เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 650 เกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 650 เกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง
“ถ้าข้ารู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้ข้าไถมันจากจูสุยมาสักหน่อยก็ดีสิ”
เจียงอี้ไม่เคยออกไปเผชิญโลกภายนอกทวีปและไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาจึงใช้ศิลาสวรรค์แลกเปลี่ยนกันตอนนี้เขาไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว เขาย้ายเฟิ่งหลวนออกมาจากราชวังจักรพรรดิและถามว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้ามีศิลาสวรรค์เหลืออยู่บ้างไหม? การจะเข้าไปที่นี่ได้นั้นจำเป็นต้องใช้ศิลาสวรรค์คนละสองพันก้อน และข้ามีศิลาสวรรค์เพียงสามพันก้อนเท่านั้น”
“ศิลาสวรรค์ของข้าและชิงหยีได้มอบให้ท่านไปหมดแล้วตอนนี้ข้าไม่มีมันแล้ว….”
เฟิ่งหลวนก็รู้สึกท้อแท้เช่นกันนางไม่ได้ต้องการศิลาสวรรค์เพื่อฝึกฝนและนางคือจักรพรรดินีแห่งทวีปเฟิ่งหมิง นางจะใช้ศิลาสวรรค์ไปเพื่ออะไรกัน? ตระกูลเฟิ่งเองมีศิลาสวรรค์อยู่มากมาย แต่พวกเขาคงไม่สามารถเดินทางไปไกลหลายล้านกิโลเมตรเพื่อไปเอามันมาจากทวีปเฟิ่งหมิงได้ใช่ไหมล่ะ? ไม่เช่นนั้นจะเป็นเช่นไรหากว่าพวกเขาถูกไล่ล่าอีกครั้งในระหว่างการเดินทาง?
ผู้อาวุโสพูดด้วยความเฉยเมย“ขอโทษด้วย มันเป็นกฎของที่นี่ที่ระบุไว้ว่าต้องจ่ายศิลาสวรรค์สองหันก้อนต่อคน หากพวกเจ้ามีศิลาสวรรค์ไม่พอ พวกเจ้าจะออกจากที่นี่หรือทำงานอยู่ที่นี่หนึ่งปีก็ได้!”
ราชวังจักรพรรดิของเจียงอี้สว่างขึ้นอีกครั้งในขณะที่เขานำมังกรวารีสีทองออกมาและถามว่า“มังกรวารีสีทอง เจ้ามีศิลาสวรรค์หรือเปล่า?”
“ข้าไม่มี….”
มังกรวารีสีทองมองไปที่เจียงอี้อย่างว่างเปล่าและพูดว่า“ท่านใต้เท้า ข้ามาจากเผ่าพันธุ์ปีศาจและติดตามนายคนก่อนมา แล้วข้าจะไปมีศิลาสววรค์ได้อย่างไรกัน?”
เจียงอี้จนปัญญามากดวงตาของเขาวูบไหวขณะที่ป้องกำปั้นและถามผู้อาวุโสว่า “ท่านใต้เท้า ข้าสามารถจำนำสิ่งประดิษฐ์ของข้าหรือแลกเปลี่ยนมันเป็นศิลาสวรรค์แทนได้หรือไม่?”
ผู้อาวุโสพยักหน้าอย่างไม่แยแสและตอบว่า“เจ้าจำนำมันไม่ได้ แต่เจ้าสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งชิ้นต่อศิลาสวรรค์ห้าร้อยก้อน, สิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์แลกกับศิลาสวรรค์ห้าพันก้อนและสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงแลกกับศิลาสวรรค์หมื่นก้อนได้ เจ้าต้องการที่จะขายสิ่งใด?”
“….”
เจียงอี้,เฟิ่งหลวนและมังกรวารีสีทองผลัดกันมองหน้ากันโดยที่ไม่พูดอะไรออกมา เกาะแห่งบาปนี่ปล้นกันซึ่งๆหน้าจริงๆ
สิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิ์ฤทธิ์มีค่าเท่ากับศิลาสวรรค์ห้าพันก้อน?หรือก็คือราชวังจักรพรรดิมีมูลค่าเพียงศิลาสวรรค์ห้าพันก้อนและดาบมังกรเพลิงมีค่าเพียงห้าร้อยก้อนเท่านั้น? เกราะเมฆาอัคคีมีค่าเพียงหมื่นก้อน? ทำไมพวกเขาไม่ปล้นพวกเจียงอี้ไปเลยล่ะ?
เจียงอี้ไม่ได้มีสิ่งประดิษฐ์มากนักแต่เขาก็พอมีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง ส่วนเฟิ่งหลวนและชิงหนีอาจมีสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์อยู่ แต่เจียงอี้ไม่มีทางขายมันไปได้
ศิลาสวรรค์นั้นมีไม่พอและจริงๆตัวเขาเองสามารถเข้าไปได้เขาอาจจะพาคนไปได้อีกหนึ่งหรือสองคน แต่ในเมื่อเฟิ่งหลวนและชิงหยีเต็มใจมากับเขา แล้วเขาจะทิ้งพวกนางไปได้เช่นไร?
เจียงอี้โค้งคำนับและป้องกำปั้นพร้อมกับถามว่า“ท่านใต้เท้า ข้าสงสัยว่าการเป็นคนงานนั้นเป็นอย่างไรหรือ? มันอันตรายหรือไม่?”
ผู้อาวุโสพูดว่า“คนงานมีภารกิจง่ายๆ…นั่นคือการขุดหินอัสนีที่เกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง ส่วนเรื่องของอันตรายแล้ว…. ณ เผ่าเทพประทานนี้ นอกเหนือจากเมืองแล้ว ที่ไหนก็ล้วนอันตราย เมื่อพวกเจ้ากล้าเข้ามาที่นี่ พวกเจ้าก็น่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แน่นอนว่าตราบใดที่พวกเจ้าทำงานเสร็จแล้ว พวกเจ้าก็สามารถอยู่ในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างในช่วงวันปกติธรรมดาได้ ในเมืองค่อนข้างปลอดภัยมาก แต่เมื่อพวกเจ้าออกมาข้างนอก เราจะไม่สนใจพวกเจ้า การรอดชีวิตของพวกเจ้าจะขึ้นอยู่กับโชคและกำลังของพวกเจ้าเอง”
“มีเมืองอยู่ด้วยหรือ?”
ดวงตาของเจียงอี้และเฟิ่งหลวนสว่างขึ้นนี่พวกเขาสามารถอยู่ในเมืองได้ในยามที่ไม่ได้ไปขุดหินอัสนีจริงๆหรือ? นี่ถือเป็นเงื่อนไขที่ค่อนข้างดี ส่วนด้านนอกเมืองนั้นก็เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสคนนี้กล่าวมา จะมีที่ไหนที่ไม่อันตรายอีกบ้างบนเกาะแห่งบาปนี้?
เจียงอี้พยักหน้าและถามอีกครั้งว่า“ข้าถามท่านใต้เท้าได้หรือไม่ว่าข้าจะทำงานของทุกคนให้เสร็จพร้อมกันได้หรือไม่? อย่างเช่นข้าจะมอบหินอัสนีในส่วนของทุกคนได้หรือไม่?”
“ได้อยู่แล้ว!”
ผู้อาวุโสผู้นั้นพูดขณะที่สะบัดมือของเขาด้วยความหงุดหงิด“เจ้าจะรู้รายละเอียดเองเมื่อไปถึงเกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง ตัดสินใจมาได้แล้วว่าจะอยู่ที่นี่หรือออกไปจากที่นี่!”
“เรายินดีเป็นคนงานเป็นเวลาหนึ่งปีขอรับ!”เจียงอี้และเฟิ่งหลวนมองหน้ากันและตัดสินใจออกมา
ผู้อาวุโสสั่งผู้เชี่ยวชาญข้างๆว่า“ลู่เฟย พาพวกเขาไปที่เกาะอัสนีฟ้ากระจ่างซะ”
หลังจากเขาออกคำสั่งไปแล้วผู้เชี่ยวชาญอีกสามคนก็พาคนอื่นๆเข้าไปในปราสาทขณะที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนวัยกลางคนที่มีเครามองเจียงอี้และพูดอย่างไม่แยแสว่า “พวกเจ้าทุกคน ตามข้ามา!”
เจียงอี้พยักหน้าเงียบๆผู้คนบนเกาะแห่งบาปนี้มีศีลธรรมสูง ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดเห็นเฟิ่งหลวนและดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย แต่พวกเขาก็ไม่มีท่าทีการแสดงออกที่น่ากลัวแต่อย่างใด.ไอรีนโนเวล
นอกจากนี้เมื่อเขานำราชวังจักรพรรดิออกมา คนเหล่านี้ก็ไม่ได้สนใจอะไร เกาะแห่งบาปที่อยู่รอดมาได้หลายแสนปีและดูเหมือนว่าทั้งสิบสามตระกูลนี้จะมีความสามารถมากทีเดียว พวกเขาเข้มงวดกับตัวเองมากและมีพลังที่น่าเชื่อถือที่สามารถโน้มน้าวพลเมืองของเกาะแห่งบาปได้ ไม่เช่นนั้น ตำแหน่งการปกครองเกาะของพวกเขาก็คงจะถูกคว่ำไปนานแล้ว
ฟรึ่บ!
ชายที่มีเคราบินไปที่เกาะทางตะวันออกส่วนเจียงและคนอื่นๆก็ตามเขาไปอย่างรวดเร็วขณะที่คอยสอดส่องที่นี่ด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ หากพวกเขาจะอยู่ที่นี่ให้รอดได้ พวกเขาจะต้องรู้จักสถานที่แห่งนี้ให้ละเอียด
เกาะนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยทะเลอันกว้างใหญ่และดูไม่ต่างจากโลกภายนอกนักแต่เจียงอี้และเฟิ่งหลวนสัมผัสได้ถึงหมอกหนาๆเป็นหย่อมๆจากทางทิศตะวันตกของเกาะ ดูเหมือนว่าเกาะแห่งบาปจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกที่หนาเช่นนี้หมดและผู้ที่เข้าใกล้จะถูกเคลื่อนย้ายเข้าสู่เกาะ มันเหมือนเมืองขนาดยักษ์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาซึ่งทำหน้าที่เป็นกำแพงเมืองให้แก่พวกเขา!
พวกเขาบินไปเร็วมากแต่หลังจากที่บินมาสี่ชั่วโมงแล้ว พวกเขาก็ยังไม่เห็นเกาะใดๆที่อยู่ด้านหน้าเลย เจียงอี้และเฟิ่งหลวนแอบทึ่งอยู่ในใจและสงสัยว่ารอบๆทะเลแถบนี้นั้นกว้างใหญ่เพียงใดกัน?
หลังจากที่บินต่อไปอีกชั่วโมงในที่สุดทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปเสียที พวกเขาจะได้ยินเสียงตูมอยู่ข้างหน้าอย่างชัดเจนขณะที่เจียงอี้และเฟิ่งหลวนมองไปไกลลิบตา พวกเขาเห็นแสงสีขาวพาดผ่านท้องฟ้าตลอดเวลาและกระทบลงไปที่จุดสีดำเล็กๆ
“หรือว่านั่นจะเป็นเกาะอัสนีฟ้ากระจ่าง?มีฟ้าผ่าแม้ยามกลางวันแสกๆด้วยหรือ? และยังไม่มีฝนตกลงมาด้วยเนี่ยนะ?”
เจียงอี้กระพริบตาอย่างงุนงงเมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ขึ้น เสียฟ้าร้องก็ดังขึ้นและแสงของสายฟ้าก็ชัดเจนขึ้น จุดสีดำเล็กๆค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นและเกาะมหึมาก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าพวกเขา
“ที่นี่แปลกนักทำไมถึงมีสายฟ้าตลอดทั้งๆที่ที่อื่นไม่มีกัน?”
ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้เกาะมากเท่าไหร่พวกเขาก็สับสนมากขึ้นเท่านั้น มันไม่มีฝนตกลงมาเลยและท้องฟ้าก็สดใสไร้เมฆด้วย แต่สายฟ้าจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็ยังฟาดลงมาที่เกาะอย่างต่อเนื่อง
“หรือมันจะมีอะไรบางอย่างบนเกาะที่ดึงดูดสายฟ้ากันนะ?”
เจียงอี้มองดูอยู่ไกลๆและไม่กล้าแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไปตรวจสอบภายในเกาะเลยเขายังบอกให้เฟิ่งหลวนและมังกรวารีสีทองคอยเก็บความแข็งแกร่งเอาไว้ด้วย พวกเขาไม่รู้เรื่องบนเกาะและหากพวกเขาแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปอย่างประมาท พวกเขาอาจทำให้บางสิ่งโกรธเกรี้ยวและทำให้พวกเขาตายได้
เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้เกาะมากขึ้นทั่วทั้งเกาะก็ปรากฏอยู่ในสายตาของพวกเขาทั้งสาม เมื่อมองจากระยะไกล เกาะแห่งนี้ดูเล็กมาก แต่อันที่จริงแล้วมันใหญ่มาก นอกจากนี้ เกาะยังยาวและแคบอีกด้วย พวกเขาทั้งสามเห็นอย่างชัดเจนว่าเกาะนี้ทอดยาวไปถึงทางตะวันออกและพวกเขาก็มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของเกาะนี้และไม่รู้ว่ามันมีระยะทางไกลเพียงใด
ฟรึ่บ!
ก่อนที่ทุกคนจะเข้าไปใกล้กว่านี้ร่างหลายสิบร่างบินออกมาจากปราสาทริมทะเล พวกเขาทั้งหมดสวมชุดเกราะต่อสู้สีขาวเช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนที่มีเครา ชุดเกราะของพวกเขาเองก็มีลวดลายที่งดงามและมันน่าจะเป็นเครื่องแบบของตระกูลใหญ่ที่นี่
“คารวะท่านลู่เฟย!”
ในบรรดาคนหลายสิบคนนั้นนอกเหนือจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนเพียงคนเดียวพวกเขาทั้งหมดก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังและทุกคนต่างก็โค้งคำนับด้วยความเคารพในขณะที่หัวหน้ากลุ่มที่อยู่ขอบเขตเทียนจุนถามอย่างไม่แยแสว่า “ลู่เฟย คนพวกนี้คือคนใหม่รึ?”
“ใช่แล้วพวกเขามีเก้าคน! จะมาทำงานที่นี่หนึ่งปี”
ชายผู้มีเคราบนหน้าพูดออกมาและจากนั้นก็ตะโกนใส่เจียงอี้“นำคนและสัตว์วิญญาณทั้งหมดออกมาจากราชวังจักรพรรดิซะ ส่วนสัตว์อสูรระดับต่ำสองตน เจ้าเก็บพวกเขาไว้ในนั้นได้”
“นี่…”
เจียงอี้ลังเลเล็กน้อยเจียงเสี่ยวนู๋และเฉียนว่านก้วนยังคงเข้าสู่สันโดษอยู่ หากเขาปลุกพวกเขา มันอาจจะส่งผลต่อการบ่มเพาะพลังของพวกเขาด้วย จ้านอู๋ซวงเองก็ยังคงเข้าสู่สันโดษและกำลังเข้าถึงรูปแบบเต๋าอยู่ด้วย
“ฮึ่ม!นี่เจ้ากำลังรนหาที่ตายหรอ?”
ก่อนที่ผู้บัญชาการลู่ผู้มีหนวดเคราเต็มใบหน้าจะทันได้พูดอะไรออกมาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนผู้ที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็ตะโกนออกมาอย่างเย็นชา “เผ่าเทพประทานไม่ใช่โลกภายนอก หากพวกเจ้าไม่ฟังคำสั่งเรา เช่นนั้นก็ออกไปซะ!”