เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 666 รั่วเสวี่ย รอข้าก่อนนะ!
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 666 รั่วเสวี่ย รอข้าก่อนนะ!
“บ้าเอ้ย! พวกเปลวเพลิงอัสนีเหล่านี้เริ่มกระจายออกมารอบๆในช่วงยามค่ำคืนจริงๆ!”
ดวงดาวบนท้องฟ้าไม่ได้มีมากมายนัก มันมืดครึ้มมากและมีเงาเปลวเพลิงที่ลุกโชนสว่างอยู่รอบนอกสันเขาอัสนีซึ่งมันดูเหมือนเปลวเพลิงอเวจีในหุบเขาชิงวิญญาณเลย
มันไม่ได้มีแค่ที่นี่ แต่ทั่วทั้งหุบเขาทั้งหมดมีเปลวเพลิงอัสนีอยู่รอบๆเต็มไปหมด
เจียงอี้รู้สึกตะลึงและท้อแท้เล็กน้อย
เขาไม่สามารถระบุที่ตั้งของหินอัสนีได้เลย ครั้งที่แล้วเขาเจอมันได้ง่ายๆเพราะที่ใดก็ตามที่มีเปลวเพลิงอัสนี ที่นั่นก็จะมีหินอัสนี แต่คราวนี้เมื่อเปลวเพลิงอัสนีวนเวียนไปทั่วเช่นนี้แล้วเขาจะหาหินอัสนีได้อย่างไร? นอกจากนี้เขายังไม่กล้าใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์สำรวจพื้นที่ด้วยเพราะเขาจะต้องเจ็บปวดรวดร้าวหากว่าปะทะเข้ากับเปลวเพลิงอัสนี
ดังนั้นเขาเองก็เลยกลายเป็นเหมือนวิญญาณเร่ร่อนที่วิ่งไปรอบๆภูเขาที่มืดสนิท เขาไม่รู้ว่าควรไปที่ไหน ดังนั้นเขาจึงได้แต่หลบเลี่ยงเปลวเพลิงอัสนีขณะที่รอให้ถึงรุ่งสาง
โชคดีที่เปลวเพลิงอัสนีไม่ได้เร็วมากนัก เขาจึงสามารถหลบเลี่ยงพวกมันได้ตลอดโดยการย้ายร่างฉับพลันและเมื่อเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ เจียงอี้ก็ไม่ต้องใช้ย้ายร่างฉับพลันอีกต่อไป เขาจะสามารถหลบเลี่ยงพวกมันได้อย่างง่ายดายและกำหนดทิศทางของเปลวเพลิงอัสนีล่วงหน้าได้
“โอ้ใช่แล้ว…ข้าตรงไปยังภูเขาอัสนีได้นี่นา บางทีมันอาจจะมีหินอัสนีปะทุอยู่ที่นั่น”
เจียงอี้นึกถึงภูเขาอัสนีทั้งสิบลูกได้และเขาก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที ภูเขาอัสนีพวกนั้นปะทุหินอัสนีออกมา แล้วถ้าหากว่าในตอนกลางคืนมันก็ปะทุหินอัสนีออกมาด้วยล่ะ?
ฟรึ่บ!
เขารีบบินไปทางตะวันออกทันที มันอาจจะมีเปลวเพลิงอัสนีอยู่รอบๆภูเขาตลอดเวลาแต่เจียงอี้ก็ว่องไวมากและเปลวเพลิงอัสนีเหล่านั้นก็ไม่มีทางเข้าใกล้เขาได้
สิบห้านาที, สามสิบนาที……หนึ่งชั่วโมง!
เจียงอี้มาถึงบริเวณภูเขาอัสนีแล้ว เขามองไปยังภูเขาอัสนีขณะที่ยืนอยู่ที่ยอดเขาเล็กๆ และใบหน้าของเขาก็เผยร่องรอยของความเจ็บปวดใจออกมา
ภูเขาทั้งสิบตั้งตระหง่านอยู่ภายหน้าเขาซึ่งเปลวเพลิงอัสนีนั้นอยู่รอบๆภูเขาอัสนีและพวกมันเหมือนหิมะเรืองแสงมาก
ภูเขาอัสนีสี่ลูกมีหินอัสนีตกอยู่ที่พื้นและมันน่าจะถูกภูเขาอัสนีปะทุออกมา แต่ปัญหาก็คือ….เจียงอี้ไม่กล้าไปเอาพวกมันมาเพราะมันมีเปลวเพลิงอัสนีอยู่ใกล้ๆมากเกินไป
“หรือจะรอฟ้าสางก่อนดี?”
เจียงอี้จ้องมองไปที่หินอัสนีที่ส่องประกายอยู่บนพื้นด้วยความโลภ บนพื้นนั้นมีหินอัสนีอยู่อย่างน้อยสองพันก้อน แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้
“เอ๊ะ? มีหินอัสนีสองก้อนอยู่ตรงนั้นนี่!”
เจียงอี้กวาดตามองไปรอบๆและพบแสงสองสายที่ทะเลทรายซึ่งห่างจากภูเขาอัสนีลูกแรกอยู่หลายสิบกิโลเมตร เขารีบพุ่งไปที่นั่นทันที
“พวกมันคือหินอัสนีจริงๆด้วย!”
เจียงอี้ลงมาจากเขาแล้ว แม้ว่ามันจะมีเปลวเพลิงอัสนีอยู่รอบๆทะเลทรายนี้ แต่มันก็มีน้อยมากเพราะพื้นที่ตรงนี้อยู่ห่างจากภูเขาอัสนีมากพอสมควร เขารีบเก็บมันเข้าไปและเริ่มค้นหาแถวๆนั้น หินอัสนีที่ปะทุออกมาจากภูเขาอัสนีอาจกระเด็นออกมาไกลมากและเมื่อมันเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาก็ค่อยๆเก็บมันทีละก้อนได้
เขาค่อยๆบินไปบริเวณนั้นเรื่อยๆและสิบห้านาทีต่อมา เขาก็พบหินอัสนีหลายสิบก้อนแล้ว เขาจ้องมองไปยังทะเลทรายด้านหลังภูเขาก่อนที่จะพุ่งไปที่นั่นอย่างรวดเร็วและค่อยๆสอดส่องบริเวณที่ไกลจากภูเขาเล็กน้อย
“เอ๊ะ? มันมีสันเขาอัสนีอีกลูกอยู่ด้านหลังภูเขาอัสนี?”.Aileen-novel.
เมื่อเจียงอี้อยู่ห่างออกไปประมาณสิบกิโลเมตรหลังภูเขาอัสนีทั้งสิบลูก เขาก็เห็นสันเขารกร้าง จากนั้นเขาก็เผยสีหน้าที่ดีใจมากเมื่อเห็นว่ามีเปลวเพลิงอัสนีอยู่ภายในสันเขาลูกนั้นมากมาย
สันเขาอัสนีเป็นอาณาเขตของเขา และยิ่งมันกว้างมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งมีหินอัสนีมากขึ้นเท่านั้น เขาเองก็จะใช้ประโยชน์จากมันได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
เจียงอี้วนอ้อมรอบภูเขาอัสนีไปและรวบรวมหินอัสนีได้กว่าร้อยก้อน ส่วนหินอัสนีที่อยู่บนพื้นใกล้กับภูเขาอัสนีมันมีเปลวเพลิงอัสนีมากเกินไป เจียงอี้จึงไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆมัน
“เมื่อถึงยามรุ่งสาง เปลวเพลิงอัสนีจะหายลับไป แล้วข้าจะมุ่งไปเก็บพวกมันทั้งหมดก่อนที่จะไปหาหินอัสนีในสันเขาต่อ”
เจียงอี้นั่งลงไปซึ่งมันห่างจากภูเขาอัสนีอยู่พอควร ในบริเวณนี้มีเปลวเพลิงอัสนีน้อยกว่าที่นั่นและบางครั้งก็จะมีเปลวเพลิงอัสนีลอยผ่านมาและเขาก็ต้องหลบพวกมันก่อนที่พวกมันจะมาใกล้ๆ
เนื่องจากเขานั่งอยู่เฉยๆ เขาจึงจ้องมองไปยังภูเขาที่สูงลิบขึ้นไปเหนือเมฆและจมอยู่ในความคิด เขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างและเผ่าเทพประทาน ในขณะที่เขาค่อยๆนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น…ความคิดของเขาก็เริ่มลอยออกไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาด้านนอกเกาะแห่งบาป
หญิงงามปรากฏขึ้นในใจเขา ในขณะที่เขากำลังอยู่ในภวังค์ เขาก็รู้สึกว่ามีภาพปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ดวงตาที่อ่อนไหวและบริสุทธิ์คู่หนึ่งจ้องมองมาที่เขาขณะที่นางร้องออกมาอย่างแผ่วเบา “เจียงอี้ เจียงอี้….”
น้ำตาไหลรินอาบใบหน้าของเจียงอี้โดยไม่รู้ตัว เขาจมอยู่ในความเศร้าและความปรารถนาเกินหยั่งถึง เพราะความกลัวและความตกใจ ร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นเล็กน้อย เขาก้มหน้าลงไปกอดเข่าในขณะที่เอามือกุมผมสีแดงของตัวเองเอาไว้และร้องไห้ออกมาเงียบๆ
ผู้ชายไม่ควรหลั่งน้ำตาง่ายๆ
เจียงอี้ไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่คืนนี้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวในต่างถิ่น มันจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่างเปล่าและหลงไปอยู่ในความคิดต่างๆนาๆอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขานึกถึงคนที่เขาไม่กล้าที่จะนึกถึง นั่นก็คือ ซูรั่วเสวี่ย!
นางถูกจีทิงยวี่พาตัวไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพา และที่เจียงอี้ไม่กล้าคิดถึงนางนั่นก็เป็นเพราะเมื่อเขานึกถึงนาง เขาจะตื่นตระหนก, หวาดกลัว, เป็นทุกข์ใจและรู้สึกช้ำใจ
จีทิงยวี่เป็นศัตรูของเขาตั้งแต่ที่นางพาซูรั่วเสวี่ยย้ายไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาด้วย จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสาวงามทั้งสองปรากฏตัวขึ้นในทวีปจักรพรรดิบูรพาที่เต็มไปด้วยยอดฝีมือมากมาย? พวกนางจะถูกจับตัวไปหรือไม่? หรือจะถูกบังคับขืนใจ? หรือจะถูกฆ่า? แล้วซูรั่วเสวี่ยยังมีชีวิตอยู่ไหม? นางกำลังทนทุกข์ทรมานอย่างไม่จบไม่สิ้นหรือไม่?
เจียงอี้ไม่รู้เลย มันเป็นสิ่งที่เขาไม่รู้จึงยิ่งทำให้เขายิ่งตื่นตระหนกและหวาดกลัว ที่เขาไม่กล้านึกถึงอดีตนั่นเป็นเพราะว่าเขากลัวว่าตัวเองจะวู่วามและทำให้ตัวเองสงบลงไม่ได้ และเมื่อเวลานั้นมาถึง ทุกคนจะต้องตาย
“รั่วเสวี่ย รั่วเสวี่ย รั่วเสวี่ย….”
เขาครวญครางออกมาอย่างเศร้าโศก เสียงที่คำรามออกมานั้นเหมือนกับเสียงของสัตว์ร้ายที่จะทำให้ใจทุกคนสั่นไหว และในตอนนั้นเอง กลิ่นอายสังหารก็แผ่ออกมาจากตัวของเจียงอี้และอากาศรอบตัวเขาก็หยุดนิ่งไป
หลังจากนั้นสักพักใหญ่…..!
เขาปล่อยลมหายใจของเขาออกมาและเปลวเพลิงอัสนีก็ลอยผ่านไปรอบๆขณะที่มันสว่างขึ้นในดวงตาของเจียงอี้ ดวงตาคู่นั้นดูเย็นชาและเขาจ้องมองไปยังทิศตะวันตก ทันใดนั้นเขาก็คำรามออกมาด้วยกำลังทั้งหมดของเขา “รั่วเสวี่ย รอข้าก่อนนะ! เจ้าต้องอดทนไว้ ข้าจะรีบแข็งแกร่งขึ้นและแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ข้าจะสังหารทุกคนที่ขวางหน้าเพื่อกลับไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาแน่ๆ! โถงวรยุทธ ข้าสาบานว่าถ้าหากข้าไม่ได้ถอนรากถอนโคนพวกเจ้า ข้าจะเลิกเป็นมนุษย์ ข้าจะเลิกเป็นมนุษย์ซะ!”
เสียงคำรามดังก้องไปบนฟ้าขณะที่มันทำให้ห้วงอากาศสั่นสะเทือนเล็กน้อย เสียงคำรามนั้นดังก้องไปรอบๆและสะท้อนไปยังสันเขาอัสนีเรื่อยๆ
เจียงอี้รู้สึกสบายใจขึ้นมากหลังจากที่เขาคำรามออกมา เขากลับมาสงบนิ่งก่อนที่จะย้ายร่างฉับพลันและหลบเลี่ยงเปลวเพลิงอัสนีที่ลอยอยู่พร้อมกับจ้องมองไปยังภูเขาอัสนีด้วยความงุนงง
“เอ่อ…”
เขาจ้องมองภูเขาอัสนีที่สูงตระหง่านด้วยความว่างเปล่า เปลวเพลิงอัสนีเริ่มค่อยๆเลือนรางไป ดูเหมือนเขาจะจับใจความอะไรบางอย่างได้อย่างคลุมเครือ แต่เมื่อเขาเริ่มนึกคิดถึงเรื่องนี้ จิตใจของเขาก็ว่างเปล่าไป
“สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์!”
เขาจะเข้าถึงอะไรบางอย่างนั้นได้เมื่อเขาอยู่ในสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ ซึ่งเขาเพ่งความสนใจทั้งหมดไปยังภูเขาอัสนีในขณะที่ความรู้สึกที่คลุมเครือที่เขานึกได้เริ่มรุนแรงขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะได้โอกาสจากความรู้สึกที่คลุมเครือนั้นซึ่งมันเป็นโอกาสที่จะทำให้เขาเข้าถึงรูปแบบเต๋าได้..