เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 605-606
บทที่ 605 ดาบวิญญาณ
เส้นทางกว่าล้านกิโลเมตรอาจดูไกลแต่สำหรับจอมยุทธอย่างเจียงอี้แล้วก็ไม่ถือว่าไกลเช่นนั้น
ทวีปเทียนชิงจากตะวันออกไปยังตะวันตกประมาณห้าล้านกิโลเมตรหากเป็นสัตว์อสูรหยาจื้อมันจะใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบวันในการข้ามทวีปไป ส่วนความเร็วของเจียงอี้นั้นช้ากว่าสัตว์อสูรหยาจื้อสองเท่า แต่ก็ถือว่าเร็วมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เวลาประมาณสี่ถึงห้าวันในการไปให้ถึงเมืองเฟิงตู
ความเร็วของพายุนั้นเร็วกว่าเจียงอี้เล็กน้อยแต่การที่จะตามเขาให้ทันนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน
และการที่เขาวิ่งไปแบบนี้มันค่อนข้างน่าเบื่อเขาควรจะหาอะไรทำหน่อย
เข้าถึงศาสตร์เวทย์มนตร์?
เป็นไปไม่ได้การเข้าถึงศาสตร์เวทย์นั้นต้องมีสมาธิและต้องไม่มีสิ่งรบกวนใดๆ แม้ว่าเขาจะเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์เขาก็ยังจะต้องคอยดูรอบๆใช่ไหมล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นกันหากว่าจู่ๆมีสัตว์ประหลาดโผล่มาและสังหารเขา? ขนาดพายุลูกนี้ยังโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เลย
เขาไม่มีหญ้ามังกรยาจกและไม่สามารถฝึกฝนแก่นแท้พลังได้และตอนนี้เขาก็ไม่สามารถเรียนศาสตร์เวทย์เช่นกันและเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่มีอะไรที่จะทำได้อีกแล้ว
หลังจากที่วิ่งมาได้ครึ่งวันจู่ๆเขาก็มีแรงบันดาลใจและนึกสนุกขึ้นมา!
ก่อนหน้านี้เขาไม่มีเวลาดูดาบมังกรเพลิงจิ๋วสามสิบหกดวงในดวงจิตของเขาอย่างใกล้ชิดในเมื่อตอนนี้เขามีเวลา เขาก็น่าจะเข้าไปสอดส่องมันเสียหน่อย ดวงจิตของเขาเปลี่ยนแปลงพิลึกเกินไปและหากเขาลองงมดูและพัฒนาพวกมันได้ มันก็อาจจะเพิ่มอัตราการรอดชีวิตในเมืองเฟิงตูได้เช่นกัน
เขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์สำรวจที่นั่นและมั่นใจแล้วว่าปลอดภัยจากนั้นเขาก็เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์พร้อมกับหลับตาวิ่งไปในขณะที่จิตใจของเขาอยู่ในดวงจิตวิญญาณของตัวเอง
ในทะเลแห่งดวงจิตมีดาบมังกรเพลิงที่ลอยอยู่ซึ่งมันมีความหนาเท่าเม็ดถั่วเหลืองด้านข้างนั้นมีดาบมังกรเพลิงสามสิบหกเล่มที่เล็กกว่าห้อยอยู่และไม่ได้เคลื่อนไหว เมื่อเจียงอี้ไม่ได้ควบคุมดาบเหล่านี้ พวกมันจะลอยอยู่เงียบๆและไม่ปล่อยแสงใดๆออกมา
“ไปเลย!”
ด้วยความคิดในใจของเขาดวงจิตหลักยังคงนิ่งอยู่ในขณะที่ดาบมังกรเพลิงอีกสามสิบหกเล่มบินไปรอบๆทันที พวกมันกลายเป็นแสงสามสิบหกสายที่ส่องประกายอยู่ในทะเลแห่งดวงจิตของเขา
เจียงอี้เข้าใจการแยกร่างและควบคุมร่างแยกนับไม่ถ้วนได้ดังนั้นการควบคุมดาบขนาดเล็กทั้งสามสิบหกเล่มนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ท้าทายนัก
“ดาบจิ๋วพวกนี้น่าจะมาจากพลังวิญญาณและนอกจากการคุ้มกันดวงจิตหลักแล้วดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่มีหน้าที่อื่นเลย?”
หลังจากที่ศึกษาอยู่ครู่หนึ่งเจียงอี้ก็ไม่ได้เห็นสิ่งสำคัญอะไรนัก ดาบเหล่านี้ต่างจากดวงจิตหลักและมีสามสิบหกดวง แน่นอนว่าพวกมันคงไม่ใช่พลังงานล้วนๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีพลังโจมตีที่ป่าเถื่อนเช่นนี้ จระเข้กลืนวิญญาณพวกนั้นถูกบดขยี้ไปอย่างง่ายดายและต่างระดับกันอย่างสิ้นเชิง
“พลังโจมตีที่ป่าเถื่อน?เป็นไปได้ไหมนะว่าพวกมันจะใช้สำหรับโจมตี?”
ดวงจิตของเจียงอี้สั่นสะเทือนการจู่โจมนั้นยังเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด หากพลังดาบวิญญาณเหล่านี้ใช้โจมตีได้ พวกมันก็จะโหดเหี้ยมอย่างแน่นอน การโจมตีวิญญาณนั้นเป็นการโจมตีที่น่ากลัวเสมอและเมื่อดวงจิตวิญญาณของศัตรูถูกทำลายลง แม้แต่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดก็ยังต้องตาย
“ดาบจิ๋วออกมา!”
เจียงอี้เกิดมาพร้อมกับหัวใจที่กล้าหาญเขาควบคุมดาบเล็กๆนั่นออกมาจากทะเลแห่งดวงจิต ก่อนหน้านี้เขาไม่กล้าทำอะไรเช่นนี้แต่ในตอนนี้เขาก็กล้าๆกลัวๆอยู่บ้าง หลักๆแล้วมันเป็นเพราะว่าเขาเห็นว่าดวงจิตหลักกับดวงจิตเล็กนี่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง พวกมันมีความเชื่อมโยงกันแต่แม้ว่าดาบจิ๋วนี้จะถูกทำลายลงไป แต่มันก็คงไม่ส่งผลกระทบอะไรมากต่อดวงจิตหลัก
อย่างที่คาดไว้!
ดาบวิญญาณจิ๋วพุ่งออกมาจากทะเลแห่งดวงจิตของเจียงอี้มันเหมือนกับจระเข้กลืนวิญญาณและไม่มีร่างกายใดๆ แต่พวกมันก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างง่ายดายและหลังจากที่มันตระเวนไปทั่วร่างแล้ว มันก็บินกลับไปยังดวงจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย!”
เมื่อดาบเล่มจิ๋วนั่นแล่นไปรอบๆร่างของเขาเจียงอี้ก็ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์มองเข้าไปยังดวงจิตหลัก เมื่อเขาเห็นว่ามันไม่มีปัญหาใดๆ เขาก็ยิ่งกล้ากว่าเดิมและควบคุมดาบจิ๋วให้ออกมาอีกครั้ง คราวนี้ มันบินออกมาจากหว่างคิ้วของเขา
“อืมดาบวิญญาณนี้ไม่ได้เชื่อมกับดวงจิตหลักมากนักและคงไม่น่าส่งผลต่อดวงจิตหลักด้วยหรอกมั้ง”
เมื่อดาบวิญญาณออกจากมาร่างเจียงอี้ก็รู้สึกปลาบปลื้ม มันอาจจะเป็นเหมือนจระเข้กลืนวิญญาณที่สามารถเข้าสู่ร่างกายของเขาได้อย่างอิสระและบินไปรอบๆด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้
ฟรึ่บ!
หลังจากที่วนเวียนไปรอบร่างกายของเขาเจียงอี้ก็ควบคุมดาบวิญญาณเล็กจิ๋วให้กลับเข้าไปในทะเลแห่งดวงจิต และเมื่อมันกลับมาอยู่ข้างๆดวงจิตหลัก เจียงอี้ก็มองให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติซึ่งผลก็ทำให้เขาปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก
เขาไม่รู้ว่าดาบวิญญาณนี้ทรงพลังเพียงใดแต่ตั้งแต่นี้ไป เขามั่นใจว่าเขาก็มีพลังโจมตีวิญญาณแล้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ถึงขีดจำกัดของดาบวิญญาณนี้และยังไม่รู้ว่าจะบ่มเพาะพลังได้ยังไง เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหากดาบจิ๋วได้รับความเสียหายมันจะส่งผลต่อดวงจิตหลักหรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะต้องลองก่อน
แต่แน่นอนว่า……การลองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่หากดวงจิตเล็กๆของเขาถูกทำลายลงและสร้างความเสียหายแก่ดวงจิตหลักของเขา และหากดวงจิตของเขาแตกสลายไป เขาอาจถึงตายได้
“อย่าไปกังวลเรื่องนั้นเลยในเมื่อไม่มีมนุษย์หรือสัตว์อสูรให้ข้าทดลองเลย มาดูดีกว่าว่าดาบวิญญาณนี่บินได้เร็วและไกลแค่ไหนกัน”
เจียงอี้ลองมันอย่างตื่นเต้นและการเดินทางที่แสนน่าเบื่อนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจขึ้นมาทันใด
ฟรึ่บ!
ดาบสีแดงแทงทะลุท้องฟ้าไปด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์เจียงอี้ปลดปล่อยแรงจนสุดและพบว่าความเร็วของมันเร็วกว่าจระเข้กลืนวิญญาณมากและเป็นความเร็วที่ใกล้เคียงกับเฟิ่งหลวนเลย
ดาบวิญญาณบินวนบริเวณรอบๆไปรอบแรกแล้วจากนั้นเจียงอี้ก็ส่งมันออกไปอีกซึ่งทำให้มันพุ่งไปไกลกว่าสิบกิโลเมตรในชั่วพริบตา ไม่กี่อึดใจต่อมามันก็บินไปได้ราวๆแปดสิบกิโลเมตรและเจียงอี้ก็รู้สึกว่าตัวเองควบคุมมันไม่ได้อีกต่อไป ดาบวิญญาณหยุดอยู่กลางอากาศขณะที่เจียงอี้รีบดึงมันกลับเข้ามาในทะเลแห่งดวงจิตอย่างรวดเร็ว
เจียงอี้ลืมตาขึ้นมาและมองไปข้างหน้า“อืมม….ระยะของดาบวิญญาณนี้พอๆกับสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เลย แค่แปดสิบกิโลเมตรก็พอใช้ได้แล้ว! หากมันสามารถโจมตีดวงจิตวิญญาณของศัตรูได้จริงๆ มันก็จะสังหารศัตรูได้ในระยะหลายสิบกิโลเมตรแหละนะ”
“ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่าดาบวิญญาณหากมันโจมตีได้จริงๆและไม่ส่งผลกระทบต่อดวงจิตหลักหลังจากที่ถูกทำลายไป….มันจะกลายเป็นความสามารถที่ยอดเยี่ยมในยามลอบโจมตี!”
เจียงอี้ตื้นตันใจเป็นอย่างมากและในขณะที่เขากำลังจะศึกษาต่อภาพในใจของเขาก็ปรากฏฉากบางอย่างขึ้นมา ท้องฟ้ามีแสงสีขาววูบวาบและขวานยักษ์ก็ลอยลงมาจากรอยแตกบนท้องฟ้า จากนั้นมันก็หายลับไป
“เอ๊ะมีคนได้สมบัติไปอีกแล้ว? นี่ใช่สมบัติอันดับห้าไหมนะ? ข้าสงสัยจังว่าผู้ใดได้มันไป”
ดวงตาของเจียงอี้เผยความผิดหวังออกมาเขาอาจจะไม่ได้หวังว่าจะได้หญ้ามังกรยาจกมาครองก็จริง แต่เขาก็แอบมีความปรารถนาอยู่บ้างเช่นกัน
เมื่อเห็นคนอื่นๆได้สมบัติกันเขาก็เห็นได้ว่านายน้อยและคุณหนูเหล่านี้ผ่านด่านกันไปรวดเร็วเพียงใด ส่วนตัวเขานั้นยังไม่มั่นใจตัวเองด้วยซ้ำว่าจะผ่านด่านนี้ไปได้หรือเปล่า
“ข้าสงสัยจังว่าผู้ใดจะได้ธนูและเกราะเมฆาอัคคีไปครองแล้ววิชาหลีกสวรรค์มันจะเป็นทักษะชนิดใดกันนะ? แล้วหญ้ามังกรยาจกหน้าตาเป็นอย่างไร? แล้วแม่นางอีฉานอยู่ที่ใดกันแน่?”
มีความสงสัยมากมายอยู่ในใจเจียงอี้ซึ่งเขาคิดมาตลอดทางที่วิ่งไปยังเมืองเฟิงตูที่ยิ่งใหญ่และลึกลับ
บทที่ 606 กษัตริย์ผู้นี้จะประทานชีวิตอันเป็นนิจนิรันดร์ให้เจ้า
“หลิวชิงผู้ที่ได้สมบัติอันดับห้าไปคือหลิวชิงจริงๆด้วย!”
“สุดยอดแต่ก่อน หลิวชิงเป็นเพียงคนคนหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก แต่ยามนี้ เขาจะทำให้ตัวเองได้เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งแดนเทียนชิงแล้ว เขาผ่านด่านเจ็ดไปได้ในช่วงเวลาสั้นๆในขณะที่เขาอยู่ขอบเขตจินกังขั้นสูงสุด และตอนนี้เขาก็มีคะแนนเจ็ดคะแนนแล้ว หรือว่าเขาจะเป็นศิษย์ของยอดฝีมือผู้ปลีกวิเวกหรือเปล่า?”
“ดูเหมือนว่านายน้อยเสียจะพบคู่แข่งแล้วด้วยความเร็วที่หลิวชิงผ่านแต่ละด่านมา ข้าว่าเขาอาจจะได้ธนูและเกราะเมฆาอัคคีไปครอง หรือแม้กระทั่งวิชาหลีกสวรรค์และหญ้ามังกรยาจกด้วย”
“หืมแล้วถ้าเขาชิงสมบัติเหล่านั้นไปได้ล่ะ? มันก็เพียงแต่จะทำให้เขากลายเป็นเหยื่อของคนอื่นๆ อย่าคิดว่านายน้อยเสียและนายน้อยถูนั้นมาคนเดียวสิ อันที่จริงแล้ว มีผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลพวกเขาคอยช่วยเหลืออย่างลับๆ ชีวิตของหลิวชิงจะตกอยู่ในอันตรายอย่างเลี่ยงไม่ได้หากว่าเขาได้วิชาหลีกสวรรค์ไป”
“ก็จริงน่ะนะฮ่าฮ่า…..ข้าว่านายน้อยหวู่นี่และคนอื่นๆก็คงจะสาปแช่งอยู่เหมือนกันล่ะมั้ง? เดิมทีพวกเขาจะได้สมบัติอันดับห้าและอันดับสี่ในคราวเดียวหลังจากที่ผ่านด่านที่สี่ไป แต่สมบัติอันดับห้าถูกหลิวชิงฉกไปเสียแล้ว”
“อืมข้าว่าหลังจากการท้าทายในด่านต่างๆสิ้นสุดลงแล้ว คงจะเกิดการนองเลือดขึ้นนอกราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเป็นแน่”
สมบัติอันดับห้าถูกฉกชิงไปแล้วมันทำให้จัตุรัสเกิดเสียงวิจารณ์ขึ้นมามากมาย หากลูกหลานตระกูลเก้าจักรพรรดิได้ชัยชนะไป มันคงจะไม่เกิดความโกลาหลเท่าใดนัก ตระกูลของหลิวชิงเองก็ค่อนข้างเป็นที่เลื่องลือพอๆกับตระกูลเฟย แต่มันก็ยังด้อยเกินไปเมื่อเทียบกับตระกูลเก้าจักรพรรดิ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะพากันอิจฉา
ในทางตรงกันข้ามเฟยฉีก็ยิ้มแย้มขึ้นมาก เพราะหลิวชิงทำให้เขาได้กำไรมหาศาลและเพียงพอที่จะชดเชยการเดิมพันของเฟยเทียนที่ต้องทุกข์ทรมานจากการเดิมพันกับเจียงอี้ด้วย
เฟยฉีค่อนข้างไม่พอใจเมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เจียงอี้ทำเขากวาดสายตาไปมองเฟยเทียนและพูดว่า “เฟยเทียน ไปเฝ้าทางออกไว้ หากเด็กนั่นผ่านด่านที่สามไปได้มันก็อาจจะมีโอกาสที่เขาจะออกจากที่นี่ พาผู้อาวุโสชวีและคนอื่นๆไปด้วย เมื่อเขาออกไป จงสังหารเขาในทันที”
“ด่านที่สาม?มันจะเป็นไปได้ด้วยหรือ……?”
เฟยเทียนกลอกตาไปมาเขาไม่รู้ว่าด่านที่สามนั้นอันตรายเพียงใด แต่เจียงอี้อยู่ในความยากระดับนรก หากว่าเขาผ่านด่านสามได้นั่นก็เท่ากับเขาผ่านระดับน่ากลัวได้หกด่าน แล้วมันจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? เสียเฟย, อีฉานและคนอื่นๆก็ยังติดอยู่ในด่านที่สี่อยู่เลย
เขาจึงไม่มีวันเชื่อว่าเจียงอี้จะผ่านด่านมาได้นอกจากนี้ ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามา เขาก็ได้ให้ผู้อาวุโสชวีและคนอื่นๆไปล้อมราชวังด้านนอกเอาไว้แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญว่าเจียงอี้จะออกมาแบบเป็นๆได้หรือเปล่า
“หืม?”
เมื่อเฟยฉีเห็นเฟยเทียนไม่ขยับเขยื้อนดวงตาของเขาก็เย็นชา จึงทำให้เฟยเทียนทำได้แค่ถูจมูกของเขาอย่างไม่พอใจขณะที่พุ่งไปที่ทางออก ทุกคนในจัตุรัสสามารถออกไปได้ทุกเมื่อที่ต้องการ แต่พวกเขาจะกลับเข้ามาไม่ได้แล้วเพราะว่าประตูได้ปิดลงแล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะเข้ามาอีกในพันปีข้างหน้า…..
“เหมือนว่าการล่าสมบัติครั้งนี้จะสั้นกว่าที่ผ่านมาหน่อยนึงล่ะนะ!”
เฟยฉีจ้องไปที่ค่ายกลด้วยความเสียใจหลังจากที่เฟยเทียนจากไปในอดีต การล่าขุมทรัพย์นั้นจะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งถึงสองเดือน หรือสามถึงห้าเดือน หรือแม้กระทั่งหนึ่งปีเต็ม การล่าสมบัตินี้จะสิ้นสุดลงเมื่อเวลาล่วงเลยไปหนึ่งปีแล้ว, หรือคนอื่นๆได้สมบัติทั้งสิบชิ้นไปแล้วหรือไม่ก็ทุกคนที่อยู่ในนั้นตกตายไปจนสิ้นแล้ว
หลิวชิงนั้นได้สมบัติอันดับห้าไปครองแต่ไม่ว่าเขาจะสามารถท้าทายด่านต่อไปได้หรือไม่ เขาก็ปลุกปั่นความภาคภูมิของหวู่นี่, ถูหลง, เสียเฟยและคนอื่นๆแล้ว ลูกหลานตระกูลของทั้งเก้าจักรพรรดิจะแพ้ผู้อื่นได้อย่างไร? หากพวกเขาทั้งหมดออกมาแล้ว การล่าขุมทรัพย์นั้นก็จะรุดหน้าต่อไปอย่างแน่นอน
ในเวลาไม่ถึงเดือนหลังจากที่ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเปิดขึ้นสมบัติห้าชิ้นก็ถูกชิงไปแล้ว บางที ในอีกครึ่งเดือน การล่าขุมทรัพย์นี้ก็อาจจะสิ้นสุดลงและการเข่นฆ่ากันข้างนอกราชวังก็คงจะเกิดขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
คนอื่นอาจไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แต่เฟยฉีรู้ว่าหลานชายของจักรพรรดิแห่งศาสตรานั้นจะเป็นผู้ที่เริ่มสังหารอย่างง่ายดายแม้ว่าเขาจะดูไม่มีพิษมีภัยก็ตาม หากเฟยฉีชิงสมบัติไปจากพวกเขา เช่นนั้นแล้ว จักรวรรดิเฟยหม่าคงต้องก่อสงครามครั้งใหญ่กับเขาเป็นแน่
…
สี่วันต่อมา…..
เจียงอี้ยืนอยู่นอกเมืองเฟิงตูขณะที่จ้องมองไปยังเมืองอันงดงามและใหญ่โตเขาตกตะลึงขณะที่จ้องมองไปยังกำแพงเมืองที่สูงตระหง่านที่ใช้หินสีดำสร้างขึ้นมา เขาไม่จำเป็นต้องใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็พอจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมัน ในขณะนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนมดในขณะที่เมืองนี้ใหญ่เท่าช้างซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเขาอ่อนแอและไร้อำนาจเพียงใด
“ใครสร้างเมืองนี้กัน?หรือจะเป็นจักรพรรดิลี้ลับ? นี่มันความสามารถประเภทไหนกัน?”
เขาไม่ได้นอนมาหลายวันในขณะที่เขากำลังหนีและในตอนนี้ พายุลูกนั้นก็ยังตามเขามาไม่ทันและยังห่างกันมากโขอยู่ซึ่งมันมีเวลามากพอที่เขาจะเข้าไปในเมือง
เขาไม่ได้เข้าเมืองในทันทีแต่เขานั่งลงและหมุนเวียนฝึกฝนศาสตร์นิรนาม เขานั้นต้องการที่จะกู้คืนแก่นแท้พลังและพลังงานของเขาให้กลับมายอดเยี่ยมให้ได้
การฝึกฝนในความเงียบนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยเติมเต็มแก่นแท้พลังของเขาแต่ยังช่วยบรรเทาร่างกายและจิตใจอีกด้วย
“โอ้…..พลังฟ้าดินที่นี่หนาแน่นนักการบ่มเพาะพลังที่นี่ดูท่าจะเร็วกว่าข้างนอกร้อยเท่าเลยใช่ไหมนะ?”
ช่วงเวลาที่เจียงอี้เริ่มฝึกฝนเขาก็ตระหนักได้ถึงความแตกต่างกับข้างนอก ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นสมบัติล้ำค่า ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาที่นี่นั้นสูงขึ้นมากและยังไม่เหมือนกับศิลาสวรรค์คือมันไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายด้วย
“ผู้ใดที่ได้ครอบครองราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับแห่งนี้ลูกหลานของพวกเขาคงจะมีความสุขไปชั่วนิจนิรันดร์เป็นแน่”
เจียงอี้ถอนหายใจแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะคาดหวังอะไรเช่นนั้นและบ่มเพาะพลังอย่างเต็มกำลัง ส่วนพายุลูกใหญ่ก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามาใกล้เขาทุกที แต่เขาก็ยังทำหูทวนลมและบ่มเพาะพลังอย่างสงบ
ตูม!ตูม! ตูม!
พายุลูกใหญ่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆสิบห้านาทีต่อมา พายุก็ทำให้ร่างของเขาซัดเซไปมาจนในที่สุดเขาก็เลิกบ่มเพาะพลังและหันไปมองพายุลูกยักษ์ เขายิ้มเล็กน้อยขณะจ้องมองไปยังมังกรอัสนีที่กำลังผ่าอยู่เรื่อยๆ จากนั้นเขาก็หยิบดาบมังกรเพลิงออกมาและก้าวเข้าไปยังประตูเมืองเฟิงตู
เอี๊ยดแอ๊ด!
เมื่อเจียงอี้อยู่ห่างประตูร้อยเมตรประตูเมืองก็ค่อยๆเปิดออก ข้างในนั้นมืดสนิทราวกับปากของสัตว์ประหลาดยักษ์ที่ต้องการจะกลืนกินทุกสิ่ง
พายุที่อยู่เบื้องหลังเขากำลังพัดพาพื้นหินดินทรายไปด้วยมังกรอัสนีก็ส่งเสียงร้องจนฟ้าดินสั่นสะเทือน เมืองยักษ์ใหญ่ไร้ชีวิตชีวานั้นกำลังเปิดออกอย่างไม่เร่งรีบ เด็กหนุ่มจับดาบของเขาและเดินเข้าไป ฉากนั้นน่าทึ่งมากเพราะมันทำให้หัวใจของผู้คนตกตะลึง
เจียงอี้ไม่ได้หยุดและเดินเข้าไปทื่อๆจากนั้นประตูขนาดมหึมาสีแดงก็ค่อยๆปิดลงไป
จากนั้นพายุลูกนั้นก็พัดไปทางอื่นเนื่องจากมันสูญเสียเป้าหมายแล้วมันหายไปในขอบฟ้าอย่างรวดเร็วและสภาพแวดล้อมก็กลับคืนสู่ความสงบ มีเพียงโคมไฟสองดวงที่แขวนอยู่เท่านั้นที่ส่องแสงและพริ้วไหวไปตามสายลม
“เคี๊ยกเคี๊ยก!”
เมื่อเจียงอี้เข้ามาในเมืองเฟิงตูเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นก็ทำให้เขาขนหัวลุก เสียงหัวเราะนั้นน่าขนลุกมากซึ่งทำให้เจียงอี้ขนลุกเป็นพิเศษขณะที่ลมเย็นๆที่โชยมาจากเส้นทางข้างหน้าเขาก็ทำให้เขาตัวสั่นเทาไม่หยุดหย่อน
“เมื่อเจ้าเข้ามายังเมืองเฟิงตูแล้วหยินและหยางจะแตกออกจากกัน ทิ้งการต่อสู้ที่ไร้จุดหมายนี้ซะและกษัตริย์ผู้นี้จะประทานชีวิตอันเป็นนิจนิรันดร์ให้เจ้าเอง เมืองเฟิงตูยินดีต้อนรับ เจ้ามนุษย์!”
เสียงที่มีอายุเหมือนผู้มาจากปรโลกเสียงนั้นมีพลังปีศาจที่ไม่มีตัวตนขณะที่มันปกคลุมความหนาวเหน็บไปสู่ดวงจิตและร่างกายของเจียงอี้ แม้แต่กระดูกสันหลังของเขาเองก็เริ่มแข็งทื่อไปด้วย