื่อไหร่ ข้าจะให้เจ้าชดใช้ชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายแน่!”
บทที่ 604 เมืองเฟิงตู
“เมืองเฟิงตู?[เป็นเมืองที่มีศาลเจ้าและวัดวาอารามจำนวนมาก ที่ถูกสร้างอุทิศแก่ชีวิตหลังความตาย”
หลังจากที่เข้าประตูหินไปแล้วก็มีแผ่นหินยักษ์ปรากฏอยู่ภายหน้าเขาแผ่นหินแห่งนี้มีคำสลักเลือดวาดอยู่บนนั้น เมื่อเจียงอี้เห็นคำที่อยู่บนแผ่นหิน ปากเขาก็กระตุกขณะที่มองไปรอบๆและคิดว่าจักรพรรดิลี้ลับคนนี้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง
เมืองเฟิงตูมีอีกชื่อหนึ่งในโลกมนุษย์ซึ่งก็คือปรโลก
ด่านแรกคือสะพานไร้ประโยชน์,ด่านที่สองคือเส้นทางปรโลกและด่านที่สามคือปรโลก ไม่ต้องพูดถึงการฝ่าฟันอุปสรรคเลย แค่เพียงคิดถึงมันก็พอที่จะทำให้คนตายได้แล้ว
สิ่งที่คนเราไม่รู้จักมักเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเสมอหากมันเป็นสัตว์อสูรหรือสัตว์กลายพันธุ์หรือแม้กระทั่งยอดฝีมือไม่สามารถเอาชนะสัตว์ร้ายเหล่านั้นได้แต่มันก็ยังไม่น่ากลัวนัก แต่สิ่งที่มนุษย์กลัวอย่างแท้จริงคือเหล่าคนตาย, วิญญาณร้าย, ผีปอบและปีศาจ
ไม่ว่ายอดฝีมือจะทรงพลังเพียงใดแต่เมื่อพวกเขาต่อกรกับสิ่งลวงตาเหล่านี้ พวกเขาก็ยังคงรู้สึกหนาวสั่นอยู่ดี อย่างไรก็ตาม พวกวิญญาณร้ายนั้นไม่มีทางถูกทำลายลงไม่ว่ายอดฝีมือจะทรงพลังเพียงใดก็ตาม การโจมตีของพวกมันนั้นน่ากลัวและชั่วร้ายมาก พวกเขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายไปได้อย่างไร มันจึงเป็นสาเหตุที่ยอดฝีมือต่างก็หวาดกลัวพวกมัน
หากใจไม่แข็งแกร่งพอพวกเขาก็จะยิ่งตายเร็วขึ้น
ข้าไม่สนหรอกข้าเคยไปยังปรโลกมาก่อนแล้ว ไม่ใช่ว่าข้ารอดมาจากแดนใต้ดินที่น่ากลัวนั่นหรอกหรือ?
เมื่อเจียงอี้นึกถึงเรื่องนี้เขาก็ไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอีกต่อไป เขาได้พบเห็นซากศพเหล่านั้นแล้ว ตราบใดที่เขาแข็งแกร่งพอ เขาก็จะสามารถสังหารพวกมันและฝ่าออกไปได้
เขามองไปที่ดวงจิตวิญญาณของเขาและตระหนักได้ว่าดวงจิตของเขากำลังจะถึงขีดจำกัดอีกครั้งน่าเสียดายที่เขายังขาดพลังงานอีกเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นมันก็จะแยกดวงวิญญาณดวงเล็กออกมาได้อีกดวง
ตอนนี้ในทะเลแห่งดวงจิตของเขามีดวงจิตรูปดาบทั้งหมดสามสิบเจ็ดเล่ม ดวงจิตหลักอยู่ตรงกลางขณะที่ดวงจิตดวงเล็กสามสิบหกดวงกำลังหมุนเวียนอยู่รอบๆอย่างทรงพลัง เจียงอี้เชื่อว่าแม้แต่การโจมตีวิญญาณจากขอบเขตเทียนจุนก็จะถูกเขาปัดเป่าไปได้อย่างง่ายดาย
เขาเดินไปข้างหน้าและแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพื่อตรวจดูสถานการณ์และตกตะลึงในทันที
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่แต่เดิมขยายออกไปได้ประมาณสามสิบกิโลเมตรในตอนนี้มันขยายไปได้ไกลกว่าสี่สิบถึงห้าสิบกิโลเมตรแล้ว แถมเขายังไม่ได้แผ่มันไปจนสุดด้วยซ้ำ
“ลองต่ออีก!”
แม้ว่าญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะรับรู้ได้ไกลกว่านี้แต่มันก็ยากที่จะใช้งานเนื่องจากเขาจะต้องมีใครสักคนเพื่อคอยคุ้มกันในขณะที่ใช้มัน แต่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นต่างออกไป เขาสามารถแผ่มันไปได้เลยและมันก็มีการใช้งานที่แตกต่างกันอีกมากมาย
หกสิบกิโลเมตร,เจ็ดสิบกิโลเมตร…..สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาแผ่ไปได้ไกลถึงแปดสิบกิโลเมตรและมันก็ไม่สามารถขยายไปได้อีก
แต่เจียงอี้ก็อิ่มเอมใจแล้วสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาแข็งแกร่งกว่าขอบเขตเทียนจุนส่วนใหญ่มากแล้ว เขาเคยถามเฟิ่งหลวนครั้งหนึ่งและรู้ว่านางสามารถแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปได้ประมาณห้าสิบกิโลเมตรเท่านั้น
“ไปกันเถอะ!”
เมื่อเขาสามารถสอดแนมสถานการณ์ได้ไกลกว่าแปดสิบกิโลเมตรเจียงอี้ก็ค่อยข้างมั่นใจและวิ่งไปสอดแนมไปด้วย แต่หัวใจของเขาก็มืดมนลงอย่างรวดเร็วไอรีนโนเวล
ที่นี่เป็นที่รกร้างขนาดใหญ่มันไม่มีภูเขา, ต้นไม้, แม่น้ำหรือสิ่งมีชีวิตใดๆเลย มันมีเพียงทางเดินที่ปกคลุมไปด้วยดินสีแดงเข้มและมีกลิ่นอายแห่งความตายอย่างหนักหน่วง
นี่คือปรโลกจริงๆหรือเนี่ย?
เจียงอี้รีบปัดความคิดนี้ออกไปมันน่าจะเป็นห้วงอากาศเขตพิเศษที่สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิลี้ลับ วัตถุประสงค์นั้นก็คือเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้แก่จอมยุทธที่เข้ามาที่นี่และลดจิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาลง
“ที่นี่มันใหญ่ขนาดไหนกันแน่?”
เจียงอี้วิ่งไปเป็นร้อยกิโลเมตรและหยุดลงสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่พบอะไรเลยนอกจากความเงียบสงัด ไม่มีแม้กระทั่งศัตรูหรือสิ่งมีชีวิตใดๆเลย
“ญาณศักดิ์สิทธิ์!”
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายขึ้นมาเนื่องจากเขาเดินมาได้ระยะหนึ่งแล้วและไม่พบอันตรายใดๆเลย นั่นก็หมายความว่าเขาปลอดภัยชั่วขณะหนึ่ง นอกจากนี้มันยังหมายความว่าเขายังพอมีเวลาที่จะแผ่ญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อตรวจดูสถานการณ์รอบๆและหาทางออกได้
หลังจากที่เขาแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายใดๆเจียงอี้ก็นั่งขัดสมาธิลงไปและสายลมก็พุ่งออกจากร่างของเขาและแผ่ไปทั่วทุกสารทิศ
หนึ่งร้อยกิโลเมตร,หนึ่งพันกิโลเมตร…..หมื่นกิโลเมตร!
หลังจากตรวจดูไปเป็นพันกิโลเมตรเจียงอี้ก็ยังไม่เจออะไรเลยแต่เขาก็ไม่ย่อท้อ ในเมื่อที่นี่ถูกเรียกว่าเมืองเฟิงตู มันจะต้องเป็นเมืองและไม่ได้เป็นเพียงความว่างเปล่าสิ
หมื่นกิโลเมตร,ห้าหมื่นกิโลเมตร, แสนกิโลเมตร…….ล้านกิโลเมตร!
ในที่สุดเจียงอี้ก็พบสิ่งที่เรียกว่าเมืองเฟิงตูซึ่งมันเป็นเมืองขนาดใหญ่และงดงามเขาไม่รู้ความกว้างและยาวที่แน่ชัดแต่กำแพงนั้นสูงกว่าสามกิโลเมตร ในใจกลางของกำแพงเมืองเก่าแก่นั้นมีประตูเมืองขนาดยักษ์ มันเป็นสีน้ำตาลแดงและปิดอยู่ มีโคมไฟสองดวงแขวนอยู่ด้านนอกและปล่อยแสงสลัวๆออกมา
เจียงอี้พยายามที่จะมองเข้าไปในเมืองด้วยแต่ก็ถูกม่านพลังลึกลับบางอย่างกั้นเอาไว้ทางเดียวของเขาคือสำรวจด้านบนเมืองเฟิงตูแต่ก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดที่ด้านล่างและเขาก็ไม่สามารถสอดแนมอะไรได้
เขาไม่หยุดสำรวจและยังคงขยายญาณศักดิ์สิทธิ์ต่อไปเขาสามารถสอดแนมทวีปเทียนชิงทั้งทวีปได้อย่างง่ายดายและไม่ว่าห้วงอากาศนี้จะใหญ่เพียงใดแต่มันก็คงจะไม่ใหญ่ไปกว่าทวีปเทียนชิงหรอกใช่ไหม?
สองชั่วโมง,สี่ชั่วโมง……….สิบชั่วโมง
ในที่สุดเจียงอี้ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้าเขาสำรวจพื้นที่ทั้งหมดแล้วแต่นอกเหนือจากเมืองยักษ์ที่อยู่ใจกลางเมืองแล้วก็ยังไม่มีสิ่งใดอื่นอีกเลย
“ดูเหมือนว่า……ข้าจะต้องเข้าไปในเมืองเพื่อที่จะผ่านด่านนี้สินะ”
เจียงอี้ตระหนักได้ถึงบางสิ่งในเมื่อที่นี่ถูกเรียกว่าเมืองเฟิงตู มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้าไปในเมือง เขาไม่อยากไปและนึกถึงสิ่งที่รอเขาอยู่ในเมืองพร้อมกับทรุดตัวลงบนพื้นและหลับสนิทไป
มีหลายครั้งที่เขาอยากจะนอนบนเส้นทางปรโลกแต่เขาก็ตื่นตัวจากการโจมตีของจระเข้กลืนวิญญาณหากไม่ใช่เพราะดวงจิตของเขาแข็งกล้า เขาก็คงจะล้มเลิกไปแล้วเพราะความเหนื่อยล้า และในตอนนี้เขาก็มีช่วงเวลาแห่งความสงบที่หาได้ยากยิ่ง เขาก็อยากจะนอนหลับไป ก่อนที่เขาจะหลับไป เขาก็คิดว่าจะฝึกฝนที่นี่เป็นเวลาหนึ่งปี และเขาจะรอให้หมดเวลาและให้ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเคลื่อนย้ายเขาออกไป
เขาหลับไปอย่างสงบตลอดทั้งวันและเขาก็ถูกปลุกขึ้นมาจากเสียงสัญญาณเตือนที่ร้ายแรง
เขากระแทกฝ่ามือไปที่พื้นและกระเด้งขึ้นมาจากพื้นดินจากนั้นก็สอดแนมที่นั่นด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็วและเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าต้นตอของอันตรายนั้นมาจากไหน
มีลมพัดโชยมาอย่างกะทันหัน
ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่สายลมอ่อนๆแต่มันเป็นพายุที่น่ากลัว จากที่นี่ห่างออกไปประมาณเจ็ดสิบกิโลเมตร พายุลูกยักษ์กำลังเคลื่อนเข้ามาหาเขา มันมีรัศมีอย่างน้อยสามร้อยเมตรและกวาดก้อนหินดินทรายเข้าไปในพายุ นอกจากนี้มันยังมีสายฟ้าอยู่ในพายุนั้นอีกด้วย หากมีคนถูกพายุลูกนี้พัดกลืนเข้าไป มันจะเป็นเช่นไรกันนะ? คงไม่มีผู้ใดรู้
“พายุลูกยักษ์นี่โผล่มาจากไหนกัน?”
เจียงอี้ไม่เข้าใจแต่เขารู้ว่าจะต้องออกไปจากที่นี่โดยเร็วไม่เช่นนั้นมันคงเป็นหลุมฝังศพของเขา
ขณะที่พายุลูกใหญ่พัดมาชุดเกราะของเขาก็กระพือเสียงดังในสายลม เขาวิ่งอย่างหมดท่าขณะที่นำยาจากแหวนออกมากินหลายขนาน เขาอาจจะมีอาหารมากมายอยู่ในแหวนนั้น แต่เขาจะกล้ากินมันในเวลาแบบนี้ได้อย่างไร?
หากว่าเขากินเขาจะต้องปลดทุกข์อย่างแน่นอน และถ้าหากมันเกิดสถานการณ์ร้ายแรงขึ้นตอนที่เขาปลดทุกข์ เขาก็คงวอดวายเป็นแน่ เม็ดยาเหล่านี้ไม่มีรสชาติใดๆและมันเติมเต็มพลังงานที่จำเป็นเข้าสู่ร่างกายของเขาซึ่งยาเพียงเม็ดเดียวก็อยู่ได้ครึ่งเดือนแล้ว
หลังจากที่กินยาเข้าไปห้าอย่างเจียงอี้ก็วิ่งด้วยกำลังทั้งหมดของเขาเพราะเขาจะไม่รู้สึกหิวหรือกระหายชั่วคราว
เขาไม่ได้รีบไปยังเมืองเฟิงตูในตอนนี้เขากำลังวิ่งไปทางด้านซ้ายของเมืองเฟิงตูเพราะต้องการหลีกเลี่ยงพายุลูกนี้ไปก่อนและค่อยวางแผนใหม่อีกครั้ง
เมืองเฟิงตูนั้นอันตรายมากและเขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าไปในเมืองหรือไม่
ยัง!
สามสิบนาทีต่อมาเขายิ้มอย่างขมขื่นและเปลี่ยนทิศทางและพุ่งไปยังเมืองเฟิงตู
ไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องการเข้าไปในเมืองแต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นเนื่องจากพายุไล่ตามเขาไม่หยุด หากเขาไม่เข้าไปในเมือง พายุลูกนั้นก็จะตามเขาทันและฉีกเขาเป็นชิ้นๆ
“มีสิ่งใดอยู่ในเมืองเฟิงตูกันนะ?”
เจียงอี้ก้าวไปอย่างมั่นคงแต่ใจของเขานั้นหนักอึ้งมาก จะมีดวงวิญญาณร้ายในปรโลกหรือเปล่า? หรือจ้าวนรกจะอยู่ที่นั่นไหมนะ?