เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 654 ไสหัวไปซะ
ครั้งนี้เจียงอี้เสียศิลาสวรรค์ให้แก่หูซานไปหลายร้อยก้อนและเสียไปทั้งหมดกว่าพันก้อนจนได้ข้อมูลพื้นฐานของเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างและเข้าใจสถานภาพของพวกเขาแล้ว
เกาะฟ้าประทานยักษ์นั้นถูกรายล้อมไปด้วยเกาะเก้าเกาะที่เหมือนมังกรเก้าตนไล่ล่าไข่มุกวิญญาณอยู่ ซึ่งพวกเขาอยู่ที่เกาะมังกรขาว เป็นหนึ่งในเก้าเกาะนั้นซึ่งเป็นแดนของตระกูลลู่ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสามตระกูลที่ทรงพลัง
เกาะอัสนีฟ้ากระจ่างไม่เพียงแต่จะเป็นสถานที่ที่มีคนใหม่เข้ามาที่นี่ แต่มันยังเป็นสถานที่ที่ตระกูลลู่ส่งคนที่ละเมิดกฎมาด้วย เช่น หากผู้ใดที่เริ่มสู้ในเมืองและถูกสมาชิกตระกูลลู่ควบคุมตัวเอาไว้ พวกเขาจะมีทางเลือกเพียงสองทาง หนึ่งคือความตายและสองคือการอยู่เป็นทาสที่เกาะอัสนีฟ้ากระจ่างสิบปี
ดังนั้นจึงทำให้คนที่อยู่ที่เมืองอัสนีฟ้ากระจ่างค่อนข้างเยอะพอสมควร มีผู้อยู่อาศัยที่นี่อย่างน้อยสองหมื่นคน ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั่นมักมีพรรคพวกและความชั่วร้าย! ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนที่แข็งแกร่งหลายคนตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ถาวรและจัดตั้งพรรคพวกขึ้นและกลายเป็นเหล่าอันธพาล
พวกเขาอาศัยอำนาจในการปล้นผู้อื่น หูซานบอกว่า คนหนึ่งคนจะต้องส่งหินอัสนีในทุกๆสิบวันเพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มไหนก็ตาม ส่วนสมาชิกระดับสูงของสิบกลุ่มแทบไม่ต้องออกไปขุดหินอัสนีเลย พวกเขาอยู่อย่างสบายในเมืองเพราะมีการส่งหินอัสนีมามากมายในทุกๆเดือนเนื่องจากทุกกลุ่มมีผู้ใต้บัญชาอย่างน้อยพันกว่าคน
หินอัสนั้นสามารถใช้แลกแต้มความดีความชอบในตำหนักเจ้าเมืองได้ และมันมักจะใช้กันในเกาะแห่งบาปและมีประโยชน์มาก แต่หูซานก็ไม่ได้อธิบายถึงมันอย่างละเอียดนัก
ตอนนี้เจียงอี้มีทางเลือกสองทางก็คือ เขาจะร่วมกลุ่มที่มีอำนาจหรือจะตั้งกลุ่มของตัวเองก็ได้ แต่คนที่เลือกข้อหลังมักไม่ลงเอยด้วยดีเท่าไหร่ พวกเขามักจะตกเป็นเป้าของสิบกลุ่มใหญ่เหล่านี้และเมื่อพวกเขาออกจากประตูเมืองตะวันออกไปก็จะถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด
เมื่อเจียงอี้, เฟิ่งหลวนและมังกรวารีสีทองตายไป จ้านอู๋ซวงและคนอื่นๆก็จะต้องออกไปนอกเมืองเพื่อหาหินอัสนีกันเอง และด้วยความแข็งแกร่งอันน้อยนิดของพวกเขา พวกเขาก็จะมีแต่ต้องตายอย่างโหดร้ายเท่านั้น และในที่สุดทุกคนก็ต้องตายไป
อย่างไรก็ตาม!
เจียงอี้จะขอไปอยู่ในกลุ่มไหนหรือเปล่า? เขาจะปล่อยผ่านไปหากการส่งหินอัสนีทุกๆหนึ่งก้อนต่อสิบวันเป็นข้อกำหนดเดียว แต่เมื่อหูซานจากไป เขาก็ส่งข้อความเสียงมาว่ามันง่ายมากที่จะได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้าหลี่ ซึ่งเจียงอี้เพียงแค่ต้องติดสินบนด้วยสมบัติล้ำค่าหรือบุคคลก็ได้
การมอบราชวังจักรพรรดิและเกราะเมฆาอัคคีหรือจะมอบเฟิ่งหลวนและคนอื่นๆให้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเจรจาได้ ซึ่งเจียงอี้ก็เดือดดาลขึ้นมาแต่เพราะที่เมืองนี้ไม่ให้ใช้ความรุนแรงในเมือง ไม่เช่นนั้นหูซานก็คงจะตายไปนานแล้ว
“ฮู่ววว…”
หลังจากที่หูซานออกไป เจียงอี้ก็หายใจเข้าลึกๆ เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนดูเศร้าหมองและหมดกำลังใจ เขาก็ยิ้มออกมาและพูดว่า “พวกเจ้าไม่ต้องกังวลกันนะ อย่างแย่ที่สุด ข้าจะพาพวกเจ้าออกไปจากเมืองนี้และไปหาที่หลบภัยที่อื่น เรายังไปได้ทุกเมื่อที่เราต้องการ”
เฟิ่งหลวนพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่แล้ว พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก นายน้อยรอดชีวิตจากการตามล่าของตระกูลเสียและตระกูลเจี้ยนมาได้ แล้วเกาะแห่งบาปเล็กๆนี่จะน่ากลัวกว่าตระกูลยักษ์ทั้งสองตระกูลนั้นเลยหรือ?”
จ้านอู๋ซวง, หยุนเฟยและคนอื่นที่เหลือไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามอะไรมากและยังคงนิ่งเงียบอยู่ ในเมื่อเจียงอี้ยังทำให้พวกเขารอดมาได้จนถึงตอนนี้ เขาก็จะยังทำเช่นนั้นต่อไป พวกเขาเพียงต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของพวกเขาต่อไปเพื่อที่จะเป็นประโยชน์กับเจียงอี้แทนที่จะเป็นภาระของเขา
“ว่านก้วน เจ้าเก่งมาก! ข้าดีใจด้วยนะที่เจ้ามาถึงขอบเขตจินกังแล้ว!”
เจียงอี้หันไปหาเฉียนว่านก้วนและมองเขาอย่างยินดี คนขี้เกียจอย่างเฉียนว่านก้วนที่สามารถเข้าสู่สันโดษได้นานๆและทะลวงขอบเขตจินกังได้นั้นช่างหาได้ยากจริงๆ
“แหะๆ!”
เฉียนว่านก้วนเกาตัวเองด้วยความเขินอายและพูดว่า “ลูกพี่ เจ้าใจดีกับข้าจริงๆ หากข้าไม่ขยันขันแข็ง แล้วข้ายังสมควรเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือ?”
เจียงอี้พยักหน้าและหันไปทางเจียงเสี่ยวนู๋ จากนั้นเขาก็ถามอย่างอ่อนโยนว่า “เสี่ยวนู๋ แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าทะลวงขั้นสองมาได้หรือยัง?”
“อื้อ!”…Aileen-novel
เจียงเสี่ยวนู๋ยิ้มและกระซิบว่า “ข้าเพิ่งจะเข้าถึงขั้นสอง แต่มันยังอีกไกลกว่าจะไปถึงขั้นบรรลุเจ้าค่ะ”
“ความแข็งแกร่งของเจ้าเป็นเช่นไรบ้างหลังจากที่แปลงกาย? ถึงขอบเขตเทียนจุนหรือไม่?”
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายและเขาก็ตื่นเต้นขึ้นมา ส่วนคนอื่นๆก็ตกตะลึง หยุนเฟยและเฉียนว่านก้วนรู้สึกกังวลใจกว่าใคร ส่วนเฟิ่งหลวนและชิงหยีก็มองนางด้วยท่าทีประหลาดใจ นางเริ่มเข้าสู่สันโดษเพียงไม่นานและนางก็ทะลวงมันไปได้แล้วเนี่ยนะ?!
“ข้าไม่มั่นใจ”
เจียงเสี่ยวนู๋ส่ายหัวและพูดว่า “ข้าต้องแปลงกายเพื่อที่จะได้รู้พลังของข้าที่แน่นอน แต่ข้าคิดว่าพลังของข้าในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนประมาณสิบเท่าได้”
ฟรึ่บ….
ทุกคนอ้าปากค้างกันหมด ก่อนหน้านี้เจียงเสี่ยวนู๋เทียบได้กับขอบเขตจินกังและตอนนี้ความแข็งแกร่งของนางก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า นางน่าจะไปถึงขอบเขตเทียนจุนขั้นที่สองหรือสามแล้วแน่นอน เผ่าพันธุ์พิเศษนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ
เจียงอี้ก็ตกใจเช่นกัน ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึกของนางอยู่ในขั้นที่สองเท่านั้น หากนางไปถึงขั้นสูงสุดของขั้นที่สองแล้ว นางจะไม่แข็งแกร่งขนาดขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดเลยหรือ? แล้วหากยังมีขั้นที่สามอีกล่ะ….
สิ่งนี้มันเกินกว่าที่เจียงอี้จินตนาการเอาไว้อีก เขาแอบสงสัยในความเป็นมาของเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกแล้ว มันอาจจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ในทวีปจักรพรรดิบูรพาได้หรือเปล่านะ? น่าเสียดายที่เฟิ่งหลวนและคนอื่นๆก็ไม่รู้เช่นกัน เขาจึงไม่มีโอกาสได้ถามใครเลย
“เอาล่ะ!”
เจียงอี้พูดว่า “ทุกคน ออกไปนอกเมืองทางตะวันออกหลังสองวันกัน ไปหาที่เงียบๆกันเถอะ ข้าจะเอาราชวังจักรพรรดิออกมา ว่านก้วน,อู๋ซวง,หยุนเฟย พวกเจ้าเข้าไปฝึกฝนต่อข้างในเถอะ ส่วนที่เหลืออยู่ข้างนอก หากใครกล้าทำร้ายเรา เราก็ฆ่ามันก่อน! อย่างมากข้าก็แค่ใช้วิชาหลีกสวรรค์พาพวกเจ้าหนีไป แล้วท่องไปทั่วโลกกันเถอะ โลกนี้ใหญ่โตนักและมันคงมีที่ให้เราอยู่ได้บ้าง”
“อื้อ”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ไม่มีผู้ใดตั้งคำถามกับการตัดสินใจของเจียงอี้เลย
บรึฟ!
ในตอนนั้นเอง ข้อจำกัดรอบๆบ้านก็สั่นขึ้น ส่วนเจียงอี้ก็มองมันอย่างสงสัยและขอให้คนของเขาเปิดข้อจำกัดนั้น เขากวาดสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปและเห็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอกและเคาะประตูอยู่
“เจ้าเป็นใคร? มีธุระอะไร?” เจียงอี้ส่งข้อความเสียงออกไป
คนผู้นั้นอยู่ขอบเขตจินกังขั้นแรก เขามองเข้าไปข้างในด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และส่งเสียงกลับมาว่า “ข้าเป็นลูกน้องของหัวหน้าหลง เขาให้ข้ามาส่งข้อความถึงเจ้า หากเจ้าส่งหญิงสาวที่สวมชุดคลุมฟีนิกซ์หลากสี เขาจะให้เจ้าอยู่ในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างอย่างปลอดภัย”
แน่นอนว่าเขาหมายถึงเฟิ่งหลวน มันทำให้เจียงอี้โกรธขึ้นมาและเขาก็ตะโกนว่า “กลับไปซะ!”
ชายด้านนอกเปลี่ยนสีหน้าและส่งเสียงกลับมาอีกครั้ง “เจ้ารู้ไหมว่าหัวหน้าหลงเป็นใคร? เจ้ารู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ปฏิเสธ? เหอะ เจ้าหนู หากเจ้าดื้อด้านเช่นนี้ ข้ารับรองเลยว่าเจ้าจะอยู่ได้ไม่เกินห้าวัน”
“อ้อหรอ?”
แววตาของเจียงอี้วาบไปด้วยจิตสังหาร จากนั้นเขาก็ตะโกนกลับไปอย่างเย็นชาว่า “เช่นนั้นเราออกไปเดินเล่นนอกเมืองและเจ้าก็ช่วยสอนความเป็นลูกผู้ชายให้ข้าหน่อยดีไหมล่ะ?”
“ฮึ่ม!”
ชายผู้นั้นไม่กล้าที่จะยั่วโมโหเขา เพราะยังไงแล้วเจียงอี้ก็มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนอยู่ข้างๆ จากนั้นเขาก็ตะคอกและส่งเสียงกลับว่า “ไอ้เนรคุณ รอดูไปเถอะ”
เมื่อชายผู้นั้นจากไปแล้ว เจียงอี้ก็ยังเย็นชาอยู่ในขณะที่มีชายอีกคนบินมาจากถนนที่ไกลออกไป เขาแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์และเพ่งไปที่เจียงอี้ก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้ด้วยซ้ำและส่งข้อความเสียงมาว่า “เจ้าหนู พี่ป้าเตาบอกว่าเขาต้องการหญิงงามเพียงสองในสี่คนที่นี่…..”
เจียงอี้ไม่ได้ส่งข้อความเสียงกลับไป แต่เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า “ไสหัวออกไปซะ!”
เสียงของเขาดังก้องไปทั่วถนนทั้งสาย หลายๆคนที่กำลังมองการแสดงอยู่ต่างก็ยิ้มกว้างออกมา ดูเหมือนว่าเกาะอัสนีฟ้ากระจ่างจะน่าตื่นเต้นขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว ผู้ที่มาใหม่คนนี้ดูอารมณ์รุนแรงใช้ได้เลย
แต่พวกเขาก็สงสัยว่าเขาจะทนดื้อด้านไปได้ถึงสามวันหรือไม่