เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 653 หินอัสนี
แอ๊ด!
เมื่อประตูถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าคมก็เดินเข้ามา เขาเองก็มีคำว่า ทาส ที่หน้าผากเหมือนกับเจียงอี้ ส่วนความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้สูงมากนักและอยู่ขอบเขตจินกังขั้นแรกเท่านั้น เมื่อเขาเข้าไปแล้ว เขาก็ไม่ได้มองไปทั่ว เขาป้องกำปั้นไปที่เจียงอี้และทักทาย “หูซานคารวะนายน้อย ข้าขอทราบชื่อเสียงเรียงนามของท่านได้หรือไม่?”
เจียงอี้กวักมือเรียกและชี้ให้เฉียนว่านก้วนเอาเก้าอี้สองตัวและโต๊ะออกมาจากห้องโถงใหญ่ เขาไม่ได้เชิญหูซานเข้าไปนั่งด้านในขณะที่เขาคอยส่งสัญญาณตาให้เฟิ่งหลวน จากนั้นนางจึงรีบเข้าไปข้างในและเปิดใช้ข้อจำกัดอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กำลังสอดแนมเข้ามาอยู่บ้าง
“ข้ามีนามว่าหมาป่าเดียวดาย เชิญนั่งก่อน”
หลังจากผ่านประสบการณ์ครั้งใหญ่มาแล้ว เจียงอี้ก็ค่อนข้างมีท่าทางที่น่าเคารพ เขาอาจไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่แน่นอนว่าเขาเป็นผู้นำของกลุ่มตัวเอง
หลังจากที่หูซานนั่งลง เจียงอี้ก็ถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “หูซาน เจ้าบอกว่าเจ้ามีข้อมูลทั้งหมดที่ข้าต้องการงั้นรึ?”
หูซานพยักหน้าและหัวเราะออกมาขณะที่ยื่นมือออกมาและพูดว่า “ศิลาสวรรค์หนึ่งร้อยก้อนต่อหนึ่งคำถาม ข้ารู้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างและเผ่าเทพประทานนี้ ท่านสามารถถามมาได้เลยและหากข้าตอบไม่ได้ข้าก็จะไม่เอาศิลาสวรรค์ของท่าน”
“ศิลาสวรรค์ร้อยก้อน….”
ปากของเจียงอี้กระตุกเล็กน้อย ที่นี่มันเป็นที่หาผลประโยชน์จริงๆ แม้แต่ข้อมูลที่จำเป็นก็ยังต้องแลกด้วยศิลาสวรรค์?
เฟิ่งหลวนและคนอื่นๆก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ไม่ใช่ว่าสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับศิลาสวรรค์ห้าร้อยก้อนหรือ? เช่นนั้นไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องให้สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งชิ้นแลกกับคำถามห้าข้อเลยหรือ? นี่มันไม่หลอกลวงกันมากไปหน่อยหรือ?
“คิดค่าบริการถูกกว่านี้หน่อยสิ เราจะได้ทำธุรกิจร่วมกันต่อไปเรื่อยๆในภายภาคหน้า ดีไหม?”
เจี้ยงอี้ถามด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้ม แต่หูซานส่ายหัวและพูดว่า “ข้าเป็นเพียงคนเดียวที่ขายข้อมูลบนถนนสายนี้ หากท่านหมาป่าเดียวดายไม่เชื่อ ท่านสามารถออกไปถามรอบๆดูก็ได้ หากท่านได้ข้อมูลมาแม้แต่ข้อเดียว ข้าจะให้ศิลาสวรรค์ท่านพันก้อนเลย ฮึฮึ แต่แม้ว่าท่านจะไปถามตามถนนเส้นอื่น แต่มันก็มีเพียงคนเดียวที่รับผิดชอบในการขายข้อมูล และหากต้องการข้อมูลใดๆ ก็จะต้องใช้ศิลาสวรรค์อยู่ดี”
“เอ่อ…..”
เจียงอี้กระพริบตาและถามด้วยความสงสัย “ทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้ล่ะ?”
หูซานไม่พูดเรื่องนี้อีกต่อไปและยื่นมือออกมาเท่านั้น นั่นหมายความว่าเขาต้องได้ศิลาสวรรค์หนึ่งร้อยก้อนเพื่อตอบคำถามข้อนี้ เจียงอี้กัดฟันและมอบศิลาสวรรค์หนึ่งร้อยก้อนจากแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณและถามว่า “พูดมาซะ”
“นั่นปกติมาก!”
เมื่อหูซานได้ศิลาสวรรค์มาแล้ว เขาก็ยิ้มและตอบทันที “เพราะข้าเป็นคนขายข้อมูลที่ถูกแต่งตั้งโดยหัวหน้าหลี่ หากผู้ใดกล้าขายข้อมูล ก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่”
“เอ๊ะ? หัวหน้าหลี่คือผู้ใดกัน?” เจียงอี้นิ่งไปชั่วขณะและเข้าใจทันทีว่าเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างแห่งนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิด
หูซานไม่ได้ตอบอะไรกลับมาและยื่นมือออกมาอีกครั้งจนคนอื่นกลอกตากันหมด คนผู้นี้ชั่วร้ายและโลภมากจริงๆ หากพวกเขาถามเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พวกเขาอาจจะต้องเสียศิลาสวรรค์ไปหมดก่อนที่จะได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มาเป็นแน่
เจียงอี้เงียบลงและหยิบศิลาสวรรค์ออกมาอีกหนึ่งร้อยก้อนและถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เมื่อครู่ไม่นับ ครั้งนี้ข้าอยากถามว่า เราจะมีชีวิตที่ดีขึ้นในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างได้อย่างไร? ข้าหวังว่าเจ้าจะอธิบายมันอย่างละเอียดนะ ไม่เช่นนั้น…ข้าก็ไม่ต้องการรู้ข้อมูลใดๆอีกแล้ว”
หูซานรับศิลาสวรรค์มาและยกนิ้วโป้งขึ้นมาขอบคุณพร้อมตอบว่า “ท่านหมาป่าเดียวดายถามคำถามที่สำคัญดีและข้าจะไม่ปิดบังอะไร หากท่านต้องการจะใช้ชีวิตอย่างดีในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างและอยู่ให้รอดครบหนึ่งปีก่อนที่จะออกจากที่นี่หรือเลือกที่จะสร้างตัวอยู่ที่นี่ ท่านต้องจำเอาไว้สามข้อ….”
“ข้อแรก ให้คำมั่นว่าท่านจะภักดีต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในเมืองนี้มีอยู่สิบกลุ่มใหญ่ๆและท่านสามารถลองดูหนึ่งในพวกเขาก็ได้ ข้อที่สอง อย่าทำตัวโดดเด่นและอดทนอยู่เงียบๆ แม้ว่าจะมีใครมารังแกหรือทำให้ท่านอับอาย แต่ท่านก็ต้องอดทนหากไม่มีแรงสู้กลับ ก่อนหน้านี้ท่านเฉียบแหลมมาก หากท่านทำตัวหยิ่งผยองตอนเข้ามาที่นี่ พวกท่านทุกคนจะตายในเวลาไม่ถึงห้าวัน ข้อสาม ท่านมีสาวงามอยู่กับท่านมากเกินไปและท่านจะไม่สามารถปกป้องพวกนางได้หมด ข้าแนะนำให้ท่านปล่อยพวกนางสักสองคนไป…”
ฟรึ่บ! ฟรึ่บ! ฟรึ่บ!
การแสดงออกของเจียงอี้และคนอื่นๆเปลี่ยนไปมาก สองเรื่องแรกยังพอรับได้ แต่เรื่องที่สามทำให้ทุกคนโกรธมาก แต่เมื่อเจียงอี้ไม่ได้พูดอะไร จึงไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรออกมา
เจียงอี้จ้องหูซานด้วยสายตาเย็นชาซึ่งมันทำให้ใบหน้าของหูซานเริ่มอึกอัก จากนั้นเจียงอี้ก็ถามต่อว่า “หากข้าไม่ให้พวกนางไปล่ะ?”….ไอลีนโนเวล
หูซานยักไหล่และไม่ได้พูดอะไรอีก นั่นมันหมายความว่าเขาควรเลือกที่จะฟังคำแนะนำของเขาหรือเปล่า เจียงอี้ถอนหายใจออกยาวๆและหยิบศิลาสวรรค์ออกมาอีกหนึ่งร้อยก้อนและถามว่า “ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสิบฝ่ายมีกี่คน? แล้วความแข็งแกร่งของหัวหน้าทั้งสิบล่ะ?”
หูซานรับศิลาสวรรค์ไปแล้ว แต่เขาก็ยิ้มขึ้นพร้อมพูดว่า “ท่านหมาป่าเดียวดาย ท่านถามคำถามมาสองข้อ….”
เจียงอี้กัดฟันและหยิบศิลาสวรรค์มาเพิ่ม จากนั้นหูซานก็ยิ้มและตอบว่า “ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนเกือบทุกคนให้คำมั่นว่าจะภักดีต่อสิบกลุ่มใหญ่และแต่ละกลุ่มมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนอย่างน้อยยี่สิบคน หัวหน้าทั้งสิบอยู่ขอบเขตเทียนจุนระดับกลาง เช่นเดียวกับหัวหน้าหลี่ และพลังของเขาเป็นอันดับสามในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างนี้ แต่แน่นอนว่ากลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองนี้เป็นกองกำลังของตระกูลลู่ ที่ข้ากำลังพูดถึงอยู่นี้คือทาสที่อยู่ในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง”
“ขอบเขตเทียนจุนระดับกลาง?”
เจียงอี้และเฟิ่งหลวนถอนใจอย่างโล่งอก ตราบใดที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับสูง พวกเขาก็ไม่ต้องคิดมากเกี่ยวกับการอยู่ที่เมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง
หลังจากถามไปเรื่อยๆอีกไม่กี่คำถาม เจียงอี้ก็เสียศิลาสวรรค์ไปอีกหลายร้อยก้อน แต่เขาก็ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มาเช่นกัน
เกาะอัสนีฟ้ากระจ่างแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงที่ที่ใช้แรงงานเท่านั้น แต่มันเป็นที่ที่ยอดฝีมือถูกซ่อนไว้ที่นี่มากมาย แม้ว่าเจียงอี้จะยังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งหมดถึงยังอยู่ที่นี่ แต่เขาก็รู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายมาก หากเขาไม่วางแผนอย่างระมัดระวัง พวกเขาทั้งหมดอาจตกตายอยู่ที่นี่ก็ได้ หรือเรื่องที่เบาที่สุดก็คือพวกเขาอาจจะไม่สามารถอยู่บนเกาะแห่งบาปได้อีก
ตอนนี้เจียงอี้ยังคงมีศิลาสวรรค์อยู่ในแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณอยู่บ้าง เขาจึงถามต่ออีก “ข้างในเมืองนั้นปลอดภัยหรือไม่?”
“แน่นอนสิ!”
หูซานตอบอย่างหนักแน่นว่า “ตราบใดที่ท่านส่งหินอัสนีครบทุกวันและไม่ทำตัวบุ่มบ่าม เมืองอัสนีฟ้ากระจ่างนี้ก็ปลอดภัยเป็นอย่างมาก ในหมู่เกาะมังกรขาวนั้น ตระกูลลู่เป็นเจ้าปกครองและไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายอำนาจของตระกูลลู่”
หลังจากยืนยันเรื่องนี้ เจียงอี้ก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าจ้านอู๋ซวง, เฉียนว่านก้วน, หยุนเฟยและคนอื่นๆจะต้องปลอดภัยในเมืองอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องการเก็บหินอัสนีนั้น เขาก็จะทำมันกับเฟิ่งหลวนและมังกรวารีสีทอง เพราะพลังโดยรวมของพวกเขาค่อนข้างแข็งแกร่งและเขาไม่เชื่อว่าเขาจะไม่สามารถหาหินอัสนีได้
เมื่อนึกถึงหินอัสนี เขาก็โยนศิลาสวรรค์อีกร้อยก้อนไปและถามว่า “ข้าจะหาหินอัสนีได้อย่างไร?”
หูซานตอบว่า “มันง่ายมาก มีสองวิธีที่จะหาหินอัสนีได้ วิธีแรกคือออกไปทางประตูทิศตะวันออกและขุดหาหินอัสนีในบริเวณแถบที่มีฟ้าร้อง เกาะอัสนีฟ้ากระจ่างนี้เป็นพื้นที่ที่รวบรวมสายฟ้าจากธรรมชาติเอาไว้ สายฟ้าจะฟาดลงมาเรื่อยๆซึ่งทำให้หินนอกกำแพงกักเก็บพลังพิเศษของสายฟ้าเอาไว้ก่อนที่จะกลายเป็นหินอัสนี หากเจ้าโชคดี เจ้าก็จะพบหินอัสนีหลายก้อนในวันเดียว แต่หากเจ้าโชคร้าย เจ้าอาจจะไม่เจอมันแม้แต่ก้อนเดียว ส่วนวิธีที่สองคือ เจ้าสามารถหาซื้อมันจากสมาชิกของหนึ่งในสิบกลุ่มได้ และหินอัสนีจะมีราคาเท่ากับศิลาสวรรค์แปดร้อยก้อน”
“บ้าเอ้ย….”
เจียงอี้กลอกตาของเขา ศิลาสวรรค์แปดร้อยก้อนแลกกับหินอัสนีก้อนเดียว? แม้ว่าเขาจะขายเกราะเมฆาอัคคี แต่เขาก็คงไม่สามารถอยู่ได้นานกว่ายี่สิบวันแน่
เขานิ่งไปชั่วขณะและเย้ยหยัน “หูซาน ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้พยายามวางอุบายกับข้าใช่หรือไม่? ไม่ว่าข้าจะเข้าร่วมกลุ่มหรือส่งหญิงงามไป แต่สุดท้ายแล้วข้าก็ยังต้องออกไปขุดหินอัสนีอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่ข้าจะเข้าร่วมกลุ่มพวกนี้ล่ะ?
คราวนี้หูซานไม่ได้ขอศิลาสวรรค์และเขาก็ตอบกลับอย่างเย้ยหยัน “มันง่ายมาก หากท่านเข้าร่วมกลุ่ม ท่านก็จะต้องออกไปกับกลุ่มเพื่อหาหินอัสนี และทุกครั้งที่ออกไปหาหินอัสนี จะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนเป็นผู้นำกลุ่มซึ่งมันจะช่วยลดความเป็นไปได้ที่จะถูกสังหารไป หากท่านออกไปเอง ท่านจะถูกสังหารอย่างไม่ต้องสงสัย”
“แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนอยู่ในหมู่พวกท่าน แต่ท่านจะต้านทานการโจมตีจากผู้คนนับร้อยหรือนับพันได้หรอ? จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนบางกลุ่มมาล้อมและโจมตีท่าน? แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าหากว่าผู้ที่โจมตีเองเป็นหัวหน้าทั้งสิบ? ท่านจะซ่อนตัวอยู่ในเมืองนี้และไม่ออกไปหาหินอัสนีตลอดไปหรอ? ท่านก็รู้ว่า…หากไม่มีหินอัสนีแล้ว ยังไงเสีย ท่านก็ต้องตาย!”