เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 685 ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังเอง
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 685 ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังเอง
ตระกูลเสีย, ตระกูลเจี้ยน, ตระกูลหวู่, ตระกูลถู?
หากเป็นเพียงแค่หนึ่งในตระกูลเหล่านั้น ทุกคนคงไม่ได้ตกใจมากเท่าไหร่นักและพวกเขาก็คงจะแค่สงสัยว่าตระกูลเสียที่เจียงอี้พูดถึงนั้นคือตระกูลเสียแห่งทวีปจักรพรรดิบูรพาหรือเปล่า? แต่เมื่อกล่าวถึงตระกูลทั้งสี่แล้ว มันจะต้องเป็นเก้าตระกูลจักรพรรดิไม่ผิดแน่
แต่คำถามก็คือมันเป็นไปได้หรือ?
สี่ตระกูลใหญ่ร่วมมือกันเพื่อไล่ล่าบุคคลเพียงคนเดียว? หากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไป มันจะต้องสร้างความโกลาหลให้กับทั้งปฐพีอย่างแน่นอนและผู้ที่ถูกไล่ล่าจะต้องโด่งดังไปทั่วอย่างแน่นอน แต่เจียงอี้อายุน้อยกว่ายี่สิบปีและเขาอยู่เพียงขอบเขตจินกังเนี่ยนะ? มันคุ้มค่าและหรือกับการที่สี่ตระกูลใหญ่ไล่ล่าเขา? ไม่ใช่ว่าเขาเพียงแค่โอ้อวดหรือ?
หลายคนมองเจียงอี้ด้วยท่าทีที่แปลกประหลาดขณะที่พี่เหิงกระแอมและเย้ยหยัน “ช่างเป็นคำพูดที่ใหญ่โตนัก เหมือนว่าหัวหน้าเจียงของเราจะเคยเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงก้องโลก เหอะ มังกรที่หลบซ่อนอยู่ในอเวจี”
หัวหน้าหลี่ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “หัวหน้าเจียง ตระกูลที่เจ้าพูดถึงอยู่คือตระกูลเสีย, ตระกูลเจี้ยน, ตระกูลหวู่และตระกูลถูแห่งเก้าตระกูลจักรพรรดิหรือเปล่า?”
“ฮึฮึ!”
เจียงอี้ยิ้มและยกแก้วขึ้นมา “มันก็แค่เรื่องขำขัน ทำไมทุกท่านถึงได้จริงจังเช่นนี้? เรามาดื่มกันเถอะ!”
“ฮ่าฮ่า!”
หลายๆคนหัวเราะอย่างเย้ยหยันออกมาขณะที่พี่เหิงกลอกตาของเขาทันที หัวหน้าเหลิ่งและหัวหน้าหลี่ต่างมองหน้ากันและหัวเราะอย่างขมขื่น ทั้งสองคนสงสัยอยู่แล้วว่าเจียงอี้ยังเด็กเกินไปและไม่ได้แข็งแรงพอ พวกเขารู้ดีถึงความแข็งแกร่งของเก้าตระกูลจักรพรรดิ อย่าว่าแต่สี่ตระกูลเลย แม้แต่ตระกูลเดียวก็สามารถบดขยี้เจียงอี้เป็นชิ้นๆได้ด้วยปลายนิ้วแล้ว
หัวหน้าเหลิ่งหยิบไวน์ขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกและไอเบาๆซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเงียบไปพร้อมกับหันเหความสนใจไปที่เขา จากนั้นหัวหน้าเหลิ่งก็พูดว่า “หัวหน้าเจียง ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าสังหารป้าเตาและหัวหน้าหลงไปแล้ว แล้วเจ้ายังวิวาทกับน้องเหิงด้วยใช่หรือไม่? แถมเจ้ายังรับลูกน้องของเขาไปมากกว่าสิบสองคนอีก? มันมีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ?”
เรื่องหลักของงานกำลังเริ่มขึ้นแล้ว!
เจียงอี้เลิกคิ้วขึ้นขณะที่เขาหัวเราะออกมา เขาคงต้องการจะยืนหยัดข้างพี่เหิงและอาจจะอยากแสดงอำนาจของเขาด้วยพร้อมกับต้องการจะบอกให้เจียงอี้เข้าใจว่าครั้งนี้ไม่ใช่เวลาที่เจียงอี้จะทำตัวหยิ่งยโสและทำตามอำเภอใจได้ในเมืองนี้
เจียงอี้ก้มหัวลงและไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาดื่มไวน์เขาไปจนหมดแก้ว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมาและยิ้มขณะที่พูดว่า “ป้าเตาและหัวหน้าหลงต้องการสังหารข้า ดังนั้นมันก็คงจะเป็นเรื่องปกติที่ข้าจะสังหารพวกเขาใช่ไหม? ส่วนพี่เหิง? มันไม่ถือว่าเราวิวาทกันนัก เขาต้องการสั่งสอนข้าให้เป็นคนมีกาลเทศะ ข้าจึงย้อนกลับไปสอนเขาในเรื่องกาลเทศะเช่นกัน แต่ข้าไม่ได้ทำอะไรเขาและมีคนมากมายที่เป็นพยานเรื่องนี้ได้”
เจียงอี้นิ่งไปชั่วขณะก่อนที่ดวงตาของเขาจะเหลือบมองพี่เหิงและพูดว่า “หัวหน้าเหลิ่งบอกว่าข้ารับลูกน้องของพี่เหิงมามากกว่าสิบสองคนหรือ? เราจะพูดเรื่องนี้เช่นไรดี? คนของพี่เหิงแปรพักตร์แล้วและพวกเขาเองก็กลัวว่าพี่เหิงจะล้างแค้นพวกเขา พวกเขาก็เลยต้องการจะติดตามข้า ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับข้าเลยใช่ไหมล่ะ? ยิ่งกว่านั้น..ข้ายังคงคิดอยู่ว่าจะให้พวกเขามาอยู่กับข้าหรือเปล่า”
ปัง!
พี่เหิงโกรธขึ้นมาและกระแทกโต๊ะพร้อมกับยืนขึ้นและตะโกนว่า “มันจะไม่เกี่ยวกับเจ้าได้ยังไง?! ในเมื่อเจ้าไม่รับพวกมันเป็นพวก แล้วเจ้าจะพาพวกมันกลับมาด้วยทำไม? ทำไมเจ้าถึงต้องรอให้พวกมันรอคำชี้แนะของเจ้า? เหอะๆ ข่าวลือมันแพร่สะพัดไปหมดแล้ว ไอสารเลวพวกนั้นมันบอกว่าพวกมันจะรับใช้เจ้าและเป็นคนของเจ้า เจ้าจะอธิบายมันยังไง? หัวหน้าเจียง หัวหน้าทั้งสิบของเมืองนี้มีข้อตกลงที่จะไม่ทำลายกันเอง แต่เจ้ากลับกำลังละเมิดกฎแบบนี้”
บรรยากาศทั้งห้องโถงเริ่มตึงเครียดขึ้นมา ลูกน้องทั้งสี่คนของพี่เหิงเองก็ยืนขึ้นและจ้องมองไปที่เจียงอี้ และยังมีลูกน้องของหัวหน้าเหลิ่งบางคนที่มีสัมพันธ์ที่ดีกับพี่เหิงที่ยืนขึ้นเพื่อสนับสนุนเขาเช่นกัน
หัวหน้าเหลิ่งนิ่งเงียบไป
ส่วนหัวหน้าหลี่ก็เงียบไปอย่างประหลาดเหมือนว่ากำลังรอคำอธิบายจากเจียงอี้ หนิวเติงและหนิวว่างเองก็รู้สึกประหม่าเช่นกัน เพราะพวกเขารู้ว่าหากพี่เหิงกล้าทุบโต๊ะและสติแตกเช่นนี้ได้ เขาจะต้องได้รับการอนุมัติจากหัวหน้าเหลิ่งเงียบๆแล้วและการสติแตกนั้นมันเป็นเพราะหัวหน้าเหลิ่งให้ท้าย
เจียงอี้ไม่มีท่าทีใดทั้งนั้นราวกับว่าเขาไม่ได้ยินเสียงคำรามจากพี่เหิงขณะที่เขาก้มหัวลงไปฉีกไหล่เนื้อสัตว์มากินจนทำให้พี่เหิงและคนอื่นๆแทบอยากจะปล่อยกำปั้นออกมาและทุกคนก็ดูเดือดดาลมาก
“หมาป่าเดียวดาย!”
พี่เหิงรออยู่ครู่หนึ่งและเมื่อเห็นว่าเจียงอี้ยังคงเมินเขา เขาก็รู้สึกอับอายและโกรธพร้อมกับตะโกนออกมาอีกครั้ง “หากเจ้าไม่อธิบายมาในวันนี้…..”
แต่ก่อนที่พี่เหิงจะพูดจบ เจียงอี้ก็โยนกระดูกสัตว์จากมือของเขาลงไปโดนไวน์บนโต๊ะและยืนขึ้นพร้อมกับพูดว่า “เจ้าจะตะโกนหาพระแสงอะไร?! เจ้าผีเน่า แผลเจ้าหายดีแล้วรึไง แล้วเจ้าลืมความเจ็บปวดไปแล้วหรือไงห้ะ? มาสิ มา ออกไปนอกเมืองกันและข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง ข้าจะขยี้เจ้าให้แหลกเหมือนแมลงเลย….”
แคร๊ง!
ทุกคนตกอยู่ในความโกลาหล คนของหัวหน้าเหลิ่งและหัวหน้าหลี่อาจเคยได้ยินเหตุการณ์ที่ภูเขาอัสนีมาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นคนหยิ่งผยองต่อหน้าหัวหน้าเหลิ่งเช่นนี้ เจียงอี้พูดออกมาเพียงไม่กี่คำและท้าสู้ทันที เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าเหลิ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนในวันนี้ซึ่งนั่นก็คือการล้างแค้นให้พี่เหิง แต่ถึงกระนั้นเจียงอี้ก็ยังทำตัวเช่นนี้ ซึ่งมันเหมือนการตบหน้าหัวหน้าเหลิ่งชัดๆ
ผู้คนหลายคนพุ่งพล่านไปด้วยกลิ่นอายสังหารขณะที่พวกเขามองไปที่หัวหน้าเหลิ่งและรอการตัดสินใจของเขา สีหน้าของหัวหน้าเหลิ่งนั้นย่ำแย่มาก เขาวางแก้วลงอย่างแรงและพูดว่า “พวกเจ้าทะเลาะอะไรกัน? คุยกันดีๆไม่ได้หรือ? ที่นี่ยังมีกฎอะไรเหลืออยู่ไหม?”.ไอรีนโนเวล.
เห็นได้ชัดว่าคำถามนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้เจียงอี้ได้ยิน และนั่นมันหมายความว่าหัวหน้าเหลิ่งโกรธมาก และหากเจียงอี้ยังต้องการให้เรื่องมันบานปลาย หัวหน้าเหลิ่งก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องมีเรื่องมีราวกับเจียงอี้
“เหอะๆ!”
เจียงอี้มองไปที่หัวหน้าเหลิ่งและเย้ยหยัน “หัวหน้าเหลิ่ง หัวหน้าหลี่ พวกท่านเองก็เห็นว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน? ใครเป็นคนที่พูดจาไม่ดี? เห็นกันอยู่ชัดๆว่าท่าทีของพี่เหิงนั้นไม่ยอมให้ข้าดื่มด่ำกับมื้ออาหารอย่างสงบสุขใช่ไหมล่ะ? ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ งั้นก็ไม่จำเป็นต้องกงต้องกินมันแล้ว!”
ไม่ยอมใคร, เอาแต่ใจ, หัวแข็ง!
นี่คือสิ่งที่ทุกคนมองเจียงอี้ หัวหน้าเหลิ่งหรี่ตาและจ้องไปที่เจียงอี้เงียบๆขณะที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของหัวหน้าหลี่กลับกลายเป็นคนไร้อารมณ์ขึ้นมา
เจียงอี้ได้ล้ำเส้นไปในวันนี้แล้วจริง การสอนบทเรียนพี่เหิงนั้นไม่ได้ผิด แต่การรับลูกน้องของผู้คนมันหมายความเช่นไร? คนต่อไปที่เขาจะสั่งสอนคือหัวหน้าอิง, หัวหน้าเฮยและคนอื่นๆพร้อมกับพาลูกน้องของพวกเขาไปด้วยหรือไม่? หากถึงตอนนั้น หากเขามีกองทัพที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่ว่าเขาจะปกครองเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างเลยหรือ?
เจียงอี้เองก็หรี่ตามองไปที่หัวหน้าเหลิ่งเช่นกัน เจียงอี้จัดหนักไปแล้ว…..และเขาคงไม่ถอยหลังกลับ หัวหน้าเหลิ่งจัดที่นี่ขึ้นเพื่อกดเขาและคนทั้งเมืองก็จับจ้องอยู่ หากเขาถอยกลับไป เขาเองก็คงไม่ได้มีช่วงเวลาที่ดีในตอนที่อยู่เมืองอัสนีฟ้ากระจ่างเป็นแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมเขาถึงไม่ทำให้ทุกอย่างเรียบร้อยในวันนี้เลยล่ะ?
แม้ความแข็งแกร่งหัวหน้าเหลิ่งจะทรงพลังแต่เจียงอี้ก็มีเปลวเพลิงอัสนี เกราะเมฆาอัคคีและวิชาหลีกสวรรค์ มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าผู้ใดจะชนะและมันคงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ สู้กันก่อนแล้วไว้ค่อยคุยกันทีหลัง
หัวหน้าเหลิ่งมองไปที่เจียงอี้อยู่นานก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆและพยายามทำให้เสียงสงบนิ่งก่อนจะพูดว่า “หัวหน้าเจียง เจ้าช่วยไว้หน้าตาเฒ่าเหลิ่งหน่อยได้หรือไม่? เราจะปล่อยเรื่องอื่นๆไป แต่ในเรื่องคนของน้องเหิงนั้น….เจ้ารับพวกเขาไปอยู่ด้วยไม่ได้!”
หัวหน้าเหลิ่งยอมถอยหนึ่งก้าว!
เจียงอี้นิ่งเงียบไป เขารู้ว่าหากเขาจะถอยให้กับเรื่องนี้ ลูกน้องของพี่เหิงที่ล่าถอยออกมาจะต้องพบกับจุดจบที่น่าสังเวช พี่เหิงอับอายขายหน้ามากและหากเขาต้องการจะรักษารากฐานที่มั่นคงของเขาในเมือง เขาจะต้องสังหารพวกนั้นเพื่อสร้างอำนาจของตัวเองอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าเหลิ่งอยากจะช่วยในเรื่องนี้และขจัดความน่าเกรงขามของเจียงอี้และทำให้เขาอ่อนลงเล็กน้อย เขาต้องการให้เจียงอี้รู้ว่าใครคือผู้ที่ปกครองเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง
เมื่อถอยหนึ่งก้าว โลกนี้จะเปิดโอกาสแก่เจ้า!
เจียงอี้จะสามารถอยู่ในเมืองอย่างมั่นคงและวางแผนอนาคตได้
แต่ตอนนี้ เมื่อเจียงอี้นึกถึงดวงตาแห่งความหวังทั้งสิบหกคู่ สีหน้าของเขาเริ่มแน่วแน่ขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “หัวหน้าเหลิ่ง ข้าขออภัยจริงๆ ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคารพท่าน ข้าสัญญาได้เพียงว่าข้าจะไม่ทำลายผู้อื่นในภายภาคหน้า แต่ว่า….ตราบใดที่ผู้คนเต็มใจติดตาข้า ข้าก็จะปกป้องพวกเขา ในฐานะหัวหน้า หากข้ายังไม่แม้แต่จะปกป้องลูกน้องได้ แล้วข้าจะเป็นหัวหน้าไปเพื่อสิ่งใด? ลูกน้องข้าจะติดตามข้าไปเพื่ออะไร? ข้าแสดงจุดยืนของข้าแล้ว หากหัวหน้าเหลิ่งต้องการจะสั่งสอนข้าน้อยเจียงผู้นี้ ข้าก็คงจะต้องน้อมรับมัน”