เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 673 ความรู้สึกบาดใจและความรู้สึกตื่นตานี้
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 673 ความรู้สึกบาดใจและความรู้สึกตื่นตานี้
สิบวัน, ยี่สิบวัน…..สามสิบวัน!
เจียงอี้ใช้ชีวิตที่น่าเบื่ออยู่แบบเดิมซ้ำๆ เขาจะบ่มเพาะแก่นแท้พลังในตอนกลางวันและไปยังภูเขาอัสนีเพื่อทำความเข้าใจรูปแบบเต๋าในยามกลางคืน
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ในเมืองนั้นสงบสุขมาก เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนกับเรื่องนี้ในขณะที่เหลิ่งอ้าวเทียนและหัวหน้าหลี่ก็เข้าสู่สันโดษทำให้หัวหน้าทั้งหกจนปัญญาและได้แต่รอวันครบกำหนดที่เจียงอี้จะกลับเข้าเมือง
เจียงอี้ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลยตลอดเดือนที่ผ่านมา เขารู้สึกว่าร่องรอยของรูปแบบเต๋ามันมาอยู่ในมือเขาแล้ว แต่เขาไม่สามารถสัมผัสหรือคว้ามันไว้ได้เลย
เจียงอี้ไม่ได้ศึกษาศาสตร์เวทย์ใดๆตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมาและทุ่มความพยายามทั้งหมดไปกับการจับร่องรอยรูปแบบเต๋า
เขาไม่ได้ดันทุรังแต่เพียงแค่รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่า…หากเขาเข้าใจรูปแบบเต๋านี้ได้ มันจะเป็นประโยชน์กับเขาอย่างยิ่ง!
เกาะอัสนีฟ้ากระจ่างเป็นเขตกักอัสนีทั้งเกาะ ทุกสิ่งที่นี่มีสายฟ้าอยู่หมดและตอนนี้เขาก็รับรู้ได้ถึงการปรากฏของรูปแบบเต๋าจากภูเขาอัสนี หากเขาเข้าใจมันได้อย่างสมบูรณ์ เขารู้สึกว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างยิ่งและอาจทำให้เขามีช่วงเวลาที่ดีขึ้นบนเกาะอัสนีฟ้ากระจ่างแห่งนี้
และเจียงอี้ได้ส่งมอบหินอัสนีไปยังตำหนักเจ้าเมืองซึ่งทำให้เขาอยู่ได้เป็นเวลาห้าเดือน อย่างไรก็ตามแต่ เมื่อครบห้าเดือนแล้ว เขาจะต้องกลับไปที่เมืองแน่นอน
ไม่จำเป็นต้องบอกเจียงอี้ก็จินตนาการได้ว่ามีคนเฝ้าอยู่ที่ประตูเมืองทุกเมื่อแม้แต่ในยามกลางคืน ดังนั้นเขาต้องใช้เวลาห้าเดือนนี้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา นอกจากการเพิ่มพละกำลังเพื่อสังหารหัวหน้าทั้งหลายแล้ว เขายังต้องพุ่งเข้าไปในเมืองให้ได้
ความแข็งแกร่งของเขาคงไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายนักแม้ว่าจะเข้าถึงศาสตร์เวทย์หรือรูปแบบเต๋าอื่นๆได้ และมันยังคงเป็นไปไม่ได้ที่เขา, เฟิ่งหลวนและมังกรวารีจะพุ่งเข้าไปในเมืองได้ทันทีเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมุ่งมั่นและจดจ่อกับการปรากฏของรูปแบบเต๋านี้
“เฮ้อ….”
ในตอนกลางคืน อุณหภูมิบนเกาะอัสนีฟ้ากระจ่างนั้นสูงมากแต่เจียงอี้ไม่รู้สึกถึงมัน เขากลับรู้สึกว่าเปลวเพลิงอัสนีสีฟ้าที่กำลังกระจายอยู่รอบๆทำให้เกาะทั้งเกาะเหน็บหนาว เขานั่งอยู่บนยอดเขาเล็กๆและมองไปยังภูเขาอัสนีทั้งสิบขณะที่ร่างกายของเขาเผยความโดดเดี่ยวออกมา
“สายฟ้า, ภูเขาอัสนี, สันเขาอัสนี, เปลวเพลิงอัสนี, หินอัสนี……”
เขาพึมพำเบาๆ ช่วงหลังๆนี้เขาไม่ได้เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์อีกต่อไปเพราะมันไม่มีประโยชน์ เพราะเขาจะสัมผัสและจับร่องรอยของรูปแบบเต๋าได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อมองมันเฉยๆ เขาเหมือนคนบ้าบอที่ยืนอยู่บนยอดเขาคนเดียวพร้อมกับพึมพำคำพูดเหล่านั้นซ้ำๆ
ราตรีย่างกรายเข้ามาเรื่อยๆและลมทะเลก็แรงขึ้นเรื่อยๆขณะที่ดาวบนฟ้าเริ่มสลัว จันทร์เสี้ยวแผ่แสงอยู่บนฟ้าและในยามนี้ มันเหมือนกับว่าภูเขาลูกเล็กๆและร่างของคนผู้นั้นได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
“ภูเขาอัสนี, เปลวเพลิงอัสนี, หินอัสนี….หินอัสนี? หินอัสนี!”
ทันใดนั้นดวงตาที่เลือนรางของเจียงอี้ก็สว่างขึ้นทันที เขาเบิกตากว้างและมองซ้ายขวาขณะที่พึมพำว่า “ใช่แล้ว…หินอัสนี! หินอัสนีเกิดขึ้นมาจากภูเขาอัสนี ตระกูลลู่ต้องการหินอัสนีและสามารถเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์ได้ หินอัสนีเพียงก้อนเดียวมีราคาเท่ากับศิลาสวรรค์พันก้อนซึ่งหมายความว่าหินอัสนีนั้นมีค่ามาก ทำไมข้าไม่ลองขัดเกลาหินอัสนีดูล่ะ? ข้าอาจจะพบอะไรใหม่ๆก็ได้?”
เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาและนำหินอัสนีออกมาหนึ่งก้อนพร้อมกับเทแก่นแท้พลังออกมาทีละนิด มันมีลักษณะไม่ต่างจากศิลาสวรรค์และน่าจะใช้แก่นแท้พลังขัดเกลามันได้
อย่างไรก็ตาม!
เมื่อแก่นแท้พลังของเจียงอี้ปกคลุมหินอัสนี สายฟ้าอันทรงพลังก็พุ่งออกมาจากหินอัสนีทันที การตัดสินใจของเจียงอี้ทำให้เขาพบเจอกับเรื่องน่าสยดสยองทันใด!
จี๊! จี๊!
สายฟ้านั้นทรงพลังมากและร่างกายของเจียงอี้ก็สั่นสะท้านและชักดิ้นชักงอ ขนทั้งตัวของเขาตั้งขึ้นและผิวหนังของเขาก็ส่งกลิ่นไหม้ออกมาขณะที่เสื้อผ้าของเขามอดไหม้เป็นผุยผง หากไม่ใช่เพราะเกราะเมฆาอัคคี ผิวหนังของเขาอาจหลุดลุ่ยไปแล้ว
“อ๊ากก…อ๊ากก อ๊ากกกก!”.ไอลีนโนเวล.
ร่างของเจียงอี้สั่นสะท้านขณะที่เขากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของเขากลอกจนเป็นสีขาวและน้ำลายฟูมปาก
มันผ่านไปเพียงสิบลมหายใจ แต่เจียงอี้กลับรู้สึกว่ามันยาวนานนับเดือน
“ฮู่ ฮู่ ฮู่ววว!”
เมื่อความเจ็บปวดจางหายไป เจียงอี้ก็อ้าปากของเขาและหอบ ในยามนี้ทุกลมหายใจของเขาร้อนรุ่มและมีควันไหม้ออกมา เขามองไปยังหินอัสนีที่ตกอยู่ที่พื้นเหมือนมองงูพิษที่น่ากลัว
“ไม่แปลกใจเลยที่มันถูกเรียกว่าหินอัสนี พลังสายฟ้าของมันช่างน่ากลัวมาก โชคดีที่ข้าไม่กล้าใช้แก่นแท้พลังมากเกินไป ไม่เช่นนั้นร่างของข้าคงไหม้เกรียมไปหมด”
เจียงอี้กลืนน้ำลายที่มีแต่กลิ่นไหม้ เขาจับเส้นผมที่ไหม้เกรียมของเขาและกัดฟันหยิบหินอัสนีบนพื้นและใช้แก่นแท้พลังห่อหุ้มมันอย่างเด็ดเดี่ยว แน่นอนว่าครั้งนี้เขาใช้แก่นแท้พลังเพียงหนึ่งในสิบส่วนจากครั้งก่อนซึ่งวิธีนี้มันจะทำให้สายฟ้าที่พุ่งออกมาไม่รุนแรงมากนัก
จี๊! จี๊!
สายฟ้าพุ่งออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันน้อยลงและไม่รุนแรงเท่าครั้งก่อน ร่างของเจียงอี้สั่นเทาเล็กน้อยขณะที่เขากัดฟันและฝืนทนกับมัน
มีร่องรอยของพลังงานที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ซึ่งมันกระจายอยู่ในร่างกายของเขา มันไม่ได้เข้าสู่เส้นลมปราณของเขาเท่านั้นแต่มันได้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งเลือด, เนื้อหนังและกระดูกของเขา ไม่ว่าพลังงานจะผ่านไปยังส่วนใด กล้ามเนื้อของเขาจะกระตุกเล็กน้อยขณะที่เขารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่ส่วนนั้น
มันผ่านวนไปครั้งแล้วครั้งเล่า….พลังงานนั้นค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆและในที่สุดร่างกายของเจียงอี้ก็หยุดสั่นเทาขณะที่ความรู้สึกเจ็บปวดของเขาก็หายไปเช่นกัน
“เอ่อ…เหมือนว่าการขัดเกลาหินอัสนีจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย!”
เขาลืมตาขึ้นมาอย่างผิดหวังขณะที่สายฟ้าจากหินอัสนีไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา….แต่มันไม่ได้ทิ้งพลังงานใดๆไว้ ร่างกายของเขาเองก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงขณะที่พลังอัสนีไม่ถูกกักเก็บไว้ในตันเทียนหรือร่างกายของเขา หรือกล่าวได้ว่ามันไร้ประโยชน์นัก
เขานั่งมองอย่างว่างเปล่าก่อนที่เขาจะตัดสินใจขัดเกลาหินอัสนีต่อไป เขาอยากจะดูว่าพลังไฟฟ้านั้นสามารถควบคุมหรือเก็บไว้ในร่างกายได้หรือไม่และอยากรู้ว่ามันจะช่วยให้เขาเข้าใจรูปแบบเต๋าที่ปรากฏอยู่ในภูเขาอัสนีหรือไม่
เขาปล่อยแก่นแท้พลังออกมาซึ่งมันน้อยกว่าก่อนหน้านี้ ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ซึ่งมันจะทำให้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ
หนึ่งครั้ง, สองครั้ง….สิบครั้ง!
หลังจากใช้หินอัสนีไปจนหมด เจียงอี้ก็หยิบหินอัสนีอีกก้อนออกมา เขาเตรียมที่จะขัดเกลาหินอัสนีทั้งคืนเพราะเขาอยากรู้ว่ามันจะช่วยให้เขาเข้าถึงรูปแบบเต๋าได้หรือไม่เมื่อพลังของสายฟ้าอยู่ในร่างกายเขาในขณะที่เขาขัดเกลาหินอัสนีเหล่านี้
พลังสายฟ้าเข้าสู่ร่างกายของเขาซึ่งมันทำให้ร่างของเขาสั่นไปตามจังหวะขณะที่ลมหายใจของเขาร้อนขึ้นและเต็มไปด้วยกลิ่นอากาศที่ถูกเผาไหม้ โชคดีที่ร่างของเขาแข็งแกร่งราวกับช้างหลังจากที่ขัดเกลาหญ้ามังกรยาจกไป ร่างกายของเขาจะฟื้นตัวเองโดยที่ไม่ต้องหมุนเวียนแก่นแท้พลังเพื่อฟื้นฟูมัน ซึ่งความเสียหายจากสายฟ้านี้จะไม่เป็นปัญหาต่อเขา
ท้องฟ้ากำลังจะสว่างและมันก็ผ่านไปอีกคืน เจียงอี้ได้ขัดเกลาหินอัสนีไปหลายสิบก้อนแล้วแต่ก็ยังไม่มีผลลัพธ์ใดๆ
“เฮ้อ…..”
ในขณะที่เจียงอี้กำลังจะขัดเกลาหินอัสนีที่อยู่ในมือของเขาเสร็จ เขาก็ออกจากสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์อย่างไม่มีทางเลือกขณะที่มองหินอัสนีที่อยู่บนมือเขา เขาหมุนเวียนแก่นแท้พลังอันน้อยนิดแบบลวกๆเพื่อที่จะขัดเกลามันให้เสร็จก่อนที่จะมองไปยังภูเขาอัสนีที่อยู่ไกลๆและเตรียมที่จะไปเก็บหินอัสนีหลังจากที่เปลวเพลิงอัสนีกลับเข้าสันเขาไป
“เอ๊ะ?”
ทันใดนั้นเอง ดวงจิตวิญญาณของเจียงอี้ก็สั่นสะท้านขณะที่เขากระพริบตาด้วยความรู้สึกมึนงง เขาเหลือบมองไปที่ร่างกายของเขาทันทีและสังเกตเห็นบางอย่างที่แปลกประหลาด
หลังจากที่ได้รับความเสียหายจากสายฟ้ามาตลอดทั้งคืน มันรู้สึกราวกับว่าเขามีแรงต้านทานบางอย่างต่อพลังสายฟ้า เมื่อเขาขัดเกลาหินอัสนีก้อนสุดท้ายเสร็จ ร่างกายของเขาก็ไม่สั่นสะท้านจริงๆหรือ? ความเจ็บปวดบนร่างกายของเขามันเบามากจนแทบไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย