เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 607-608
บทที่ 607 เมืองผีสิง
เมืองผีสิง!
นี่เป็นความคิดแรกที่เจียงอี้มีต่อเมืองเฟิงตูขณะที่เขาได้กลิ่นของความตายเขายังได้กลิ่นความตายจากเสียงของคนมีอายุซึ่งมันเหมือนกับเสียงที่อยู่ในพิภพใต้ดินที่อยู่ใต้ท้องทะเลตะวันตกบนทวีปเทียนชิงเลย
เสียงนั้นทำให้ร่างกายของเจียงอี้สั่นเทาแต่กลิ่นอายแห่งความตายนั้นทำให้เขาสั่นสะท้านไปด้วยความเย็นเยียบ คนเป็นนั้นเต็มไปด้วยพละกำลัง พวกเขาจะแผ่ไออุ่นออกมาจากพละกำลังที่พวกเขามีอยู่อย่างไม่จำกัด แต่ที่เมืองนี้นั้นเป็นเมืองของคนตาย มีกลิ่นของความตายอยู่ทุกหนแห่ง ความหนาวเหน็บและความชั่วร้ายอบอวลไปทั่วเมืองนี้
ท้องฟ้านั้นมืดสนิทและมีให้เห็นเพียงความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์ หมอกสีดำปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและผืนดิน ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจียงอี้ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบเมืองนี้ได้
แสงไฟในเมืองส่องอยู่ตลอดสองข้างทางของถนนซึ่งเหมือนกับโคมไฟที่อยู่นอกเมืองโดยเว้นระยะห่างโคมละห้าร้อยเมตรโคมไฟนั้นส่องแสงสลัวๆที่มาจากเทียนและแกว่งไปมาอยู่ตามถนนซึ่งทำให้เมืองนั้นสว่างได้ แต่เมืองแห่งนี้ก็ดูน่ากลัวขึ้นเพราะโคมไฟด้วยเช่นกัน
สิ่งที่เจียงอี้นั้นกลัวจับใจเขาไม่สามารถมองเข้ามาในเมืองนี้ได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ใช้กับที่นี่ไม่ได้ สิ่งเดียวที่พึ่งพาได้คือดวงตาของเขาเท่านั้น
เขามีสายตาที่ค่อนข้างดีแต่น่าเสียดายที่ที่นี่มืดมาก เขาจึงมองเห็นได้ในระยะเพียงสองร้อยห้าสิบเมตรเท่านั้น เขาเห็นถนนตรงหน้าซึ่งกว้างนับร้อยเมตร อาคารต่างๆก็ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบตลอดสองข้างทางและล้วนสร้างขึ้นด้วยหินสีดำ ไม่มีสิ่งใดอยู่ภายในอาคารราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านผีสิง
“ฮูฮูวว!”
เสียงของคนแก่ที่ดูเหมือนจะเป็นราชาของเหล่าภูติผีนั้นไม่ส่งเสียงอีกเลยจากนั้นเจียงอี้ก็หายใจเข้าลึกๆและถือดาบยาวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ในเมื่อเขามาที่นี่แล้ว มันก็ไม่มีทางให้ถอยกลับได้
ไม่ว่าจะเป็นปีศาจประเภทไหนที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองนี้หรือจะเป็นผู้ใดก็ตามที่เปล่งเสียงนั้นออกมาจะเป็นราชาแห่งภูติผีหรือจ้าวนรกเขาก็มีทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้น คือสังหารเพื่อหาทางออกหรือว่า….จะตาย!
ตึกตึก ตัก!
ฝีเท้าของเขาเบามากแต่ก็ยังได้ยินอย่างชัดเจนบนถนนที่เงียบสงัดเส้นนี้เสียงนั้นดังก้องบนท้องถนนซึ่งมันน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามในตอนนี้เจียงอี้สงบนิ่งมาก เขาไม่ได้หวาดกลัวเลย ไม่ว่าสถานที่แห่งนี้จะพิลึกหรือน่ากลัวเพียงใดเขาก็ไม่มีทางอื่นแล้ว หากเขาไม่ผ่านทางนี้ไปให้ได้ เช่นนั้นเขาก็จะต้องตาย
เขาเริ่มเดินต่อไปในขณะที่หลับตาและเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์
แม้ว่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้ผลแต่ไม่ใช่กับมนุษย์ประสานสวรรค์ เขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินและรู้ถึงความแปรเปลี่ยนทุกอย่างในโลกนี้ซึ่งมันมีพลังมากกว่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ อย่างตอนที่เขาอยู่เส้นทางปรโลก เขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์คอยตรวจห้วงอากาศและจะสังเกตเห็นบางอย่างก็ต่อเมื่อจระเข้กลืนวิญญาณปรากฏและทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของห้วงอากาศพื้นที่นั้น
แต่มนุษย์ประสานสวรรค์นั้นต่างกันเขาก็รับรู้ได้ตั้งแต่ห้วงอากาศยังไม่ทันสั่นสะเทือนแล้ว
เมื่อเขาหลับตาเขาก็เดินไปข้างหน้าทีละก้าว หลังจากผ่านไปห้าร้อยเมตร เขาก็หยุดเดิน ถนนไม่ใช่เส้นตรงแต่กลายเป็นทางแยกตัดผ่านและภาพที่น่าขวัญผวาก็ปรากฏขึ้น
ศพคน!
มีซากศพอยู่ทุกๆที่ทั้งถนน, ห้องหับต่างๆ, ที่หัวมุม, บนหลังคา และลำคลองนั้นเต็มไปด้วยศพอย่างน้อยหลายพันศพ
บางคนก็อยู่ในชุดเกราะสงครามบางคนก็เป็นนักรบธรรมดา บางคนก็ใส่เสื้อผ้าที่ขาดวิ่น….บางคนถือดาบ, ขวาน, ทวนและธนูอยู่ในมือ พวกเขาเหล่านั้นมีทั้งคนชรา, คนหนุ่มคนสาวและชายหญิง
เพียงสิ่งเดียวที่พวกเขามีเหมือนกันคือความสยดสยอง!
ร่างทั้งร่างนั้นซีดเผือดและเป็นสีเขียวบางศพก็เต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งและรอยแผล บางคนก็เล็บยาวและเขี้ยวยาวขึ้นซึ่งพวกเขาเหล่านั้นดูเหมือนผีดิบไม่มีผิด
ซากศพเหล่านี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายดำจางๆแม้ว่าเขาแทบจะไม่ได้กลิ่นอายของมันเลย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็ไม่รอดพ้นสายตาของเจียงอี้ไปได้เพราะเขาอยู่ในสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์
กลิ่นอายสีดำนั้นทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยมากมันเหมือนกับกลิ่นอายที่อยู่รอบๆเถาวัลย์ดารามาร และซากศพในพิภพใต้ดินเลย
เมืองเฟิงตู!
มันเป็นแดนใต้พิภพแน่ๆแม้แต่ยอดฝีมือที่ทรงพลังยังหวาดผวากับฉากนี้และพลังการสู้ของพวกเขาจะลดลงโดยเฉพาะกับผู้หญิง แม้ว่านางผู้นั้นจะมีพลังอำนาจมาก แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ดวงจิตวิญญาณของพวกนางจะสั่นสะท้านไปด้วยความกลัวและนางก็จะอ่อนแอเกินกว่าที่จะตวัดดาบในมือขึ้นมาได้
อันที่จริงแล้ว…!
ที่อีฉานติดอยู่ในด่านที่สามเป็นเวลานานนั้นมันเป็นเพราะความน่าสยดสยองของเมืองเฟิงตูแม้ว่านางจะมีกำลังมหาศาล แต่นางก็ยังเป็นหญิงสาวอายุสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี จิตใจของหญิงสาวทุกคนนั้นเปราะบาง แต่นางก็ทำได้ดีที่ไม่กลัวความตายในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้
ส่วนที่เสียเฟยสามารถผ่านไปได้เป็นคนแรกนั่นก็เพราะว่าตระกูลเสียฝึกฝนศาสตร์เวทย์ชั่วร้ายมาหลายชั่วอายุคนเขาสัมผัสกับสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก สำหรับเขาแล้ว เมืองเฟิงตูนั้นไม่ได้ต่างไปจากทุ่งหญ้าป่าเขาเลย เขาจึงผ่านเมืองนี้ไปได้ง่ายๆ
ส่วนหยิ่นรั่วปิงที่ผ่านด่านนี้ไปได้เป็นคนที่สองเจียงอี้จะต้องยอมรับว่าจิตใจของนางนั้นแข็งแกร่งมาก การที่นางรู้ถึงสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ของเขาได้นั้นก็ถือว่าแปลกมาก แต่มันก็เป็นเรื่องปกติที่ลูกหลานตระกูลเก้าจักรพรรดิบางคนนั้นจะมีจิตใจที่กล้าแข็ง
เจียงอี้ดึงสติกลับมาหลังจากที่ตกตะลึงไปเขาบังคับตัวเองไม่ให้คิดว่านี่เป็นซากศพ แต่เป็นสัตว์อสูรและสัตว์ประหลาด จากนั้นเขาก็ใช้ดาบฟันผีดิบเหล่านั้นออกเป็นครึ่งท่อนไปตามทาง
เมื่อเขาค่อยๆเดินไปข้างหน้าสถานการณ์ข้างหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ซากศพเหล่านั้นฟื้นขึ้นมา
ใช่แล้ว!
ในตอนนี้ซากศพทั้งหมดขยับได้พวกที่อยู่ในห้องต่างก็คลานออกมา พวกที่อยู่ในลำคลองก็ปีนขึ้นมาและพวกที่อยู่บนถนนก็ยืนขึ้น ส่วนพวกที่อยู่บนหลังคาก็กระโดดลงมา
กลิ่นอายสีดำหนาแน่นขึ้นและอาวุธในมือของพวกมันก็ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายสีดำและส่องแสงสีดำออกมา
พวกมันไม่แสดงสีหน้าหรือกลิ่นอายอะไรออกมาเลยพวกมันเพียงแค่เดินไปทางเจียงอี้อย่างเงียบๆด้วยความเร็วที่พอๆกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกัง
“เข้ามาเลย!อย่าว่าแต่พวกที่ตายไปแล้วเลย แม้แต่สัตว์ประหลาดที่มีชีวิต ข้าก็ไม่กลัว ในเมื่อพวกเจ้าตายไปแล้ว ข้าก็จะทำให้พวกเจ้าตายไปอีกหน!”
เจียงอี้คำรามอย่างเดือดดาลด้วยความเกรี้ยวกราดในใจเขาความอันตรายถึงตายได้จุดประกายความปรารถนาของเขาที่จะมีชีวิตรอด ดวงจิตวิญญาณของเขาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เปลวเพลิงอเวจีของเขาเหลือเพียงยี่สิบก้อนซึ่งมันไม่มีทางพอแน่ๆ แต่เขารู้ถึงควันสีดำที่เกือบจะทำให้เขากลายเป็นผีดิบไปได้ ดังนั้นเขาจึงป้องกันตัวเองทันที
“ฆ่า!”
ร่างของเขากลายเป็นภาพจางๆและพุ่งตรงไปข้างหน้าจากนั้นดาบมังกรเพลิงก็เปล่งแสงสีแดงและถูกฟาดฟันลงไปทันที ทำให้มังกรเพลิงนับหมื่นตัวพุ่งออกมาซึ่งทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวไปด้วยสีแดง
จี๊ด!จี๊ด!
มังกรเพลิงจิ๋วที่มีพลังบ้าคลั่งพุ่งออกไปข้างหน้าส่วนเหล่ากองทัพคนตายก็กรูกันเข้ามาโดยไม่สนใจการโจมตีจากมังกรเพลิงจิ๋วเลย บนถนนสามสายที่ยาวไกลออกไปมีซากศพนับไม่ถ้วนตื่นขึ้นมาและพุ่งตรงไปทางเจียงอี้ พวกมันมาพร้อมกับความมืดและมีความหนาแน่นอย่างไร้ขอบเขต ราวกับว่าพวกมันจะกลืนกินเจี้ยงอี้เข้าไป
บทที่ 608 ไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ!
ปังปัง ปัง ปัง ปัง!
ผีดิบจำนวนมากถูกโจมตีโดยมังกรเพลิงจิ๋วตัวที่อ่อนแอกว่าถูกระเบิดออกเป็นชิ้นๆและถูกส่งปลิวไปชนกับฝูงผีดิบที่อยู่ข้างหลังพวกมัน
รูปแบบเต๋าระดับกลางของเจียงอี้มีพลังมากนักมันเทียบได้พอๆกับพลังที่รุนแรงที่สุดของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าได้เลย แล้วเมื่อผีดิบพวกนี้ไม่มีแก่นแท้พลังใดๆเลย แล้วพวกมันจะต้านการโจมตีได้อย่างไร?
การโจมตีของเจียงอี้ได้ทำลายผีดิบไปเกือบหนึ่งร้อยตัวและทำให้อีกนับร้อยตัวถูกส่งปลิวออกไปแขนขาและลำตัวของพวกที่ถูกระเบิดนั้นจะฉีกขาด พลังการทำลายล้างของเขาน่ากลัวมากแต่เจียงอี้ก็ไม่ได้รู้สึกโล่งใจเลยแม้แต่น้อย
เพราะผีดิบเหล่านั้นลุกขึ้นมาทันทีหากพวกมันยังลุกขึ้นได้แม้ว่าพวกมันจะเหลือเพียงขาเดียว พวกมันก็ยังกระเด้งขึ้นมาและวิ่งมาอยู่ดี ส่วนตัวที่ถูกทุบสมองไปแล้วนั้นไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกต่อไป
ศพเหล่านี้ไม่มีดวงจิตวิญญาณใดๆและโดยธรรมชาติแล้วพวกมันจะไม่รู้สึกเจ็บปวด ตราบใดที่พวกมันยังขยับร่างกายได้ พวกมันก็จะกรูเข้ามาอย่างไม่รู้จักเหนื่อย และถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่มีขาแล้ว แต่พวกมันก็ยังใช้มือทั้งสองคลานมาได้อยู่ดี
จี๊ดจี๊ด!
ดาบมังกรเพลิงของเจียงอี้สว่างขึ้นและฟาดผ่าลงไปอีกครั้งจากนั้นมังกรเพลิงนับหมื่นตัวก็พุ่งออกมาพร้อมกับพลังทำลายล้างโลก และเจียงอี้ก็ยกดาบมังกรเพลิงขึ้นมาใหม่และปล่อยการโจมตีออกไปอีกสองครั้ง
เขาประหลาดใจที่การโจมตีของเขารุนแรงมากแต่เมื่อมังกรเพลิงจิ๋วบางตัวพุ่งปะทะเข้ากับพื้นชนวนสีดำบนพื้นหรือบ้านริมทาง พวกมันก็ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด แม้แต่โคมไฟที่แขวนอยู่ตามบ้านเรือนเองก็ยังอยู่ในสภาพเดิม
“พื้นและบ้านในเมืองเฟิงตูนี้ทำมาจากสิ่งใดกัน?ทำไมพวกมันจึงทนทานถึงเพียงนี้? หรือจะมีอาคมอะไรที่คุ้มกันพวกมันอยู่หรือเปล่า?”
เจียงอี้แอบตื่นตระหนกเล็กน้อยการโจมตีของเขาแทบจะทำให้ภูเขาถล่มทลายลงได้ แต่พื้นชนวนสีดำนั้นแทบไม่มีรอยขีดข่วนหลงเหลืออยู่เลย
แต่ความคิดอื่นก็ผุดขึ้นในใจเขาอีกในอดีต ยอดฝีมือมากมายได้เข้ามาที่นี่ซึ่งแน่นอนว่ามีขอบเขตเทียนจุนด้วย ในเมื่อการโจมตีของพวกเขายังไม่สามารถทิ้งร่องรอยเอาไว้ที่นี่ได้ มันก็คงเป็นเรื่องปกติที่เขาคงจะทำไม่ได้เช่นกัน
“ไปต่อเถอะ!”
เขาพุ่งไปข้างหน้าและตรวจสอบได้ว่ามีซากศพทหารที่ตายไปมากมายกำลังเดินเข้ามาหาเขาเรื่อยๆการที่คิดจะสังหารพวกมันทั้งหมดนั้นคงเป็นเรื่องซื่อบื้อและไร้สาระ
แต่หากเขาต้องการจะรอดไปให้ได้เขาจะต้องหาทางผ่านด่านและเข้าสู่ด่านที่สี่ให้ได้!
มีถนนหลักอยู่สามสายซึ่งเขาไม่รู้ว่าจะเลือกเส้นทางไหนดีและคงต้องลองเสี่ยงดวงดูเขาจึงตัดสินใจที่จะตรงไป ดาบมังกรเพลิงนั้นถูกฟาดฟันลงมาอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้ผีดิบที่อยู่ตรงหน้าเขาถูกสังหารไปหรือไม่ก็ถูกระเบิดไป จากนั้นเขาก็วิ่งไปตามเส้นทางนี้เรื่อยๆ
“มันต้องมีบางอย่างผิดปกติกับกลิ่นอายสีดำนี้แน่ๆโชคดีที่ข้ายังมีเพลิงโลกาอยู่ในไข่มุกวิญญาณเพลิง”
หลังจากที่วิ่งไปหลายร้อยเมตรเจียงอี้ก็ตระหนักได้ถึงปัญหานั้นจริงๆ กลิ่นอายสีดำรอบๆผีดิบที่เขาสังหารไปได้แทรกซึมไปกับถนน ซึ่งเมื่อเขาเดินไปข้างหน้า เขาก็จะถูกกลิ่นอายสีดำโจมตีอย่างเลี่ยงไม่ได้
โชคดีที่ร่างกายของเขามีเพลิงโลกาห่อหุ้มเอาไว้อยู่และกลิ่นอายสีดำก็ไม่สามารถแทรกซึมผ่านเพลิงโลกาไปยังผิวหนังของเขาได้ไม่เช่นนั้นหากกลิ่นอายสีดำสัมผัสเข้ากับร่างของเขา เขาก็อาจจะสูญเสียการควบคุมร่างกายไปได้เช่นกัน และหากดวงจิตวิญญาณของเขาถูกโจมตีด้วย เขาก็จะกลายเป็นผีดิบไปโดยปริยาย
“เร็วเข้า!”
เพลิงโลกาเองก็เหลือไม่มากเท่าไหร่และมันก็ลดน้อยลงไปจากการแผดเผากลิ่นอายสีดำหากเพลิงโลกาของเขาหมดลง เขาจะต้องหมุนเวียนเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ออกมาคุ้มกันตัวเอง ซึ่งตอนนี้แก่นแท้พลังของเขาก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องในทุกๆครั้งที่เขาปลดปล่อยรูปแบบเต๋าวายุคณานับออกมา และหากเขาใช้เปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ด้วยมันก็จะทำให้เขาต้องใช้แก่นแท้พลังมากขึ้น และเมื่อแก่นแท้พลังทั้งหมดในดวงดาวทั้งสามดวงหมดลง เขาก็คงต้องได้แต่รอวันตาย
แต่แน่นอน!
เขามีแก่นแท้พลังอยู่ในดวงดาวทั้งสามมากมายนักและเขาจะยังคงอยู่ได้ครึ่งเดือนอย่างสบายๆแม้ว่าจะมีการโจมตีเช่นนี้ไปเรื่อยๆก็ตาม และด้วยเหตุนั้น เขาจำเป็นต้องหาทางออกไปจากที่นี่ในอีกครึ่งเดือน
เมืองเฟิงตูนั้นกว้างใหญ่มากแต่เจียงอี้ก็เร็วพอที่จะสำรวจเมืองทั้งเมืองได้ภายในครึ่งเดือนและพบทางออก
ความเพ้อฝันนั้นช่างงดงามแต่ความเป็นจริงนั้นช่างโหดร้าย!ไอรีนโนเวล
หลังจากที่เจียงอี้วิ่งไปได้ประมาณพันห้าร้อยเมตรเขาก็ไปถึงอีกทางแยกซึ่งมันเหมือนกับทางก่อนหน้านี้ เขาไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนดี
แม้ว่ามนุษย์ประสานสวรรค์จะช่วยให้เขาตรวจจับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวได้แต่พื้นที่รอบตัวเขาก็ถูกจำกัดอยู่ในรัศมีห้าร้อยเมตร เขาก็เลยไม่รู้ว่าทางใดกันแน่ที่นำไปสู่ทางออก
“จักรพรรดิลี้ลับท่านเฉียบแหลมยิ่งนัก!”
ในที่สุดเจียงอี้ก็เข้าใจถึงความยากในด่านนี้ซึ่งมันก็คือเมืองนั้นใหญ่เกินไป สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถแผ่ไปสุดขอบเมืองได้จึงทำให้ยอดฝีมือทั้งหลายต้องต่อสู้ไปทั่วเมืองอย่างไร้จุดหมาย แต่เหล่าทหารผีดิบนั้นไม่รู้จักเหนื่อย และหากว่าพวกเขาหาทางออกไม่เจอ พวกเขาก็จะถูกผีดิบสังหารไป
แม้จะเป็นขอบเขตเทียนจุนเองก็ยังมีขีดจำกัดของจำนวนที่พวกเขาสามารถสังหารผีดิบและระยะเวลาที่แก่นแท้พลังจะหมดไปอาคารที่นี่ไม่สามารถทำลายล้างไปได้และการตรวจสอบเส้นทางก็แย่มาก มันมีถนนหนทางอยู่ไปทั่วทุกที่ซึ่งใครๆก็อาจจะหลงอยู่ที่นี่จนแก่นแท้พลังหมดลงไปและถูกผีดิบฉีกเป็นชิ้นๆ!
“ไปเถอะ!”
เจียงอี้ไม่สนใจอีกต่อไปเขารีบวิ่งตรงไปข้างหน้าและฟาดดาบมังกรเพลิงหลายครั้งต่อกันและมังกรเพลิงจิ๋วเกือบแสนตัวก็พุ่งออกไปข้างหน้าและทำให้เส้นทางสายนั้นเต็มไปด้วยเลือด
ผีดิบนับไม่ถ้วนกลายเป็นเนื้อสับและปลิวไปทั่วท้องฟ้าและผีดิบอีกนับไม่ถ้วนที่แขนขาขาดไปแล้วแต่ก็ยังพยายามลุกขึ้นและวิ่งเข้าหาเจียงอี้อีกครั้ง เขาหลับตาอยู่แต่ดูสงบและสบายๆราวกับว่ากำลังเดินเล่นอยู่ในชนบท
หนึ่งชั่วโมงต่อมา….!
เจียงอี้ผ่านมาหลายร้อยกิโลมเตรแล้วและวิ่งผ่านทางแยกมากมายแต่เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนเส้นทางและตรงไปอย่างเดียวเขาไม่รู้เลยว่าสังหารผีดิบไปมากมายเท่าไหร่แล้ว แต่เขารู้เพียงว่าพวกมันไม่รู้จักเหนื่อยและถนนสายนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีสิ้นสุดเช่นกัน
เขาไม่มีทางอื่นเลยนอกจากหลับหูหลับตาเดินไปข้างหน้าต่อไปตัวเขานั้นไม่สามารถหยุดพักได้ เพราะเมื่อเขาหยุดพักเมื่อไหร่ เหล่าผีดิบก็จะกรูมาทางเขาจากทั่วทุกสารทิศและมันก็มีแต่จะทำให้เขาตายเร็วขึ้นเท่านั้น
ผ่านไปสองชั่วโมงเขาก็ยังไม่ถึงปลายทางของถนน เมืองเฟิงตูนี้ไร้พรมแดนจริงๆและเหล่าผีดิบเองก็ไม่มีหมดสิ้นเหมือนกัน มันไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเมืองเฟิงตูนี้มีผีดิบอยู่จำนวนเท่าใด บางทีอาจจะมีสักสิบล้านตัว….หรืออาจจะร้อยล้านตัวหรือเปล่า?
หลังจากผ่านไปหกชั่วโมงเขาก็วิ่งไปแล้วประมาณหมื่นกิโลเมตรก่อนที่จะถึงสุดทางของถนนเส้นนี้ แต่เขาก็รู้สึกสิ้นหวังอย่างยิ่งเมื่อพบกำแพงสีดำที่มีความสูงสามกิโลเมตรอยู่เบื้องหน้า!
ฝันร้ายของเขากลายเป็นจริง!
เมืองเฟิงตูนั้นใหญ่เกินไปเขาผ่านทางแยกมาอย่างน้อยเกือบหมื่นทาง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือมีถนนอย่างน้อยสองหมื่นเส้นในเมืองเฟิงตูแห่งนี้
ทางออกจะต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองอย่างแน่นอนแต่มีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าถนนเส้นไหนที่นำไปสู่ทางออก เขาใช้เวลาหกชั่วโมงในการผ่านถนนเส้นหนึ่ง ซึ่งมันก็หมายความว่าเขาจะต้อองใช้เวลาหกหมื่นชั่วโมงถึงจะผ่านถนนทั้งสองหมื่นสายไปได้ แต่แก่นแท้พลังของเขานั้นอยู่ได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น
“ฆ่า!”
ผีดิบมากมายติดตามเขามาจากด้านหลังซึ่งเจียงอี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันกลับไปพร้อมกับเริ่มวิ่งและสังหารอีกครั้งเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเจอทางออกหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือ เขาจะไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆหรอก!