เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 656 เปลวเพลิงอัสนี
เจียงอี้คาดเดาไว้ถูกแล้ว เมื่อเขาวิ่งไปพร้อมกับคนของเขาทั้งหมด ผู้ที่คอยแอบตามเขาอยู่ก็ตื่นตระหนกขึ้นมา และเมื่อพวกหน่วยสอดแนมพวกนี้กลับไปส่งข้อความ เจียงอี้ก็ออกจากประตูเมืองตะวันออกไปแล้ว
ความตั้งใจของเจียงอี้ก็คือจับพวกเขาโดยไม่ทันตั้งตัว
หลังจากที่เจียงอี้วิ่งออกไปนอกประตูเมืองทิศตะวันออกไปแล้ว เขาก็มองไปรอบๆและพบว่ามีถนนใหญ่อยู่ตรงหน้าเขา มันเป็นทุ่งร้างตลอดสองข้างทาง และเขาก็ไม่เห็นใครขุดหินอัสนีแถวนี้ เขากวาดมองไปทางซ้ายและตะโกนว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ ให้ทุกคนตามมาอยู่กับข้าใกล้ๆ”
เจียงอี้ให้เจียงเสี่ยวนู๋อยู่กับเฟิ่งหลวน เขาบินไปที่ภูเขาร้างทางซ้ายพร้อมกับเฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวง แม้ว่าเฉียนว่านก้วนจะถึงขอบเขตจินกังแล้ว แต่เขาก็ยังไม่รู้วิธีการบินและนี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะที่เขาจะเรียนรู้การบิน
ฟรึ่บ!
เฟิ่งหลวนและชิงหยีต่างพาคนบินไปยังภูเขาเหมือนสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์ ไม่นานพวกเขาก็หายลับไปในภูเขาที่ห่างไกล
ตูม! ตูม! ตูม!
บนท้องฟ้าทางทิศตะวันออกที่ไกลออกไป สายฟ้าฟาดลงมาที่เกาะอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดหย่อน
ฟรึ่บ!
หลังจากที่ผ่านไปห้านาที ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสี่ก็รีบออกมาจากประตูทางทิศตะวันออก พวกเขาดูลุกลี้ลุกลนและเดือดดาลมากขณะที่วิ่งออกมาเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเขาแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาทันที แต่ก็ไม่พบเจียงอี้เลย
“หามัน!”
หนึ่งในสี่ของผู้เชี่ยวชาญของเขตเทียนจุน เฟ่ยกั๋ว ตะโกนออกมาอย่างสงบนิ่งและบินไปตามถนนพร้อมกับแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาสำรวจรอบๆ
ฟรึ่บ!
ไม่นานหลังจากที่สี่คนนั้นออกมาก็มีคนกว่าสิบคนวิ่งออกมาซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนอีกสามคนอยู่ในนั้น ส่วนคนที่เหลือล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดทั้งหมด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนเผยสีหน้าที่ดูชั่วร้ายออกมา เขาตรวจสถานที่ใกล้ๆก่อนที่จะพูดว่า “ไปเถอะ จับผู้หญิงพวกนั้นมาและหัวหน้าหลงจะตอบแทนเราอย่างงาม”
คนเหล่านี้ไม่ได้ตรงไปที่ภูเขารกร้างเช่นกัน พวกเขาวิ่งไปตามถนนหลักและมองไปที่ภูเขาด้วยความกลัวราวกับว่าภูเขาลูกนั้นอันตรายมาก
และที่จริงแล้ว…!
ภูเขานั้นอันตรายมากจริงๆและเจียงอี้และคนอื่นๆก็สัมผัสได้ถึงอันตรายอยู่ในตอนนี้ แต่ไม่มีสัตว์อสูรอยู่ในภูเขาเลย หลังจากที่บินไปหลายกิโลเมตร อากาศก็ร้อนระอุจนหยุนเฟยและคนอื่นๆแทบทนไม่ไหว
ส่วนเจียงอี้นั้นมีไข่มุกวิญญาณเพลิงและไม่รู้สึกถึงความร้อนเลย เขาจึงถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ “พวกเจ้าเป็นอะไรกันน่ะ?”
เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงกำลังสู้อยู่กับความร้อน และเมื่อเจียงอี้ถามพวกเขา เฉียนว่านก้วนก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นว่า “ลูกพี่ไม่ร้อนหรอ? โอ้…ข้าลืมไปว่าเจ้าไม่กลัวไฟ”
เจียงอี้มองไปรอบๆและตระหนักได้ว่าหน้าของหยุนเฟยและคนอื่นๆเริ่มกลายเป็นสีแดงและและผมของพวกเขาก็เริ่มเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์มองไปรอบๆอย่างรวดเร็วและเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆแล้ว เขาก็นำราชวังจักรพรรดิออกมาและพาหยุนเฟย, เฉียนว่านก้วน, จ้านอู๋ซวง, เจียงเสี่ยวนู๋และชิงหยีเข้าไป จากนั้นเขาก็ส่งข้อความเสียงไปบอกพวกเขาว่าให้เตรียมสู้เอาไว้ พวกเขาจะถูกเคลื่อนย้ายออกมาได้ตลอดเวลาหากเขาต้องการความช่วยเหลือ
“เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าไหวไหม? ทำไมที่นี่มันร้อนแบบนี้?”
เจียงอี้ถามเฟิ่งหลวนอย่างเป็นห่วง นางยิ้มจางๆและพูดว่า “นายน้อยประเมินข้าต่ำไปแล้ว ข้าจะเปิดโล่ศักดิ์สิทธิ์หากว่ามันร้อนเกินไป ข้ายังไม่เป็นอะไรแม้ว่าอุณหภูมิจะสูงกว่านี้อีกห้าเท่า”
“ระวังหลังให้ข้าที ข้าจะปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกไปดูสถานการณ์รอบๆหน่อย”
เจียงอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจบินตรงไป ส่วนเฟิ่งหลวนก็ตามเขาไปและเปิดโล่ศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย นางแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพื่อคอยระวังอยู่เสมอ
ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้นั้นกลายเป็นสายลมและสำรวจไปทั่วทุกสารทิศ และในไม่ช้าเขาก็พบต้นเหตุของอุณหภูมินี้ ภูเขาเบื้องหน้าเขามีลูกไฟสีฟ้าลอยอยู่ มันลอยไปมาเร็วมากเหมือนผี บางครั้งก็มีประกายไฟฟ้าวูบวาบที่ลูกไฟนั้นซึ่งมันดูน่ากลัวมาก
“นี่มันเป็นไฟอะไรกัน?”
เขาเตะตาลูกไฟนั้นเข้าให้เพราะไฟเป็นของชอบของเขา แต่เปลวไฟพวกนี้ก็ค่อนข้างแปลกเล็กน้อย ทำไมมันถึงแล่นไปรอบภูเขาได้? แถมมันยังวูบวาบไปด้วยสายฟ้าอีก หรือมันเป็นประเภทเดียวกับเปลวเพลิงอเวจี?
“มันคือเปลวเพลิงอัสนี!”…ไอลีนโนเวล
แสงสีขาวสาดส่องและเสียงคำรามแต่ไกลทำให้เจียงอี้คืนสติกลับมา เปลวเพลิงนั้นส่องประกายไปด้วยไฟฟ้าและมันน่าจะเป็นเปลวเพลิงอัสนีที่เกิดจากฟ้าผ่า แต่เจียงอี้ก็ยังไม่รู้ว่าทำไมเปลวเพลิงอัสนีจึงลอยไปมาอยู่บนภูเขา
“เหอะ ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่านี่เป็นเปลวเพลิงอัสนี? อุณหภูมิของมันเทียบกับเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์หรือเปล่านะ? เปลวเพลิงอัสนีมีประกายไฟฟ้าอยู่ ข้าจะถูกผ่าไหมถ้าหากข้าเข้าไปเก็บมันใกล้ๆ?”
เจียงอี้ลังเลอยู่พักหนึ่ง เมื่อเขากำลังสำรวจมันต่อก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นจากด้านหลังเขาเล็กน้อย เขาจึงกวาดญาณศักดิ์สิทธิ์ออกไปก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาทันทีและพูดว่า “มีคนกำลังมาที่นี่ เฟิ่งเอ๋อร์ ไปกันเถอะ!”
ผู้ที่มาที่นี่คือสี่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนและเจียงอี้ก็รู้จักหนึ่งในนั้น เขาเป็นคนของป้าเตาผู้มีนามว่าเฟ่ยกั๋ว พวกนั้นติดตามเจียงอี้และเฟิ่งหลวนมาอย่างใกล้ชิดด้วยความรวดเร็ว มันเห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะมาเอาชีวิตเจียงอี้ แม้ว่าเจียงอี้จะเห็นว่าทั้งสี่คนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับต่ำ แต่เจียงอี้เองก็หวังที่จะเลี่ยงการต่อสู้ให้ได้มากที่สุด
เขาให้เฟิ่งหลวนอุ้มเขาไปทางซ้าย ส่วนคนเหล่านั้นก็กำลังวิ่งไปตามถนน เจียงอี้อยู่ห่างจากถนนประมาณสิบกิโลเมตร แต่ในท้ายที่สุดศัตรูก็จะเจอตัวพวกเขาอย่างแน่นอน และเนื่องจากศัตรูไม่ก้าวเข้ามาในภูเขา เขาเลยจะวิ่งตรงไปยังใจกลางเทือกเขา และเขาจะหนีจากการตามล่าได้ด้วย
ฟรึ่บ!
เจียงอี้และเฟิ่งหลวนข้ามผ่านท้องฟ้าไปและในไม่ช้าพวกเขาก็เดินทางมาไกลกว่าสิบกิโลเมตรแล้ว แต่เฟิ่งหลวนก็หยุดและพูดว่า “นายน้อย ด้านหน้าอุณหภูมิมันสูงเกินไป มันกดแก่นแท้พลังข้ามากเกินไปเจ้าค่ะ”
“หืม?”
เจียงอี้กวาดสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปข้างหน้า เขาเห็นลูกไฟสีน้ำเงินลอยมาทางพวกเขา จากนั้นเขาก็หันไปหาเฟิ่งหลวนและพูดว่า “เจ้าเองก็เข้าไปในราชวังจักรพรรดิด้วยแล้วกัน ข้าไม่กลัวไฟและจะปลอดภัยมากเมื่ออยู่ที่นี่”
“นายน้อย ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ ลูกไฟนั้นมีสายฟ้าอยู่ อย่าเข้าไปใกล้มันตามอำเภอใจนะเจ้าคะ”
เฟิ่งหลวนเองก็ตรวจสอบลูกไฟนั้นและเตือนเจียงอี้ก่อนที่จะเข้าไปในราชวังจักรพรรดิ จากนั้นเจียงอี้ก็หยุดนิ่งอยู่ชั่วขณะและแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปยังเปลวเพลิงอัสนีเพื่อดูว่ามันมีสายฟ้าอยู่ในนั้นจริงๆหรือไม่
จี๊! จี๊!
เมื่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อยู่ห่างจากเปลวเพลิงอัสนีประมาณสามร้อยเมตร สายฟ้าก็สว่างวาบออกมาจากเปลวเพลิงอัสนีซึ่งมันพุ่งไปยังสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้เหมือมังกรคลั่งจึงทำให้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาหายไปทันที
“อ๊าก!”
เมื่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้ถูกทำลายไป ดวงจิตวิญญาณของเจียงอี้เองก็ได้รับอันตรายเช่นกัน เขาดิ้นไปมาบนท้องฟ้าและจับหัวตัวเองเอาไว้ เขาตกลงไปในหุบเขาและกระแทกเข้ากับก้อนหินยักษ์จนมันแตกเป็นเสี่ยงๆ
“อ๊าก อ๊ากก!”
การที่ดวงจิตวิญญาณบาดเจ็บนั้นเป็นสิ่งที่น่ากังวลที่สุด ดวงตาของเจียงอี้เบิกกว้างพร้อมจับหัวเขาและดิ้นอยู่กับพื้น มันเจ็บปวดจนร่างของเขาสั่นสะท้านและความรู้สึกนั้นเลวร้ายกว่าการถูกเฉือนเนื้อเสียอีก
เจียงอี้ใช้เวลาอยู่ราวๆห้านาทีเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เขาอ้าปากนำอากาศเข้าสู่ร่างกายอยู่ที่พื้นและยังคงรู้สึกกลัวอยู่เรื่อยๆเมื่อนึกถึงความทรมานในดวงจิตวิญญาณของเขา เหงื่ออันเย็นเยียบไหลลงมาจากหน้าผากของเขา
“ข้าแตะเปลวเพลิงอัสนีไม่ได้จริงๆ แค่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้ายังถูกทำลายก่อนที่จะเข้าใกล้มันเลย แล้วถ้าเป็นคนขึ้นมา มันจะไม่ถูกไฟดูดจนเหลือแต่เถ้าถ่านเลยหรือ?”
แต่เดิมเจียงอี้วางแผนไว้ว่าจะทดสอบว่าไข่มุกวิญญาณเพลิงของเขาดูดซับเปลวเพลิงอัสนีได้หรือไม่ แต่ตอนนี้เขาคงไม่กล้าที่จะลองแล้ว ความรู้สึกที่เขาได้สัมผัสมาในตอนนี้มันน่ากลัวเกินไป เขาคิดว่าเขากำลังจะตายเสียแล้ว
ฟรึ่บ!
ในตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงเจาะอากาศดังมาจากถนน มีคนสี่คนพุ่งมาทางเขาอย่างรวดเร็ว พวกเขาเปิดโล่ศักดิ์สิทธิ์ออกมาทั้งหมดซึ่งมีแสงสีทองอร่ามเรืองรองอยู่รอบตัวพวกเขา
หนึ่งในนั้นส่งข้อความเสียงมาแต่ไกลว่า “เจ้าหนู เจ้ากล้าวิ่งเข้าไปยังสันเขาอัสนีได้อย่างไร! เจ้านี่มันช่างกล้าจริงๆ โชคดีที่เจ้าไม่ถูกเปลวเพลิงอัสนีสังหารไป เอาล่ะ…เรื่องนั้นมันไม่สำคัญแล้ว ส่งสาวงามทั้งสี่ให้เราซะแล้วเราจะไว้ชีวิตเจ้า ไม่เช่นนั้นก็จงตายซะ!”