เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 624 ค้างคาววิญญาณ
ในตอนที่เขาเห็นคนของตระกูลเจี้ยนและตระกูลเสียเจียงอี้ก็รู้เลยว่าเขาจะต้องเป็นศัตรูกับเสียเฟยและเจี้ยนอู๋อิง เว้นแต่เขาจะมอบสมบัติให้อย่างเจียมตัว แต่….มันจะเป็นเช่นนั้นได้หรือ?
เขามีสมบัติสามชิ้นและตัวตนของเขาจะต้องถูกเปิดเผยในไม่ช้าดังนั้นเขาจึงมั่นใจได้สิบส่วนเลยว่าโถงวรยุทธและตระกูลถูจะร่วมมือสังหารเขา ส่วนตระกูลหลิง, ตระกูลหยิ่นและตระกูลอีจะไล่ล่าเขาด้วยหรือไม่ คงมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้
นี่เป็นเพียงแค่เก้าตระกูลจักรพรรดิเท่านั้นและเจียงอี้ก็เชื่อว่าตั้งแต่ตอนนี้ ในทุกๆที่ที่เขาไป ทุกตระกูลไม่ว่าจะตระกูลเล็กหรือใหญ่ต่างก็จะตามล่าเขา เพราะสมบัติล้ำค่าทั้งสามชิ้นนี้เป็นสิ่งล่อใจที่พวกเขาไม่อาจต้านทานได้
เขาไม่ได้ผิดอะไรเลยแต่สมบัติกลับทำให้เขากลายเป็นคนที่โดนหมายหัว!
เจียงอี้ไม่มีภูมิหลังใดๆแต่เขามีสมบัติสามชิ้นที่มันไม่ควรจะเป็นของเขา ดังนั้นชะตากรรมของเขาจึงถูกลิขิตไว้แล้ว ถ้าเขาไม่ถูกตามล่าตลอดชีวิตและต้องวิ่งหนีราวกับสุนัขจนกว่าจะถูกสังหารไป เขาก็จะต้องเป็นผู้ที่อยู่เหนืออำนาจทั้งหลายเพื่อหยุดการไล่ล่าจากทุกตระกูลในแดนเทียนชิง หรืออีกอย่างคือเขาก็ยังสามารถหาสถานที่ที่จะไม่มีผู้ใดหาเขาพบและใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นั่น
“ดึงสติหน่อยเจ้าต้องดึงสติตัวเองหน่อยสิ เจียงอี้ เจ้าจะสูญศรัทธาไปไม่ได้นะ เจ้าห้ามคิดจะตายง่ายๆเชียว ตอนนี้เจ้าไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว ไหนเจ้าจะยังต้องไปช่วยรั่วเสวี่ยอีก เจ้าไม่ได้หมดหวังเสียหน่อย เจ้ายังมีหญ้ามังกรยาจกอยู่นี่!”
เสียงสะท้อนในใจของเจียงอี้ทำให้ความสับสนในดวงตาของเขาจางหายไปเมื่อนึกถึงหญ้ามังกรยาจก เขาก็ยิ้มออกมา มันทำให้เขามีความหวังขึ้นมา เขาจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆไปจนถึงจุดที่ไม่มีผู้ใดในแดนเทียนชิงจะมาคุกคามชีวิตของเขาได้!
เขาเบือนสายตาไปก่อนที่จะสงบสติและแสร้งพึมพำด้วยความสับสน“ฮืมม….ทะเลเงานภา เช่นนั้นข้าก็มาถูกทางแล้วน่ะสิ ทวีปเงาทมิฬน่าจะอยู่ด้านหน้าสินะ ไปกันเถอะ!”
เจียงอี้ก็กระโดดราวกับลิงและเหินไปทางทิศตะวันออกและเมินเฉยต่อความเจ็บปวดที่หน้าอกของเขาไปในเวลาต่อมาเขาก็ออกจากเมืองและหายไปจากสายตาของทุกคน
“ฮู่ฮู่ววว….”
เจ้าเมืองขอบเขตจินกังและผู้คนกับจอมยุทธทั้งหมดในเมืองต่างพากันถอนหายใจอย่างโล่งอกกลิ่นอายของเจียงอี้น่ากลัวมาก และหากเขาเริ่มสังหารผู้คน เมืองทั้งเมืองนี้ก็คงจะถูกกวาดล้างจนราบคาบแน่ๆ
…
บรึฟ!
หลังจากที่เจียงอี้ออกมาจากเมืองและพบทุ่งหญ้ารกร้างแล้วเขาก็หยุดไปทางตะวันออกและย้ายร่างฉับพลันไปทางใต้ทันที หลังจากที่เขาย้ายร่างฉับพลันไปได้หลายร้อยกิโลเมตรแล้ว เขาก็พบเทือกเขาขนาดใหญ่ จากนั้นไข่มุกวิญญาณเพลิงในมือของเขาก็ส่องสว่างขึ้นมาและราชวังจักรพรรดิก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับปล่อยเฟิ่งหลวนและชิงหยีออกมา
“นายน้อย!”
เสียงร้องของพวกนางทั้งสองคนดังก้องขึ้นมาด้วยความประหลาดใจและเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่อ่อนแอของเจียงอี้ พวกนางทั้งสองก็หน้าซีดเผือดก่อนที่จะเข้าไปใกล้ๆและพยุงเขาทันที
“เฟิ่งหลวนคอยดูลาดเลาให้ข้าที ข้าขอรักษาตัวก่อน”
เจียงอี้ไม่ได้อธิบายอะไรและยิ้มจางๆให้พวกนางทั้งสองคนจากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิเพื่อพักฟื้น ส่วนเฟิ่งหลวนและชิงหยีก็มองหน้ากันและไม่กล้าพูดอะไรออกมา และพวกนางก็แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกนางไว้เพื่อคอยตรวจบริเวณรอบๆนั้น
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเจียงอี้ก็ลืมตาขึ้นมาและยิ้มให้พวกนางเพื่อส่งสัญญาณว่าเขาไม่เป็นไร จากนั้นเขาก็หลับตาลงอีกครั้งและปลดปล่อยศาสตร์เวทย์ญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมา
สายลมเบาๆพัดผ่านออกจากร่างของเขาและพัดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและหลังจากนั้นเพียงห้านาทีสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขารีบลุกขึ้นมาและตะโกนว่า “พวกนั้นรวดเร็วนัก พวกเจ้าเข้าไปข้างในราชวังจักรพรรดิก่อน เราต้องหนีเดี๋ยวนี้”
หลังจากที่เขาพูดจบราชวังจักรพรรดิก็ส่องแสงสีขาวและเขาก็นำพวกนางเข้าไปโดยไม่รอให้พวกนางได้ถามอะไร และหลังจากนั้น แสงอ่อนๆก็ส่องอยู่ที่ฝ่ามือของเขา และพื้นที่ข้างๆเขาก็แตกออกและเขาก็เข้าไปในรอยแตกนั้นและหายลับไป
ฟรึ่บ!ฟั่บ!
นอกเมืองพายุทราย,มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนนับสิบคนบินมาที่นี่ พวกเขามีสัตว์อสูรค้างคาวสีเขียวอยู่บนไหล่กันทุกคน…ไอรีนโนเวล
ค้างคาววิญญาณเลื่องชื่อมากในแดนเทียนชิงและถูกใช้เพื่อตามล่าศัตรูตราบใดที่ค้างคาวได้ดมกลิ่นของเจียงอี้มาก่อน พวกมันก็จะสามารถจับจ้องไปที่กลิ่นอายจิตวิญญาณของเขาและตามตัวเขาเจอได้จากระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตร ซึ่งโชคร้ายนักที่หน่วยสอดแนมของจักรวรรดิเฟยหม่ามีค้างคาววิญญาณอยู่ด้วยมากมายในตอนที่อยู่นอกราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ
และเมื่อเจ้าเมืองพายุทรายรายงานว่ามียอดฝีมือที่ไม่รู้จักปรากฏตัวขึ้นในเมืองคนของจักรวรรดิเฟยหม่าก็ตามมาที่เมืองพายุทรายอย่างรวดเร็ว
แต่น่าเสียดายนักเพราะหลังจากที่พวกเขาเพิ่งออกจากเมืองพายุทราย ค้างคาววิญญาณบนไหล่ของพวกเขาก็ส่งเสียงออกมา ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนกว่าสิบคนไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากหยุดนิ่งอยู่บนท้องฟ้า หนึ่งในนั้นถอนหายใจเล็กน้อยและพูดว่า “เด็กนี่ใช้วิชาหลีกสวรรค์และหนีไปอีกแล้ว เขาข้ามครึ่งทวีปเฟยหม่าของเราไปได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว เราแน่ใจหรือว่าจะจับเขาได้? เราควรกลับไปขอให้นายน้อยเจี้ยนส่งปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์มาดีไหม?”
“เราต้องตามต่อไปถึงแม้ว่าเราจะจับเขาไม่ได้ก็เถอะ!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนอีกคนโบกมืออย่างโอหังและพูดว่า“ไม่ว่าเราจะเจอตัวเขาหรือไม่ เราก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ไม่เช่นนั้น หากนายน้อยอู๋อิงตำหนิเรา ก็คงไม่มีใครรับผิดชอบเรื่องนี้ได้”
พวกเขายังคงบินต่อไปเรื่อยๆหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็พบเทอกเขาที่เจียงอี้พักฟื้นอยู่ก่อนนี้และใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์มองไปรอบๆแต่ก็ไม่เจอตัวเจียงอี้เลย จนหนึ่งในนั้นตะโกนออกมาว่า “ทุกคน แยกกันไป เมื่อพวกเจ้าพบกลิ่นอายเจียงอี้แล้วจงรีบกลับมาหาข้าทันที”
ฟรึ่บ!
ทุกๆคนแยกย้ายกันไปแต่พวกเขากลับดูหดหู่หลายคนมองไปยังทวีปเงาทมิฬและครุ่นคิดอยู่ในใจ ในเมื่อเจียงอี้สามารถเดินทางจากเมืองผืนทรายไปยังเมืองพายุทรายด้วยการใช้วิชาหลีกสวรรค์เพียงครั้งเดียว ในตอนนี้เขาก็น่าจะอยู่ที่ทวีปเงาทมิฬแล้วสิ
….
บรึฟ!
บนท้องฟ้าเหนือทะเลราตรีสีเลือดจู่ๆห้วงอากาศเหนือทะเลก็แตกออกมาและร่างสีเพลิงก็ร่วงลงมาจากรอยแตกนั้น ทันใดนั้นเขาก็ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดไปทั่วทุกสารทิศและหลังจากที่เขามั่นใจแล้วว่าไม่มีอันตรายอะไร ราชวังสีขาวก็เปล่งประกายอยู่ในมือของเขา และจากนั้นก็มีคนสองคนปรากฏตัวขึ้นมา
“นายน้อย!”
เฟิ่งหลวนตกใจมากเมื่อเห็นเลือดไหลออกมาจากปากของเขาส่วนชิงหยีรีบคว้าแขนเจียงอี้เอาไว้ และจากนั้นเจียงอี้ก็พูดว่า “ไปหาเกาะเล็กๆก่อน มันเริ่มมืดแล้ว ที่นี่คือทะเลราตรีสีเลือด!”
“ทะเลราตรีสีเลือด?”
เฟิ่งหลวนและชิงหยีประหลาดใจขึ้นมาไม่ใช่ว่าเจียงอี้อยู่ที่ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเพื่อตามหาสมบัติอยู่หรอกหรือ? และทำไมตอนนี้พวกเขาถึงอยู่ที่ทะเลราตรีสีเลือดกัน? จากนั้นเฟิ่งหลวนก็มองไปรอบๆโดยไม่มีคำถามใดๆและนางก็บอกชิงหยีว่า “ไปเถอะ!”
ฟรึ่บ!
พวกเขาทั้งสามกลายเป็นลำแสงและบินออกไปจากที่นั่นที่นั่นคือทะเลทางตอนใต้ของทวีปเฟยหม่าซึ่งเห็นได้ชัดว่าทะเลไม่ได้ลึกมากนักและมีเกาะมากมายอยู่แถวๆนี้
เฟิ่งหลวนพบเกาะมากมายอยู่แถวนั้นและนางก็บินไปยังเกาะเล็กๆที่ซ่อนอยู่และหยุดอยู่ในป่ามะพร้าว นางบอกให้ชิงหยีนำกระโจมออกมาและช่วยประคองเจียงอี้เข้าไปนั่ง จากนั้นนางก็แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อคอยดูสถานการณ์รอบๆ
เจียงอี้เองก็ยังไม่ได้อธิบายอะไรออกมาและเริ่มพักฟื้นอีกครั้งคราวนี้เขาหนีมาชั่วโมงหนึ่งและมาถึงเพียงทะเลราตรีสีเลือดเท่านั้น หลังจากที่ข้ามมาครึ่งทวีปเฟยหม่า อวัยวะของเขาก็เสียหายอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขาไม่ได้ไปยังทวีปเงาทมิฬเพราะเขาอาจถูกดักจับได้ง่ายๆและมันจะเผยที่อยู่ของเขาอย่างแน่นอน ตระกูลเก้าจักรพรรดิมียอดฝีมืออยู่มากมายนักและพวกเขานับไม่ถ้วนก็มีทักษะพิเศษกันมากมาย ความจริงแล้ว แค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนของทวีปเฟยหม่าที่มากันได้อย่างรวดเร็วก็พิสูจน์เรื่องนี้ไปแล้ว
ดังนั้นเขาจึงไปยังทะเลราตรีสีเลือดมันเป็นพื้นที่ที่อันตรายมาก คงไม่มีใครคิดว่าเขาจะมาที่นี่ และมันค่อนข้างไกลจากทวีปเฟยหม่าและแม้แต่กองกำลังที่ตามล่าเขาอยู่มาพบพวกเขาเข้า คนเหล่านั้นก็คงไม่สามารถไล่จับเขาได้ในเวลาสั้นๆ
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงท้องฟ้าก็มืดสนิท เมฆดำบนท้องฟ้าก็ค่อยๆมีฟ้าผ่าถล่มลงมา และเมื่อเจียงอี้พักฟื้นเสร็จแล้ว เขาก็ใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์มองไปรอบๆและโล่งใจที่พบว่าไม่มีใครไล่ตามเขามาแถวๆนี้
ส่วนชิงหยีก็ทำอาหารจากสัตว์ทะเลที่นางจับได้จากทะเลพวกเขาไม่ได้ทานอาหารดีๆมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ดังนั้นเจียงอี้จึงรีบกินโดยไม่พูดอะไรเลย ส่วนเฟิ่งหลวนและชิงหยีเองก็เห็นว่าเขาไม่ค่อยสบอารมณ์นัก พวกนางจึงไม่ได้ถามอะไรเขาและพากันกินอาหารกันเงียบๆ
ปัง!
เจียงอี้โยนกระดูกออกจากกระโจมก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าที่น่ารักทั้งสองก่อนที่จะยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า“เฟิ่งเอ๋อร์ ชิงหยีน้อย ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปยังทวีปเฟิ่งหมิงพรุ่งนี้ เพราะหากพวกเจ้ายังติดตามข้าต่อไป พวกเจ้าอาจจะตายก็ได้”