เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 632 เมืองจักรพรรดิอรหัง
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 632 เมืองจักรพรรดิอรหัง
ท่านโหร!
ทวีปจักรพรรดิบูรพามีเผ่าพันธุ์ที่พิเศษมากซึ่งพวกเขาจะมีกำลังรบที่อ่อนแอและมีประชากรอยู่ประปราย แต่เผ่าพันธุ์นี้ครอบครองเมืองที่มีชื่อเสียงล่ำลืออย่างเมืองโหราและประมุขของพวกเขานั้นก็อยู่เพียงขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดเท่านั้น
และมันก็มีเรื่องที่แปลกกว่านั้น
เมืองโหราอยู่ได้มาอย่างยาวนานนับเจ็ดแสนปีในใจกลางทวีปและเจ้าเมืองก็เป็นเผ่าพันธุ์โหรมาโดยตลอดไม่ว่าฝ่ายศัตรูจะทรงพลังเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าโจมตีเมืองนี้ เพราะว่าพวกเขามีความสามารถอันทรงพลังนั่นก็คือโหราศาสตร์!
ตราบเท่าที่จอมยุทธผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่และหากเผ่าพันธุ์โหรจับจ้องกลิ่นอายจิตวิญญาณของจอมยุทธผู้นั้นไปแล้วเหล่านักโหราศาสตร์จะสามารถใช้โหราศาสตร์เพื่อติตตามตำแหน่งศัตรูและไล่ล่าไปจนกว่าจะตามเขาทัน!
ด้วยเหตุนี้นักโหราศาสตร์จึงได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ตระกูลใหญ่ๆและหากผู้ใดกล้าสังหารทายาทของพวกเขา พวกเขาก็จะใช้โหรติดตามคนผู้นั้นจนกว่าพวกเขาจะตาย
ส่วนปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์นั้นพวกเขามีชีวิตที่น่าพิศวงยิ่งกว่านั้น!
ปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์สามารถสร้างค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ที่แปลกประหลาดได้ซึ่งมีรูปแบบเต๋ามิติอยู่ในค่ายกลนั้นและสามารถนำคนทั้งกลุ่มเดินทางข้ามห้วงอากาศได้ทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นมีเมืองมากมายและแต่ละเมืองจะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่แล้ว แต่ทวีปนี้ใหญ่มากและมีพื้นที่เก่าแก่มากมายที่ถูกทิ้งร้างไว้เฉยๆ
แดนเทียนชิงมีขนาดใหญ่มากและหากไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายใดๆพวกเขาจะต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีในการเดินทางไปในแต่ละที่
ปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์พิเศษอะไรแต่มันเป็นเรื่องยากมากๆที่จะบ่มเลี้ยงคนเช่นนี้ได้ ปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์แต่ละคนล้วนเป็นผู้ที่ตระกูลหลักต่างๆอยากได้มาร่วมตระกูล เพราะอย่างไรเสีย หากเราสามารถเดินทางผ่านห้วงอากาศไปพร้อมกับคนจำนวนมากได้ มันก็จะประหยัดศิลาสวรรค์ได้มากมายอย่างแน่นอน
“ท่านโหร?ปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์?”
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินคำขอของเสียเฟยดวงตาของเขาก็เป็นประกายสายฟ้าอีกครั้ง เขาแผ่กลิ่นอายออกมาอย่างรุนแรงในทันทีในขณะที่บรรยากาศของปราสาทก็เปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็กวาดตามองไปที่เสียเฟยและครุ่นคิดก่อนที่จะถามว่า “หญ้ามังกรยาจกถูกฉกไปหรือ? อธิบายให้ข้าฟังทีสิ”
เสียเฟยถอนหายใจอย่างโล่งอกและอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการล่าสมบัติในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับอย่างรวดเร็วเขาได้สมบัติมาสองชิ้นและเป็นคนแรกที่ถูกย้ายออกมาจากราชวัง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงตระกูลเสียลดน้อยลงไปนัก
แต่เจียงอี้สังหารเสียจวินไปซึ่งมันทำให้เขาอับอายมากหากเขาไม่ได้สังหารเจียงอี้และช่วงชิงหญ้ามังกร, วิชาหลีกสวรรค์และเกราะเมฆาอัคคีกลับมา เขาคงจะพบว่าตัวเองต้องกล้ำกลืนกับความอัปยศอดสูนี้เอาไว้อย่างยากเย็น
หลังจากที่ชายวัยกลางคนฟังคำอธิบายของเสียเฟยแล้วเขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะโยนป้ายออกมาและพูดว่า “พาปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์และนักโหราศาสตร์ไปกับเจ้าคนหนึ่ง และจงนำผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยอีกคนพร้อมกับทหารจักรพรรดิหมู่มารอีกสามสิบคน และจงจำไว้ด้วยว่า….อย่าทำให้ชื่อเสียงตระกูลเราตกต่ำลง หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์และนักโหราศาสตร์ เจ้าจะต้องยอมรับโทษกฎของตระกูลเรา”
“ผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์!”..Aileen-novel
เสียเฟยเผยสีหน้าดีใจออกมาผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นยอดฝีมือสูงสุดของตระกูลเสียและมีพวกเขาอยู่เพียงแค่ร้อยคนเท่านั้น พวกเขาทุกคนมีพลังที่จะต้องทำให้ท้องฟ้าสะเทือนไปทั่วและเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะอยู่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเรียกใช้งานผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์ได้และตระกูลเสียของพวกเขาสามารถเรียกใช้งานได้เพียงไม่เกินห้าคนเท่านั้นแน่นอนว่าตระกูลเสียมีสัตว์ประหลาดเก่าแก่ที่น่ากลัวมาก แต่แม้แต่พ่อของเขาก็ยังไม่สามารถใช้งานพวกมันได้ มีเพียงปู่ของเขา จักรพรรดิแห่งหมู่มารเท่านั้น ที่สามารถสั่งพวกมันได้
“ขอบคุณท่านพ่อขอรับ!”
หลังจากนั้นเสียเฟยก็เดินออกไปในขณะที่ใบหน้าของเขากลับมาสงบอีกครั้ง เขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายซึ่งทำให้สาวใช้มากมายต่างพากันหลงใหลในตัวเขา เขามองไปยังทิศตะวันตกด้วยจิตสังหารที่วูบผ่านเข้ามาในดวงตาและพูดออกมาอย่างขุ่นเคือง “ไอ้เด็กหัวขโมย รอก่อนเถอะ เจ้าอาจจะรู้วิชาหลีกสวรรค์ แต่ข้าจะตามเจ้าจนเจอในไม่ช้าและฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆซะ”
….
“ท่านปู่เข้าสู่สันโดษ?ท่านพ่อไปยังเมืองจักรพรรดิลี้ลับ?”
ในขณะเดียวกันหวู่นี่ก็กลับไปถึงเมืองจักรพรรดิอุดร แต่เขาก็พบว่าพ่อเขาไม่อยู่ที่นี่ จากนั้นเขาก็รีบสั่งผู้อาวุโสสองคนให้ไปตรวจสอบข้อมูลของเจียงอี้มาให้เขา
ในเวลาเดียวกันเขาก็ขอให้คนส่งข้อความถึงพ่อของเขาที่เมืองจักรพรรดิลี้ลับผู้ซึ่งตกลงที่จะให้ใช้นักโหราศาสตร์และปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์เพื่อไล่ล่าเจียงอี้ เจียงอี้ได้พยายามใช้คนอื่นมาสังหารเขาซึ่งแผนการนั้นก็ล้มเหลวไป แต่มันก็ทำให้หวู่นี่อับอายมาก และยิ่งไปกว่านั้น เขายังปรารถนาที่จะครอบครองหญ้ามังกรยาจก, วิชาหลีกสวรรค์และเกราะเมฆาอัคคีด้วย
เมื่อถูหลงกลับไปถึงเมือจักรพรรดิแห่งมวลอสูรเขาก็ให้คนไปหาข้อมูลของเจียงอี้ในทันทีเช่นกันและเรียกนักโหราศาสตร์และปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์มาเช่นกัน ทั้งยอดฝีมือตระกูลเสียทั้งสามสิบคนและผู้เชี่ยวชาญของจักรวรรดิเฟยหม่าต่างก็ตามหาเจียงอี้และพวกเขายังปล่อยค้างคาววิญญาณออกมามากมายแต่ก็ยังคว้าน้ำเหลวอยู่ วิชาหลีกสวรรค์ของเจียงอี้นั้นน่าทึ่งมากซึ่งแม้แต่ถูหลงก็ยังสนใจมันจริงๆ ทักษะวิชาระดับเทพเช่นนี้ต้องอยู่ในมือของเก้าตระกูลจักรพรรดิให้ได้
ด้านเจี้ยนอู๋อิงอาจจะยังอยู่ที่เมืองหลวงของเฟยหม่าแต่เขาก็ส่งข้อความไปยังเมืองจักรพรรดิแห่งศาสตราและถึงหูจักรพรรดิแห่งศาสตราแล้วจากนั้นจักรพรรดิแห่งศาสตราได้ส่งผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์, นักโหราศาสตร์, ปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์และผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนไปยังเมืองหลวงของเฟยหม่า เขาโปรดปรานหลานชายของเขามากและตราบใดที่มันไม่ได้มากเกินไป เขาก็จะไม่ปฏิเสธคำขอของหลานชายเขา
ข่าวนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในทวีปจักรพรรดิบูรพาซึ่งก่อให้เกิดความโกลาหลและสร้างชื่อเสียงให้กับนายน้อยเจียงด้วยแต่ก็มีหลายคนคิดว่าเจียงอี้นั้นเหมือนคนที่ตายไปแล้ว เพราะด้วยความแข็งแกร่งของเก้าตระกูลจักรพรรดิมันก็ไม่จำเป็นต้องมีคำถามใดๆอีก! หากเขาทำให้เสียเฟย, หวู่นี่และเจี้ยนอู๋อิงขุ่นเคือง คนผู้นั้นก็จะต้องตาย
ด้านหยิ่นรั่วปิงและหลิงชือหย่าเองก็กลับไปยังตระกูลของพวกนางและพบว่าท่านพ่อของพวกนางไปยังเมืองจักรพรรดิลี้ลับและพวกนางทั้งสองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะไปบอกจักรพรรดิเซวี่ยนและจักรพรรดิหยิ่นได้ และพวกนางก็ไม่มีอำนาจในการรวมกำลังพลใดๆ พวกนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะส่งคนไปตรวจสอบเจียงอี้และติดตามสถานการณ์ของเขาในทันที
ณเมืองจักรพรรดิอรหัง…….
เมื่ออีฉานปรากฏตัวขึ้นที่จัตุรัสเมืองทั้งเมืองก็ตกอยู่ในความโกลาหล ในที่สุดทายาทรุ่นที่สามที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตระกูลอีและหลานสาวคนโปรดของจักรพรรดิอรหังก็กลับมาแล้ว
“น้องสาม!”
“คุณหนู!”
ทางตอนเหนือของเมืองจักรพรรดิอรหังนั้นเป็นยอดเขายักษ์เมื่อร่างของอีฉานปรากฏตัวขึ้นในค่ายกลเคลื่อนย้าย ผู้คนหลายสิบคนก็รีบบินมาจากยอดเขานั้นและตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นจากไกลๆ
อีฉานสวมผ้าคลุมหน้าอยู่จึงไม่มีใครเห็นสีหน้าของนาง แต่ดวงตาของนางมีน้ำตาที่คลออยู่ในนั้น นางโค้งคำนับด้วยความเคารพและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงที่น่ารักของนางดังก้องออกมา “พี่สอง, ผู้อาวุโส”
คนตรงหน้าเหล่านี้คือเด็กหนุ่มรูปงามที่บินมาด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดเขารีบดึงมือของอีฉานและพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักว่า “น้องสาม เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานมาหลายปี รีบขึ้นไปบนเขากันเถอะ ท่านแม่เจ้ากำลังรอเจ้าอยู่นะ”
“อื้ม!”
นางพยักหน้าและรีบบินไปยังภูเขาพร้อมกับคนเหล่านี้และในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงตำหนักเล็กๆที่ไม่มีการตกแต่งใดๆ ด้านนอกตำหนักก็มีหญิงสาวงดงามและคนกลุ่มหนึ่งที่รอต้อนรับอยู่ เมื่อหญิงสาวผู้นั้นเห็นอีฉาน ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยน้ำตาขณะที่นางยิ้มอย่างภาคภูมิใจและพูดว่า “ในที่สุดองค์หญิงตัวน้อยของตระกูลเราก็กลับมาแล้ว!”
“ท่านแม่!”
แม้ว่าอีฉานจะเข้มแข็งเพียงใดแต่นางก็ยังไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ นางเดินไปตรงหน้าหญิงสาวผู้นั้นและคุกเข่าลงพร้อมก้มคำนับสามครั้ง จากนั้นนางก็ยิ้มทั้งน้ำตาขณะที่ยืนขึ้นและถามว่า “ท่านแม่ ลูกไม่รักดีเอง ท่านเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ?”
หญิงสาวผู้นั้นยิ้มแย้มและตอบว่า“ทุกอย่างเรียบร้อยดี แม่เพียงแค่คิดถึงฉานเอ๋อร์ตัวน้อยของแม่ก็เท่านั้น……”
“ท่านแม่!”
อีฉานจับมือของหญิงสาวผู้นั้นก่อนที่นางจะนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นได้จากนั้นนางก็มองไปยังหญิงงามผู้นั้นและถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านแม่ ท่านรู้จักอีเพียวเพียวและหยูเวินหรือไม่เจ้าคะ?”