เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 629 คนที่จะคุกเข่า
“ยอมแล้ว?”
เจียงอี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยส่วนเฟิ่งหลวนก็กำลังบินไปคว้าร่างของเจียงอี้ที่กำลังร่วงลงมา เมื่อได้ยินคำพูดของมังกรวารีสีทอง พวกเขาทั้งสองก็มองหน้ากันและรู้สึกแปลกๆไปโดยสัญชาตญาณ
พวกที่แข็งแกร่งทั้งหมดนั้นค่อนข้างมีศักดิ์ศรีและมีลักษณะนิสัยที่ไม่ค่อยยอมใครพวกเขาจะยอมตายเสียดีกว่าที่จะกลายเป็นทาส
ในเมื่อมังกรวารีสีทองสามารถบ่มเพาะพลังจนกลายเป็นจักรพรรดิอสูรและกลายเป็นเจ้าทะเลราตรีสีเลือดได้แล้วมันจะยอมจำนนต่อมนุษย์จริงๆหรือ? แล้วยังเป็นมนุษย์สองคนที่อ่อนแอกว่าเขาอีก?
“ฮึ่มยังพยายามจะเสแสร้งก่อนตายอีกหรอ ตายซะเถอะ”
เจียงอี้ไม่เชื่ออย่างแน่นอนเขาได้ปะทะกับจักรพรรดิเงือกและจักรพรรดิอสูรชือมาแล้ว และพวกเขาเหล่านั้นเลือกที่จะตายดีกว่ายอมจำนน มังกรวารีตนนี้จะต้องแสร้งทำเป็นยอมจำนนและเจียงอี้ก็คงจะไม่หลงกลมันแน่ๆ เขาควบคุมการโจมตีดวงจิตวิญญาณอย่างโหดเหี้ยมต่อไปและฟาดฟันดวงจิตวิญญาณของมังกรวารีเป็นชิ้นๆ
“ยอมแล้วยอมแล้ว ข้ายอมแพ้จริงๆ ข้ายินดีที่จะกลายเป็นสัตว์อสูรของเจ้าตราบใดที่เจ้าไม่สังหารข้า” มันคำรามด้วยน้ำเสียงวิงวอนและสิ้นหวัง ส่วนความเจ็บปวดที่มันแสดงออกมาก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เสแสร้งจริงๆ
เจียงอี้และเฟิ่งหลวนมองหน้ากันสัตว์วิญญาณจักรพรรดิอสูรนั้นเป็นผู้ใต้บัญชาที่ถือว่าทรงพลังมาก โดยเฉพาะในทะเลราตรีสีเลือด หากพวกเขามีจักรพรรดิอสูรแห่งท้องทะเลได้มันก็จะช่วยให้พวกเขาซ่อนตัวและหลบหนีการตามล่าได้อย่างง่ายดาย
จักรพรรดิอสูรตนนี้ไม่รู้ถึงการโจมตีหรือการป้องกันการโจมตีดวงจิตวิญญาณเลยและเจียงอี้ก็ค่อนข้างมั่นใจ เมื่อเฟิ่งหลวนมาใกล้เขาแล้ว เขาก็สามารถนำนางกลับไปในราชวังจักรพรรดิได้ทุกเมื่อ และใช้วิชาหลีกสวรรค์หนีไปได้ ดังนั้นเขาจึงทำให้พลังของการโจมตีด้วยดาบวิญญาณลดลงและจากนั้นเจียงอี้ก็ตะโกนออกมาว่า “เจ้าจะยอมจำนนหรือ? แล้วเจ้าจะจำนนอย่างไรล่ะ?”
เมื่อมังกรวารีสีทองสัมผัสได้ว่าการโจมตีดวงจิตวิญญาณเบาลงเล็กน้อยเขาก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดและรีบตอบว่า “ท่านใต้เท้า อย่าโจมตีข้า ข้าจะมอบผนึกแห่งดวงจิตให้ท่านและกลายเป็นสัตว์วิญญาณของท่าน”
“ผนึกแห่งดวงจิต?”
เจียงอี้และเฟิ่งหลวนต่างพากันงุนงงศาสตร์วิชาผนึกแห่งดวงจิตนั้นมีไว้เฉพาะกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถึงสัตว์อสูรตนนี้อาจจะเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่เขาจะเรียนรู้วิชาผนึกแห่งดวงจิตได้อย่างไรกัน?
ดังนั้นเจียงอี้ก็เลยคาดเดาว่ามังกรวารีสีทองตัวนี้กำลังหลอกเขาอีกครั้งและมันทำให้เขาโกรธเขาจึงปลดปล่อยพลังไปควบคุมดาบวิญญาณอย่างสุดกำลังและตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าเป็นปีศาจทะเลแล้วเจ้าจะรู้วิชาผนึกแห่งดวงจิตได้อย่างไร? นี่เจ้ายังพยายามที่จะหลอกลวงข้าอีกหรือ? ตายซะ!”
เมื่อมันสัมผัสได้ถึงพลังของดาบวิญญาณที่มากขึ้นมังกรวารีสีทองก็ดิ้นไปมาอย่างเจ็บปวด และใช้กำลังทั้งหมดที่มีแผดเสียงออกมาว่า “วะ.. ไว้ชีวิตข้าเถอะ ท่านใต้เท้า!….นายคนเก่าของข้าส่งมอบวิชาผนึกแห่งดวงจิตให้แก่ข้า ก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้คืนผนึกแห่งดวงจิตกลับคืนมาให้ข้า…..”
“เอ่อ!”
เจียงอี้และเฟิ่งหลวนจ้องหน้ากันอย่างว่างเปล่าและทันใดนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งมังกรวารีสีทองตนนี้เคยถูกยอดฝีมือทำให้เชื่องมาก่อนและมันก็ได้เรียนรู้วิชาผนึกแห่งดวงจิต ไม่น่าแปลกใจที่มันยอมจำนนเมื่อรู้ว่ามันสู้พวกเขาไม่ได้
สัตว์อสูรก็เหมือนมนุษย์ตราบใดที่พวกเขามีครั้งแรก มันก็ต้องมีครั้งที่สองและสามตามมา
เจียงอี้หยุดการโจมตีดวงจิตวิญญาณแต่ดาบวิญญาณของเขายังคงแล่นอยู่ในทะเลแห่งดวงจิตของจักรพรรดิอสูร จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าเช่นนั้นก็ส่งผนึกแห่งดวงจิตมา อย่าคิดจะทำอะไรตุกติกล่ะ เจ้าน่าจะรู้ว่าดวงจิตวิญญาณของเจ้ากำลังจะสลายไป ตราบใดที่ข้าโจมตีอีกเพียงสองรอบ ดวงจิตวิญญาณของเจ้าจะแตกสลายอย่างแน่นอนและดวงจิตของเจ้าจะสูญสลายไป”
ฮู่ฮู่ววว!
จักรพรรดิอสูรรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็วราวกับลูกเจี๊ยบที่กำลังจิกอาหารอยู่ในขณะที่มันหลับตาพักครู่หนึ่งเจียงอี้ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์จับจ้องไปที่จักรพรรดิอสูรตนนี้และหากเขากล้าทำอะไรแปลกๆ เจียงอี้ก็จะสังหารเขาทันที
บรึฟ!
ครู่ต่อมาจักรพรรดิอสูรก็กลายร่างเป็นมนุษย์ ศีรษะของเขาสว่างไสวไปด้วยแสงสีทองในขณะที่ผนึกแห่งดวงจิตสีทองบินตรงไปที่เจียงอี้
“นี่คือผนึกแห่งดวงจิต!”เฟิ่งหลวนมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มและพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
เจียงอี้ใช้มือข้างหนึ่งคว้าผนึกแห่งดวงจิตเอาไว้และมันก็ค่อยๆหายเข้าไปในฝ่ามือและเข้าไปในดวงจิตวิญญาณของเขาและเมื่อเขาพบว่าดวงจิตของเขาต่อกับมังกรวารีสีทองแล้ว เขาก็เผยสีหน้าร่างเริงทันที จากนั้นเจียงอี้ก็ควบคุมดาบวิญญาณทั้งสามสิบหกเล่มกลับมาที่ทะเลแห่งดวงจิตตัวเอง และเมื่อดูใกล้ๆและเห็นว่าดาบวิญญาณไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย เขาก็ยิ้มกว้าง
หลังจากที่เขารับจักรพรรดิอสูรตนนี้เป็นสัตว์วิญญาณของเขาแล้วความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
“เอาล่ะเจ้ากลับลงทะเลไปพักฟื้นเสียก่อน เมื่ออาการบาดเจ็บของเจ้าใกล้หายแล้วก็กลับขึ้นมาบนเกาะแล้วกัน”
เจียงอี้โบกมือของเขาขณะที่มังกรวารีสีทองก็โค้งคำนับและป้องมือให้เจียงอี้และบินลงไปตามคำสั่งเขาเจียงอี้และเฟิ่งหลวนต่างมองหน้ากันและเผยความพอใจออกมาซึ่งมันเหมือนกับว่าพวกเขาได้รอดพ้นจากอันตรายแล้ว ในครั้งนี้มันเสี่ยงจริงๆ หากเจียงอี้ไม่มีเกราะเมฆาอัคคี เขาก็คงจะเป็นอาหารของจักรพรรดิอสูรตนนี้ไปแล้ว
“นายน้อยดาบวิญญาณของท่านน่าทึ่งนัก ไม่มีจักรพรรดิอสูรตนใดที่จะต้านทานได้เว้นแต่พวกเขาเหล่านั้นจะรู้จักวิธีการใช้งานและป้องกัน”..Aileen-novel
นางมองไปที่เจียงอี้อย่างชื่นชมและพูดต่ออย่างเป็นกังวลว่า“แต่อย่างไรก็เถอะ ตอนที่ท่านปลดปล่อยดาบวิญญาณออกมา ท่านต้องระวังมากกว่าเดิมนะเจ้าคะ อย่าให้มันพังทลายไปเพราะมันอาจจะส่งผลต่อดวงจิตวิญญาณของท่านได้”
“อื้ม!ข้าจะระวัง”
เจียงอี้พยักหน้าหากมียอดฝีมือที่น่าเกรงขามที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง พวกเขาอาจจะทำลายดาบวิญญาณของเขาได้ ดาบวิญญาณเหล่านี้แยกออกจากดวงจิตหลักก็จริง แต่หากมันส่งผลกระทบต่อดวงจิตหลักมันก็จะกลายเป็นหายนะทันที และมันก็เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ใช้มันหากไม่จำเป็นจริงๆ
เขานิ่งไปครู่หนึ่งและมองไปที่เกาะที่อยู่ไกลออกไปและพูดว่า“ไปกันเถอะ พาข้าไปที่เกาะนั้นที”
เฟิ่งหลวนอุ้มเจียงอี้และบินไปยังเกาะนั้นทันใดนั้นนางก็นึกบางสิ่งขึ้นได้และถามด้วยความสงสัยว่า “นายน้อย ทำไมท่านไม่เรียนรู้วิธีการบินล่ะเจ้าคะ?”
“บิน?”
เจียงอี้กระพริบตาด้วยความงุนงงและตระหนักได้ทันทีเขาตบต้นขาตัวเองและหัวเราะออกมาอย่างเขินอาย “ข้าลืมไปว่าการบินนั้นเพียงแค่ต้องปลดปล่อยแก่นแท้พลังออกมา ใช่ไหม?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
เฟิ่งหลวนพยักหน้าและอธิบายว่า“เมื่อยอดฝีมือไปถึงขอบเขตจินกังแล้ว พวกเขาก็จะมีแก่นแท้พลังมากพอที่จะปล่อยออกมาจากเท้าทั้งสองข้าง หลังจากสร้างการอัดแน่นของอากาศแล้วก็จะบินได้อย่างง่ายดาย ข้าเคยสงสัยว่าทำไมนายน้อยจึงไม่บินด้วยตัวเองและข้าก็คิดว่าท่านคงแค่ขี้เกียจบินเพราะท่านย้ายร่างฉับพลันได้….”
“ฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้หัวเราะอย่างเขินอายในทวีปเทียนชิงไม่มีใครสอนเขาในเรื่องนี้ เมื่อตอนที่เขาอยู่ขอบเขตจินกัง เขาก็มีสัตว์อสูรหยาจื้อและมีความสามารถในการย้ายร่างฉับพลัน เขาจึงไม่เคยคิดที่จะบินเลย แต่เมื่อเขาได้ยินเฟิ่งหลวนอธิบาย เขาก็รู้สึกสนใจและทำตามคำชี้แนะของเฟิ่งหลวนและเรียนรู้วิธีการบิน
ฟรึ่บ!
เจียงอี้ฉลาดมากและเขาก็จับประเด็นได้ภายในเวลาไม่นานจากนั้นเขาก็ขอให้เฟิ่งหลวนปล่อยเขาในขณะที่ขาของเขาสาดส่องไปด้วยแสงเล็กน้อย ร่างกายของเขาสั่นสะเทือนในขณะที่เขาเริ่มบินไปข้างหน้า
แต่หลังจากที่บินไปได้ระยะหนึ่งเขาก็สูญเสียการทรงตัวเพราะขาดการควบคุมและร่วงหล่นลงไปเหมือนลูกปืนยักษ์และตกลงไปในน้ำ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”เฟิ่งหลวนหัวเราะออกมาพร้อมกับร่างกายที่บอบบางของนางพลันสั่นเทาไปด้วย
ฟรึ่บ!
เจียงอี้โผล่ขึ้นมาจากน้ำและควบคุมร่างกายให้บินอีกครั้งเขาจ้องมองไปที่เฟิ่งหลวนและพูดว่า “เจ้ากล้าหัวเราะเยาะนายน้อยของเจ้างั้นรึ? คอยดูเถอะ คืนนี้ในตอนที่ข้า….เจ้า เจ้าจะร้องขอความเมตตาเพียงใด”
“ฮิฮิฮิ!”
เมื่อเฟิ่งหลวนเห็นเจียงอี้เซไปมาขณะที่เขาต้องการที่จะเข้ามาจับนางร่างของนางก็สาดแสงและบินไปยังเกาะพร้อมกับทิ้งเสียงหัวเราะเอาไว้ นางถึงกับล้อเลียนอีกว่า “นายน้อย เฟิ่งเอ๋อร์และชิงหยีรู้จักการร่วมหอมากมาย [1] ‘ไข่มุกในกาบหยก’ของชิงหยีนั้นยอดเยี่ยมมาก ไม่แน่หรอกนะเจ้าคะว่าใครกันแน่ที่จะเป็นคนร้องขอความเมตตา”
“บ้าเอ้ย…”
ร่างของเจียงอี้สั่นเทาในขณะที่เขาเพิ่มแก่นแท้พลังตามเฟิ่งหลวนไปดวงตาของเขาเปล่งประกายในขณะที่ถามนางว่า “แล้วของเฟิ่งเอ๋อร์ล่ะ?”
เฟิ่งหลวนหันกลับมายิ้มให้พร้อมกับดวงตาที่น่าหลงใหลของนางและส่งข้อความเสียงมาให้เขาอย่างเขินอาย“เฟิ่งเอ๋อร์รู้จักพวก [1]‘ต้อนรับมังกร’และ[1]‘ธิดาเป่าขลุ่ย’ นายน้อยรอคุกเข่าคืนนี้ได้เลยเจ้าค่ะ….”
[1]ทั้งหมดนี้เป็นท่าร่วมรักบนเตียงที่ถูกแต่งขึ้นมาให้คล้ายคลึงกับท่าการร่วมรัก