เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 633 ถึงวัยที่นางจะต้องออกเรือนแล้ว
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 633 ถึงวัยที่นางจะต้องออกเรือนแล้ว
“อีเพียวเพียว?หยูเวิน?”
หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว“ฉานเอ๋อร์ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ได้ยินชื่อเหล่านี้ ทำไมเจ้าถึงถามในตอนที่กลับมาเลยล่ะ? มันสำคัญมากเลยหรือ?”
อีฉานพยักหน้าเมื่อนางนึกถึงสีหน้าที่ผิดหวังและอ้างว้างของเจียงอี้หลังจากที่เขาได้ยินว่านางไม่รู้จักคนเหล่านี้ จากนั้นนางจึงรีบถามต่อว่า “แล้วท่านปู่กับท่านพ่ออยู่หรือไม่เจ้าคะ? นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก”
“ท่านปู่เจ้าเข้าสู่สันโดษไปตั้งแต่ปีก่อนเขาไม่ให้ผู้ใดเข้าไปกวนเลย”
หญิงงามอธิบายอย่างนุ่มนวลและมองไปทางทิศใต้และพูดต่อว่า“ท่านพ่อของเจ้าออกเดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิลี้ลับเมื่อสองวันก่อน และสมาชิกตระกูลหลายคนก็ถูกส่งไปที่นั่นด้วย มีข่าวลือว่าราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับปรากฏขึ้นที่หุบเขาลี้ลับ โอ้ ใช่….ฉานเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าเจ้าพยายามไปตามล่าสมบัติที่ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับหรอกหรือ? แล้วเหตุใดราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับจึงปรากฏที่หุบเขาลี้ลับกัน?”
“จริงด้วยน้องสาม!”
หนุ่มน้อยถามอย่างสงสัยว่า“ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าไปตามล่าสมบัติกันหรอกหรือ? ทำไมราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับถึงได้มาปรากฏอยู่ที่หุบเขาลี้ลับกัน?”
“โอ้”
ดวงตาที่งดงามของอีฉานกระพริบไปมาขณะที่นางพึมพำ“หรือมันเป็นเพราะเจียงอี้? จะมีอะไรเปลี่ยนไปกับราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับอีกไหมนะ? หากราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับกลับมายังหุบเขาลี้ลับแล้ว มันจะยอมให้คนอื่นเข้าไปตามล่าสมบัติหรือไม่นะ?”
ดวงตาของอีฉานกระรพิบอยู่หลายครั้งและทันใดนั้นนางก็พูดออกมาว่า“ท่านแม่ ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูด และข้าจะไปตามหาท่านพ่อที่เมืองจักรพรรดิลี้ลับ แล้วก็…ท่านช่วยข้าหาดูได้ไหมเจ้าคะว่าตระกูลนี้มีคนที่ชื่ออีเพียวเพียวและหยูเวินหรือไม่?”
หญิงสาวผู้นั้นมองไปที่อีฉานและตำหนินางว่า“เจ้าเพิ่งจะกลับมาและจะออกไปอีกแล้วหรอ? เจ้าไม่อยากอยู่กับแม่หรือ?”
“ท่านแม่!”
อีฉานจับมือของหญิงงามนางนั้นและกล่าวว่า“มันเป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆเจ้าค่ะ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อาจจะเกี่ยวข้องกับตระกูลของเรา และเด็กหนุ่มผู้นั้นก็เป็นอัจฉริยะในชั่วอายุนี้และอาจถูกไล่ล่าโดยตระกูลใหญ่ต่างๆ หากตระกูลเราช่วยเขาได้ เราอาจจะได้ยอดฝีมือท้าทายสวรรค์มาก็ได้นะเจ้าคะ”
“เด็กหนุ่ม?”ดวงตาของหญิงงามสว่างไสวขึ้นขณะที่นางเหลือบมองอีฉานอยู่หลายครั้งและถามว่า “เด็กหนุ่มนั่นอายุเท่าใดกัน? ความแข็งแกร่งของเขาเป็นเช่นไร? แล้วภูมิหลังของเขาล่ะ? นิสัยเขาล่ะ? แล้วเขาหล่อเหลาหรือเปล่า….?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงนั้นหัวเราะออกมาและพูดว่า“ท่านแม่ ท่านน่าจะรู้ถึงความภาคภูมิใจของน้องเล็กของเรานะขอรับ ชายที่นางปลาบปลื้มจะด้อยไปกว่านางได้อย่างไร?”
นัยน์ตาของอีฉานเป็นประกายและเต็มไปด้วยความเขินอายขณะที่นางกระทืบเท้าและพูดว่า“ท่านแม่, พี่ใหญ่ มันไม่ใช่อย่างที่พวกท่านคิดนะ เห้อ….ข้าไม่คุยกับพวกท่านแล้ว ข้าจะไปหาท่านพ่อ”
เมื่อนางพูดจบอีฉานก็คำนับสาวงามและบินลงจากภูเขาและหายไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว
“เห้อคงถึงวัยที่นางจะต้องออกเรือนแล้วสินะ!”
หญิงงามผู้นั้นถอนหายใจขณะที่ใบหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งรักนางมองไปไกลลิบตาและกลับมาหน้าบึ้งตึงพร้อมกับพึมพำว่า “ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าเด็กหนุ่มนั่นคือผู้ใดกันที่ทำให้ฉานเอ๋อร์หลงใหล? มันคงไม่ง่ายนักหรอกนะที่จะแต่งเข้ามาในตระกูลอีของเรา”
….
ที่เมืองจักรพรรดิลี้ลับเกิดความโกลาหลเป็นอย่างมากและราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับก็ปรากฏขึ้นที่หุบเขาลี้ลับ
หัวหน้าตระกูลรุ่นสองของเก้าตระกูลจักรพรรดิอยู่ที่นี่กันหมดแต่จักรพรรดิทั้งเก้าไม่ได้อยู่ที่นี่ หัวหน้าตระกูลเหล่านี้มาที่นี่เพื่อสำรวจล่วงหน้าเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ หากพวกเขาไม่สามารถเปิดราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับได้ เช่นนั้นคนเหล่านี้ก็คงจะเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง
จักรพรรดิลี้ลับเคยทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้ว่าหากว่าราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับปรากฏอยู่ที่หุบเขาลี้ลับแล้วล่ะก็มันก็หมายความว่าราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับกำลังเริ่มมองหาเจ้าของคนใหม่ ผู้ที่มีชะตาลิขิตจะได้รับการยอมรับจากราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับโดยอัตโนมัติ ส่วนผู้ที่ไม่ได้ถูกลิขิตไว้ก็ไม่ควรฝืนไปบังคับให้มันเป็นของตัวเอง
คำพูดนี้ชัดเจนมากสมบัติที่สำคัญเหล่านี้จะแสวงหาถึงผู้มีชะตาลิขิตเอาไว้เท่านั้นและจะต้องไม่ใช่การฝืนเอาไป ผู้เป็นเจ้าของราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับนั้นถูกกำหนดโชคชะตาเอาไว้แล้ว
แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ….!
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้เก้าตระกูลจักรพรรดิได้ส่งคนของพวกเขาไปยังภูเขาแต่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนจะไปถึงเพียงแค่ครึ่งเขาเท่านั้นและไม่สามารถเห็นได้แม้แต่กลิ่นอายของราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ
ถึงกระนั้นเก้าตระกูลจักรพรรดิก็ไม่ยอมแพ้และปกปิดข้อมูลของราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับที่ปรากฏบนหุบเขาลี้ลับ หัวหน้าตระกูลต่างๆของเก้าตระกูลจักรพรรดิกำลังคิดหาทางที่จะปีนขึ้นไปยังยอดเขาและพวกเขายังรวบรวมลูกหลานที่มีพรสวรรค์อยู่เงียบๆเพื่อปีนขึ้นไปบนภูเขาเพื่อลองเสี่ยงดวงดูว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นผู้ที่ถูกกำหนดไว้หรือไม่
ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในปฐพีนี้….ไอรีนโนเวล
หากไม่พูดถึงสมบัติทั้งหมดเพียงแค่ชุดเกราะลี้ลับและกระบี่ลี้ลับของจักรพรรดิลี้ลับที่อยู่ในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ ผู้ที่ได้รับมรดกนั้นก็จะมีความแข็งแกร่งในการต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เพราะมันคือสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน!
ในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับยังมีสมบัติอีกมากมายเพียงใดกัน?ไม่มีใครรู้ได้ และแม้ว่าจะไม่มีสมบัติใดๆเหลืออยู่เลย แต่ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับก็ยังเป็นสมบัติล้ำค่าในตัวมันเองอยู่ดี ตระกูลใดก็ตามที่ได้ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับไปครอง มันก็จะชุบเลี้ยงยอดฝีมือขึ้นมาได้เรื่อยๆและทำให้ลูกหลานของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นได้
เมื่ออีฉานมาถึงเมืองจักรพรรดิลี้ลับแล้วนางก็ได้รู้ว่าพ่อของนางอยู่กลางภูเขาลี้ลับ เมื่อนางต้องการที่จะปีนไปยังกลางเขา นางก็ตระหนักได้ว่า….นางไม่สามารถไปถึงตรงนั้นได้ และไม่ใช่เพียงแค่นางเท่านั้นแต่ดูเหมือนว่าไม่มีหญิงสาวจากตระกูลใดที่ปีนไปยังเขาลี้ลับได้เลย
ดูเหมือนว่าราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับนี้จะกีดกันสตรีโดยสัญชาตญาณบางทีจักรพรรดิลี้ลับอาจตัดสินใจเอาไว้ว่าบุคคลที่มีโชคชะตาไม่ควรเป็นหญิง อีฉานจึงรู้สึกหมดหนทางและหุบเขาลี้ลับนั้นมีอาคมยับยั้งที่ทำให้นางส่งข้อความไปถึงพ่อของนางไม่ได้ นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากรออยู่ที่เมืองจักรพรรดิลี้ลับ
“เจียงอี้….เสียเฟยและคนอื่นๆกำลังไล่ล่าเจ้าแล้วพวกเขายังนำปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์และนักโหราศาสตร์ไปด้วย มันคงเป็นชะตาของเจ้าแล้วหากเจ้าสามารถรอดมาได้”
หลังจากที่มองหุบเขาลี้ลับที่สูงตระหง่านขึ้นไปเหนือก้อนเมฆอีฉานก็ได้แต่ถอนใจและหันไปทางใต้ นางได้รับข่าวมาแล้วว่าเสียเฟยและคนอื่นๆกำลังมุ่งหน้าไปยังทะเลราตรีสีเลือดและอาจจับตำแหน่งเจียงอี้ได้
…
ที่หุบเขาอันห่างไกลทางตอนใต้ของทวีปจักรพรรดิบูรพาชายชราผู้สวมเสื้อคลุมสีขาวนั่งอยู่ที่พื้นและร่างของเขาผู้นั้นก็เปล่งแสงหลากสีออกมา มันมีอักขระลึกลับที่ไหลเวียนอยู่รอบๆซึ่งทำให้เขาดูลึกลับเป็นอย่างมาก
ในบริเวณใกล้เคียงกับผู้อาวุโสในชุดคลุมสีขาวมียอดฝีมือสามสิบคนที่มีกลิ่นอายอันทรงพลังคอยคุ้มกันอยู่ สามคนในนั้นคอยสอดส่องด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา หากผู้ใดกล้าเข้ามาใกล้ คนเหล่านั้นจะถูกสังหารตายอย่างแน่นอน
ข้างผู้อาวุโสมีบุคคลสามคนหนึ่งในนั้นเป็นหนุ่มรูปงามที่สวมชุดจีนสีแดง
ส่วนชายชราที่อยู่ข้างๆเป็นชายชราผู้บอบบางซึ่งเขาดูซูบผอมจนเหมือนมีเพียงหนังหุ้มกระดูกของเขาอยู่ส่วนมือของเขาก็เหมือนกิ่งไม้เหี่ยวๆและเขาก็ถือไม้ค้ำสีเขียวในขณะที่คอยยืนมองอยู่เงียบๆ
ส่วนชายอีกคนสวมเสื้อคลุมสีขาวและอายุราวๆสี่สิบปี
บรึฟ!
ชายชราที่นั่งอยู่บนพื้นลืมตาขึ้นในขณะที่แสงหลากสีของเขาหายไปและอักขระก็แทรกซึมกลับเข้าไปในร่างของเขาขณะที่เขามองไปทางตะวันตกเฉียงใต้และกล่าวว่า “นายน้อยเฟย เขาอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้และยังอยู่อีกไกลนัก ข้ายังไม่สามารถระบุตำแหน่งของเขาได้ขอรับ”
“อื้มผู้อาวุโสอู ท่านทำได้ดีมากแล้ว!”
ชายหนุ่มป้องมือและพูดกับชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆทันที“ข้าคงต้องรบกวนปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
“นายน้อยเฟยกล่าวเกินไปเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าควรจะทำอยู่แล้ว”
ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างประจบขณะที่ใบหน้าของเขากลับไปสงบนิ่งอย่างรวดเร็วฝ่ามือของเขาสว่างขึ้นด้วยแสงสีขาวและปรากฏอักขระลึกลับคล้ายกับชายชราที่สวมชุดขาว
ฝ่ามือของเขากำลังสร้างผนึกในขณะที่เขาพุ่งเข้าไปในความว่างเปล่าด้านหน้ากระแสแห่งแสงนี้น่าพิศวงนักและมันไม่ได้พุ่งไปยังห้วงอากาศที่ว่างเปล่าในทันที แต่มันกลับค่อยๆไหลกลับมาอย่างช้าๆแทน
หนึ่งสาย,สิบสาย….ร้อยสาย!
ปรมาจารย์ขบวนทัพศักดิ์สิทธิ์ปล่อยกระแสแสงออกมาอย่างต่อเนื่องจนท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงสีขาวและแสงสีขาวนับร้อยสายนั้นถูกถักทอสลับกันจนเกิดเป็นค่ายกลขนาดใหญ่อันน่าพิศวง
แสงสีขาวทุกเส้นค่อยๆไหลไปพร้อมกับอักขระและเปล่งประกายเจิดจ้าและกลิ่นอายที่น่าเกรงขามปรากฏขึ้นมาจากค่ายกลนั้นซึ่งมันทำให้ยอดฝีมือที่อยู่ใกล้ๆทั้งหมดรับรู้ได้ถึงแรงกดดัน
ยอดฝีมือต่างพากันจับจ้องไปที่ค่ายกลประหลาดซึ่งมันค่อยๆก่อตัวขึ้นและพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงร่องรอยของรูปแบบเต๋ามันไม่เชิงว่าจะเป็นค่ายกล แต่มันน่าจะเป็นเหมือนเส้นทางลึกลับที่เกิดจากการควบรวมของพลังงานฟ้าดินมากกว่า