เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 655 ออกนอกเมือง
ในอีกไม่กี่วันต่อมา เจียงอี้ยังคงเปิดข้อจำกัดรอบๆลานบ้านของเขาอยู่ เขาไม่ไปเจอผู้ใดหรือมีเจตนาที่จะไปภักดีกับใครเลย เขาไม่ได้ออกไปรวบรวมข้อมูลอีกต่อไปแต่เขาเปิดใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อคอยรวบรวมข้อมูลแทน
ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาแผ่ออกไปเหมือนสายลม มันทะลุผ่านข้อจำกัด ม่านพลังใดๆได้อย่างง่ายดาย
เมืองอัสนีฟ้ากระจ่างนั้นมีขนาดใหญ่มาก ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้กวาดไปทั่วเมืองจากบนท้องฟ้า เขาไม่เสี่ยงที่จะมองเข้าไปในลานของคนอื่นทีละคนแต่เพียงแค่สำรวจจากท้องฟ้าอย่างช้าๆเพื่อให้ตัวเองคุ้นเคยกับสถานการณ์ทั่วไปในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง
ในไม่ช้า เจียงอี้ก็ใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์เดินทางไปรอบเมืองได้หนึ่งรอบ แต่แน่นอนว่าเขานั้นไม่กล้าเข้าไปใกล้จัตุรัสกลางเมืองเพราะเขาเจอปราสาทขนาดยักษ์อยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่ามันเป็นตำหนักเจ้าเมือง มันคงไม่เป็นไรที่จะทำให้ผู้อื่นขุ่นเคือง แต่หากว่าเขาทำให้สมาชิกตระกูลลู่รำคาญใจ เจียงอี้ก็ต้องหนีไปตลอดชีวิต
เมืองอัสนีฟ้ากระจ่างมีขนาดใหญ่มาก นอกเหนือจากปราสาทเจ้าเมืองแล้ว อาคารที่เหลือก็เหมือนๆกันหมด พวกมันเป็นลานเล็กๆเหมือนกับที่เจียงอี้พักอยู่และมีทั้งหมดราวๆแสนแห่ง มีผู้คนอยู่ในลานบ้านเหล่านั้นมากมายซึ่งบางคงก็ไม่ได้เปิดใช้งานข้อจำกัดจึงทำให้เห็นได้ง่ายๆ
นอกเหนือจากจัตุรัสในเมืองแล้ว ส่วนอื่นๆของเมืองก็ค่อนข้างร้าง ปกติแล้วไม่ค่อยมีผู้ใดเดินอยู่บนถนน ผู้คนต่างกลับไปที่พักของตัวเอง, ไปยังประตูเมืองตะวันออกหรือไม่ก็ไปที่จัตุรัสเมืองเท่านั้น
ตอนที่เจียงอี้กำลังจะปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพื่อมองดูสถานการณ์นอกประตูเมืองตะวันออก เขาก็พบม่านพลังบางๆที่โปร่งแสง แม้ว่าเขาจะเจาะมันได้ง่ายๆแต่เขาก็ไม่เสี่ยง มันคงดีกว่าที่จะปลอดภัยเอาไว้ก่อน
เขาถอนญาณศักดิ์สิทธิ์ของตนเองกลับมาและขอให้คนอื่นๆนั่งอยู่ในบ้านและอย่าเปิดข้อจำกัดไม่ว่าใครจะมาที่นี่ก็ตาม จากนั้นเขาก็ออกจากลานบ้านไปและเดินไปยังจัตุรัสใจกลางเมือง
“ฮึฮึ!”
ระหว่างทาง มีผู้คนมากมายที่มองเจียงอี้ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ไม่มีใครคุยกับเจียงอี้เลย และเจียงอี้เองก็ยังคงนิ่งเงียบเช่นกันและเดินทางไปยังจัตุรัสเมืองเงียบๆ
หลังจากผ่านถนนไปสิบกว่าสาย เขาก็มาถึงจัตุรัสใจกลางเมืองเสียที
จัตุรัสมีขนาดใหญ่มากซึ่งมีรัศมีประมาณสามสิบสามกิโลเมตร มีปราสาทหลังใหญ่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือและมีผู้คนมากมายเข้า-ออกปราสาทอยู่เรื่อยๆ แน่นอนว่าที่จัตุรัสเองก็มีผู้คนพลุกพล่านเช่นกัน
การมาถึงของเจียงอี้นั้นดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นอย่างมาก มีหลายคนซุบซิบกันและบางคนก็มองเขาด้วยสายตาอาฆาต
“ดูสิ นั่นคนที่เข้ามาใหม่นี่ เขาถูกเรียกว่าหมาป่าเดียวดายหรือเปล่านะ?”
“ไอ้คนที่กล้าไล่หัวหน้าหลงและพี่ป้าเตาน่ะนะ?”
“นั่นแหละ ว่ากันว่ามันพาสี่….มาด้วย? ฮ่าฮ่า เรามาพนันกันไหมล่ะว่ามันจะอยู่ที่นี่ได้อีกกี่วัน”
“แล้วมันสำคัญตรงไหนกัน? ยังไงเสีย มันก็จะต้องตายทันทีที่ก้าวขาออกจากเมืองอยู่ดี!”
คนมากมายกระซิบกระซาบกันและบางคนก็ชี้นิ้วไปที่เจียงอี้ ผมของเขานั้นทำให้เป็นที่จดจำได้ง่ายมากๆ เสียงตะโกนของเขาที่พูดกับคนของพี่ป้าเตาเองก็ดังมากและมันก็ทำให้ทุกคนสนใจเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เจียงอี้ไม่ได้สนใจฝูงชนและเดินตรงไปยังปราสาทเจ้าเมือง ประตูนั้นเปิดอยู่โดยไม่มีคนเฝ้า เขาจึงเดินเข้าไปและมองไปรอบๆและแอบชื่นชมที่ตระกูลลู่ทำการค้าได้ดีเยี่ยมจริงๆ
ปราสาทนี้มีขนาดใหญ่มาก เขาเห็นร้านค้าที่งดงามอย่างไม่มีสิ้นสุดในแวบแรก มันมีร้านอาหาร, ที่เล่นพนันและมีแม้กระทั่งซ่อง!
สมบัติทุกชนิดมีอยู่ที่ร้านค้ามากมายนับไม่ถ้วนเหล่านี้ เจียงอี้เห็นป้ายด้านนอกของร้านหนึ่งซึ่งขายสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์และสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์ทุกประเภท…..ไอรีนโนเวล
มีร้านค้าอยู่นับร้อยร้านและร้านอาหารและซ่องมากกว่าสิบแห่ง เราจะพบสิ่งที่ต้องการได้ที่ปราสาทเจ้าเมืองตราบเท่าที่มีศิลาสวรรค์เพียงพอ
มีบันไดหินทอดยาวขึ้นไปที่ชั้นสองตามแนวกำแพง ชั้นบนน่าจะเป็นที่แลกเปลี่ยนหินอัสนีกับแต้มความดีความชอบ ซึ่งเจียงอี้ก็ไม่เสี่ยงที่จะขึ้นไปโดยเปล่าประโยชน์และเริ่มเดินไปมาที่ชั้นหนึ่ง
“เจ้าคือหมาป่าเดียวดาย?”
หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เขาถูกผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งหยุดเอาไว้ จากนั้นคนผู้นั้นก็ชี้ไปที่ศาลาที่งดงามและพูดว่า “พี่ป้าเตาให้เจ้าเข้าไปข้างในหน่อย”
“พี่ป้าเตา?”
ดวงตาของเจียงอี้เย็นชาขึ้นมาทันที เขามองไปที่ศาลาที่งดงามนั้นและเห็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนสองคนยืนอยู่ข้างนอกและด้านในเป็นชายร่างอ้วนผู้หนึ่งที่กำลังดื่มสุราอยู่ด้านใน ชายผู้นั้นไม่มองออกมาด้านนอกเลยแม้แต่นิดเดียว
“ช่วยบอกพี่ป้าเตาทีว่าหมาป่าเดียวดายไม่ได้ต้องการสร้างปัญหาแล้วก็ไม่ได้กลัวปัญหาใดๆด้วยเช่นกัน”
หลังจากนั้นเจียงอี้ก็กลับออกไปด้านนอกทันที ใบหน้าของผู้เชี่ยวชาญคนนั้นมืดมนลงแต่เขาก็ไม่กล้าหยุดเจียงอี้เอาไว้ แม้แต่ป้าเตาเองก็จะถูกประหารหากเขาใช้ความรุนแรงในปราสาทนี้ และมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดอยู่ที่ชั้นสองของที่นี่ด้วย
ปัง!
แก้วไวน์ถูกทุบจนแตกเป็นเสี่ยงๆอยู่ภายในศาลาอันสง่างาม ชายร่างอ้วนคนนั้นกวาดมองไปที่แผ่นหลังของเจียงอี้อย่างเดือดดาล เขาเหมือนสัตว์ป่าที่เตรียมตัวขย้ำมนุษย์
“พี่ป้าเตา!”
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนที่ยืนอยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามา ป้าเตาโยนกระดูกในมือของเขาทิ้งและพูดอย่างเย็นชาว่า “เฟ่ยกั๋ว ให้คนคอยเฝ้ามันไว้ ฆ่าไอ้สารเลวนั่นซะหลังจากที่มันออกจากเมือง หากนังผู้หญิงพวกนั้นออกไปนอกเมืองด้วยก็นำตัวพวกมันมาให้ข้า”
“ขอรับ!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนนามเฟ่ยกั๋วป้องมือของเขาก่อนที่จะออกไปข้างนอก ในไม่ช้า เขาก็หายไปในจัตุรัสของเมืองทันที
…
เจียงอี้ไม่ออกไปไหนอีกเลยหลังจากที่เขากลับมาจากปราสาทเจ้าเมือง แต่เขาก็ยังตรวจสอบเมืองนี้ด้วยญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่
ในช่วงบ่ายแก่ๆ กองพลทั้งสิบกองกลับมาจากประตูเมืองด้านตะวันออก ทุกกลุ่มมีคนมากกว่าหนึ่งพันคน และทุกๆกลุ่มถูกนำโดยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนที่ไม่ใช่แค่เพียงคนเดียว แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนถึงห้าคน!
ทั้งสิบกองกำลังเหล่านี้ต่างแยกย้ายกันไปหลังจากที่กลับมาถึงเมือง ไม่มีผู้ใดเข้าหรือออกประตูเมืองด้านตะวันออกอีกเลย สายฟ้าที่อยู่นอกเมืองเองก็หายไปเช่นกัน และเกาะอัสนีฟ้ากระจ่างทั้งหมดก็มืดมนลงทันที
ที่จัตุรัสของเมืองและปราสาทเจ้าเมืองคึกคักเป็นพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนมากมายไปที่นั่นและพาลูกน้องของพวกเขาไปยังปราสาทเจ้าเมือง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไปหาความรื่นเริงใจ
ในเวลาเที่ยงคืน, เมืองอัสนีฟ้ากระจ่างเงียบสงัดอย่างสมบูรณ์ เจียงอี้บอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน ส่วนเขานั้นนั่งขัดสมาธิและฝึกฝนทั้งคืน!
ก่อนรุ่งสาง เมืองก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างพากันไปที่จัตุรัสกลางเมือง มีคนหนึ่งหมื่นคนไปรวมตัวกันที่จัตุรัสนั้น พวกเขาถูกแบ่งออกเป็นสิบกองและเดินไปยังประตูเมืองตะวันออกอย่างเป็นระเบียบ ประตูนั้นใหญ่พอที่จะให้คนหมื่นคนเดินออกไปได้อย่างราบรื่นและเป็นระเบียบ ไม่เช่นนั้นคงต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าคนเหล่านี้จะเดินออกไปได้
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น คนทั้งหมื่นคนนี้ก็ออกจากเมืองไปแล้ว และเมืองก็เงียบสงบอีกครั้ง และเจียงอี้เองก็หยุดใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเช่นกัน จากนั้นเขาก็โบกมือและพูดว่า “ไปกันเถอะ! ออกไปนอกเมืองกัน!”
“ออกไปนอกเมือง?”
เฟิ่งหลวนและคนอื่นๆตกใจ พวกเขามีเวลาสามวันและต้องส่งหินอัสนีในวันที่สี่ แต่ทำไมเจียงอี้ถึงอยากออกจากเมืองในวันที่สองกันล่ะ? มันเป็นเรื่องที่ดีจริงๆหรือที่จะออกไปในตอนที่พวกเขายังมีข้อมูลไม่มากเท่าไหร่นัก?
เฟิ่งหลวนกำลังจะพูดกับเจียงอี้ แต่เมื่อนางเห็นใบหน้าที่มุ่งมั่นของเขา นางก็เงียบลงไป ส่วนคนอื่นๆนั้นไม่แม้แต่จะเกลี้ยกล่อมเขาเลย พวกเขาไม่มีอะไรมากมาย เพียงแค่ลุกขึ้นและออกไปข้างนอกเท่านั้น
“เอาล่ะ เดินทางไปยังประตูเมืองด้านตะวันออกให้ไวที่สุด!” เมื่อพวกเขาอยู่นอกลานบ้าน เจียงอี้ก็โบกมือและรีบพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับเจียงเสี่ยวนู๋ ส่วนเฟิ่งหลวนและคนอื่นที่เหลือก็ตามเขาไปยังประตูเมืองด้านตะวันออกอย่างใกล้ชิด
เจียงอี้ไม่ได้บ้าไปหรอก!
หากเฟิ่งหลวนและคนอื่นๆยังไม่คิดว่าเขาจะออกจากเมืองวันนี้ แล้วศัตรูของเขาจะคาดคิดเรื่องนี้เอาไว้หรือไม่? และยิ่งเขาไม่ได้เล่นตามกฎ เขาก็จะสามารถขัดขวางการเตรียมการของศัตรูและมีเวลาตอบโต้มากขึ้นด้วย