เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 660 เสี่ยวนู๋ กลับมา!
มีบางอย่างที่เจียงอี้ยังไม่รู้
จริงๆแล้วมันมีสองวิธีที่จะได้หินอัสนีมา ทางแรกคือรอให้หินอัสนีปะทุออกมาใกล้ๆภูเขาอัสนี ทางที่สองคือการขุดหินอัสนีที่สันเขาอัสนี
โดยปกติแล้ว ทุกคนมักจะไปตามเส้นทางหลังซึ่งมุ่งตรงไปสู่ภูเขาอัสนีและรอให้หินอัสนีระเบิดปะทุออกมาเองก่อนที่จะไปชิงมันเพราะสถานที่แห่งนี้ปลอดภัยที่สุด อุณหภูมิจะสูงขึ้นเมื่องเปลวเพลิงอัสนีนั้นกำลังจะแผ่ซ่านออกมาจากภูเขาซึ่งทำให้ทุกคนต้องถอยร่นออกมาก่อน นอกจากนี้ภูเขาทั้งสิบนี้ถูกครอบครองโดยหัวหน้าทั้งสิบซึ่งมันจะไม่เกิดความขัดแย้งใดๆกัน
ในเมืองมีหัวหน้าทั้งหมดสิบคนเพราะภูเขาอัสนีมีสิบลูก หากมีใครต้องการขึ้นเป็นหัวหน้าคนที่สิบเอ็ด คนผู้นั้นก็จะต้องกำจัดหัวหน้าคนใดคนหนึ่งไปและยึดภูเขาอัสนีมาเป็นของตัวเอง
หัวหน้าทั้งสิบคนต่างทำข้อตกลงกันลับๆว่าจะไม่ไปปล้นหินอัสนีที่ปะทุออกมาจากภูเขาที่ไม่ใช่ของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าฉกกันข้ามภูเขาในแต่ละลูกเลย
หัวหน้าทั้งสิบยังสั่งอีกว่า การได้หินอัสนีมานั้นล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและโชค ก่อนที่มันจะไปอยู่ในมือของใคร มันก็สามารถแย่งชิงกันได้ แต่ต้องไม่มีใครชิงหินอัสนีที่อยู่ในมือของคนที่ได้มาแล้ว อย่างน้อย…ก็ไม่ใช่ในที่สาธารณะ มันขึ้นอยู่กับความสามารถในการชิงหินอัสนีในความมืด!
แต่แน่นอนว่ามีหลายคนที่พยายามใช้วิธีที่สองเช่นคนมาใหม่หรือคนที่อ่อนแอเกินกว่าจะได้หินอัสนีมา คนเหล่านั้นมักจะเสี่ยงและสุดท้ายก็จะตายหลังจากเข้าไปยังสันเขาอัสนี
โดยปกติแล้ว สายฟ้าจากท้องฟ้าจะฟาดลงมาที่ภูเขาอัสนีทั้งสิบลูก แต่บางครั้งมันก็จะฟาดลงมายังสันเขาอัสนี หากมันฟาดไปยังหินสีดำภายในสันเขาอัสนี มันก็จะก่อให้เกิดหินอัสนีเช่นกัน
แต่เมื่อมีหินอัสนี มันก็มักจะมีเปลวเพลิงอัสนีที่น่ากลัวมากซึ่งนักสู้ปกติทั่วไปไม่สามารถเข้าใกล้เปลวเพลิงอัสนีได้ ส่วนผู้ที่รู้ถึงเปลวเพลิงอัสนีดีจะเลี่ยงสันเขาอัสนีทุกวิถีทาง และปกติแล้วคนทั่วไปก็มักจะเสี่ยงเข้าไปที่เขานั้นเฉพาะตอนที่พวกเขาสิ้นหวังแล้วจริงๆ
เจียงอี้นั้นไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ แต่เขารู้เพียงว่าเขาพบหินอัสนีเท่านั้นก็พอแล้ว
เขาถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และวิ่งตรงไปทางส่วนลึกของสันเขาอัสนีทันที เขาอยากจะรวบรวมหินอัสนีให้พอเพื่อที่จะได้อยู่อย่างสงบในเมืองและอยู่ในนั้นหนึ่งปีอย่างปลอดภัย
เขาบินไปด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้าขณะที่มองหาเปลวเพลิงอัสนีไปด้วย
หากคนอื่นๆในเมืองรู้ว่าเจียงอี้บินผ่านสันเขาอัสนีได้อย่างง่ายดาย มันคงทำให้พวกเขาทั้งหมดต้องตกใจเป็นแน่ สันเขาอัสนีมีขนาดใหญ่มากและมันก็ผลิตหินอัสนีไว้มากมายซึ่งไม่มีผู้ใดพยายามไปเอาหินอัสนีที่นั่นและเจียงอี้ก็จะหาพวกมันได้ง่ายมากๆ แต่แน่นอนว่ามันจะทำให้ทุกคนในเมืองต้องพากันอิจฉาตาร้อน
สองชั่วโมง, สี่ชั่วโมง….แปดชั่วโมง!
เจียงอี้บินไปรอบๆสันเขาอัสนีราวกับลิงและได้หินอัสนีมาอย่างน้อยแปดร้อยก้อนภายในแปดชั่วโมง เขาจะต้องส่งหินอัสนีให้เก้าก้อนในทุกๆวันซึ่งมันจะเท่ากับเก้าสิบก้อนทุกๆสิบวัน ซึ่งตอนนี้เขามีหินอัสนีมากกว่าแปดร้อยก้อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงอยู่ที่นั่นได้เกินสามเดือน
“นี่น่าจะพอแล้วใช่ไหมนะ?”
เมื่อเจียงอี้มองไปบนฟ้า มันก็เกือบจะค่ำแล้ว และเขาก็จำได้ว่าทุกๆคนเข้าเมืองในตอนค่ำเพราะไม่มีใครกลับมาในตอนกลางคืนเลย ในตอนกลางคืนไม่มีฟ้าร้องเลยดังนั้นทุกคนจึงกลับไปที่เมือง การระมัดระวังเป็นเรื่องที่ดีที่สุด และในเมื่อเขามีหินอัสนีมากกว่าแปดร้อยก้อนแล้ว มันก็น่าจะพอที่เขาจะอยู่ได้สักสองสามเดือนแล้วล่ะ
เจียงอี้รีบพุ่งไปทางเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง เขาเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์และหากมีความวุ่นวายใดๆเกิดขึ้น เขาก็จะรู้เป็นคนแรก เนื่องจากเขาถูกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสี่คนซุ่มโจมตีเขาในตอนเช้า มันจึงทำให้เขาระวังตัวมากขึ้นเล็กน้อย
ขณะที่เขาเดินทางไปนั้นมันสงบมาก หนึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็อยู่ห่างจากประตูเมืองประสาณสามสิบกิโลเมตรแล้ว และหากเขาไม่หลับตา เขาก็จะเห็นเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างขนาดยักษ์ได้แต่ไกล
และในตอนนั้นเอง…
เขาก็หยุดนิ่งกระทันหันเมื่อเขาสังเกตเห็นบางอย่างด้านหน้า มีเสียงลมหายใจเบาๆอยู่ด้านหน้า เสียงนั้นแผ่วเบามากแต่เจียงอี้อยู่ในสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ มันจึงทำให้เขาไวต่อสภาพแวดล้อมรอบข้างมากๆ
“หนึ่งกิโลเมตรข้างหน้าในโพรงของภูเขาเล็กๆ มีคนอยู่ตรงนั้นสี่คน! ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสี่คนนั้น”
เจียงอี้คิดอย่างรวดเร็วในขณะที่เขาถอยกลับไปเงียบๆ เขาบินวนไปวนมาอยู่แถวนั้นและพบเจอที่ที่มีเปลวเพลิงอัสนีอยู่ เขายืนอยู่บนยอดเขาเล็กๆและลืมตาขึ้นขณะที่คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน
สี่คนนี้แอบซุ่มอย่างแยบยล ที่นี่อยู่ใกล้กับเมืองมากและผู้ที่ต้องการจะเข้าเมืองก็จะต้องผ่านพวกเขาไป ซึ่งเจียงอี้สามารถย้ายร่างฉับพลันเข้าไปในเมืองได้ แต่ความเร็วของเขาช้าเกินไป พวกนั้นก็คงจะตามมาทันก่อนที่เขาจะไปถึงประตูเมืองแน่ๆ
“สังหารทั้งสี่คนนี้!”
ในที่สุดเจียงอี้ก็ตัดสินใจในขณะที่เขาเองนั้นมีข้อได้เปรียบอยู่ อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขามีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนสี่คน หากเขานำเจียงเสี่ยวนู๋, เฟิ่งหลวนและมังกรวารีสีทองออกมา พวกเขาก็จะจับคนพวกนั้นได้โดยไม่ทันตั้งตัวแน่นอน และหากพวกเขาทั้งสี่คนโจมตีคนสองคนในเวลาเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถสังหารพวกนั้นได้ แต่ก็คงจะทำให้บาดเจ็บสาหัสอยู่
ทั้งสี่คนนั้นตามเจียงอี้มาถึงสองครั้งและเขาก็รู้ถึงพลังของพวกนั้น และทั้งหมดนั่นก็ไม่ถือว่ามีพลังมากมายนัก แต่มีเพียงแค่สิ่งเดียวที่เจียงอี้ควรกลัวคือสมบัติที่มีรูปร่างคล้ายกระสวยแหลมๆที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนที่ทรงพลังที่สุดในนั้นมีอยู่ ซึ่งมันน่าจะเป็นสมบัติเหนืออิทธิฤทธิ์…Aileen-novel
หากพวกเจียงอี้ร่วมมือกันสังหารคนผู้นั้นก่อน อีกสามคนที่เหลือก็จะถูกกำจัดได้อย่างง่ายกาย ยังไงแล้วรูปแบบเต๋าราตรีของเฟิ่งหลวนก็เป็นการโจมตีแบบกลุ่มและเมื่อทั้งสามคนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยรูปแบบเต๋าราตรีแล้ว พวกเขาก็จะไม่สามารถหนีไปไหนได้
ในตอนนี้ อีกฝ่ายยังคงซ่อนตัวและไม่รู้ว่าเจียงอี้เจอพวกเขาแล้ว ทั้งสี่คนนี้ไม่กล้าแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปอย่างประมาท ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นเพราะมีเปลวเพลิงอัสนีอยู่แถวๆนี้ด้วย
วางแผนโดยไม่มีการเตรียมการเอาไว้!
หลังจากที่เจียงอี้ตัดสินใจในแผนการนี้แล้ว เขาก็รีบนำราชวังจักรพรรดิออกมาทันทีและส่งข้อความเสียงไปยังเฟิ่งหลวน, มังกรวารีสีทองและเจียงเสี่ยวนู๋ พวกเขาทั้งสามนั้นเป็นกังวลกับเจียงอี้อยู่ตลอดเวลาและเมื่อได้ยินเสียงของเจียงอี้ พวกเขาก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เจียงอี้อธิบายสถานการณ์ให้พวกเขาทั้งสามฟังแล้วและหลังจากนั้น ดาบมังกรเพลิงก็ปรากฏขึ้นบนมือของเขาเงียบๆพร้อมกับเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์อีกครั้ง จากนั้นเขาก็ค่อยๆบินไปด้านหน้า
ห้ากิโลเมตร, สามกิโลเมตร….หนึ่งกิโลเมตร!
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสี่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในดินใต้ภูเขาและเจียงอี้ก็แสร้งทำเป็นว่าเขาไม่เห็นพวกมัน เขาหันซ้ายหันขวาไปและไม่แม้แต่จะขยายสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา ซึ่งพวกที่อยู่ด้านล่างเองก็เช่นกัน ราวกับว่าทั้งสองฝ่ายยังไม่เห็นกันและกัน
หนึ่งพันเมตร!
สามร้อยเมตร!
ปัง!
หินด้านล่างปะทุออกมาทันทีและมีร่างทั้งสี่พุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้าราวกับมังกรที่ดุร้าย กระสวยที่มีแสงอันเย็นเยียบพุ่งเข้าหาเจียงอี้อย่างรวดเร็ว และในตอนนั้นเอง เจียงอี้ก็หายตัวไป
“เหอ…”
พวกเขาทั้งสี่กระพริบตาอย่างไม่เชื่อ พวกเขาทั้งหมดคิดว่าจะสังหารเจียงอี้ได้ทันทีในระยะที่ใกล้ขนาดนี้และไม่คิดเลยว่าปฏิกิริยาของเจียงอี้จะเร็วมาก
พวกเขาทั้งสี่มองไปทางทิศตะวันตกพร้อมกันเพราะคิดว่าเจียงอี้คงพยายามหนีไปที่เมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง แต่หลังจากที่มองไปแล้วก็ไม่พบร่างของเจียงอี้
ทุกคนเริ่มสงสัยอีกครั้งและเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเจาะอากาศเบาๆจากด้านล่าง มันก็ทำให้พวกเขาทั้งสี่คนรู้ทันที ดวงตาสี่คู่กวาดมองลงไปและเห็นร่างของเจียงอี้ปรากฏขึ้นที่ด้านล่างพวกเขาอีกครั้ง
บรึฟ!
ในเวลาเดียวกัน ราชวังจักรพรรดิก็สว่างขึ้นและร่างสามร่างก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มือของเฟิ่งหลวนพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็วในขณะที่กลิ่นอายสีดำมารวมอยู่ที่นางและปกคลุมท้องฟ้าในทันที
ฟรึ่บ!
เจียงเสี่ยวนู๋เปลี่ยนร่างตั้งแต่อยู่ในราชวังจักรพรรดิแล้วและกลิ่นอายของนางก็น่ากลัวมาก มันทำให้หัวใจของทั้งสี่คนนั้นสั่นสะท้านเมื่อดวงตาสีเขียวนั้นมองมาที่พวกเขาพร้อมกับกรงเล็บที่เปล่งแสงสีเขียวออกมาพร้อมกับกลิ่นอายของความตาย เจียงเสี่ยวนู๋รีบบินไปข้างหน้าทันทีที่นางปรากฏตัวออกมา ก่อนที่ทุกคนจะถูกปกคลุมด้วยรูปแบบเต๋าราตรี กรงเล็บของนางก็ได้ฟาดฟันไปที่เฟ่ยกั๋วแล้ว
“เสี่ยวนู๋ กลับมา!”
เจียงอี้ตื่นตระหนกมาก ก่อนหน้านี้เขาส่งข้อความถึงเจียงเสี่ยวนู๋เพื่อให้นางคอยก่อน เขาขอให้นางรอพวกเขาโจมตีกันก่อนและหาโอกาสโจมตีอีกครั้งภายหลัง แต่เขาไม่ได้คิดว่าแค่ดาบมังกรเพลิงของเจียงอี้เพิ่งจะส่องสว่าง เจียงเสี่ยวนู๋ก็พุ่งออกไปแล้ว