เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 690 ดังกว่านี้! ข้าไม่ได้ยิน!
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 690 ดังกว่านี้! ข้าไม่ได้ยิน!
ใช้กำลังทั้งหมดเพื่อไล่ล่าความพ่ายแพ้ของศัตรูและไม่ให้ศัตรูหนีไปปกครองอีกครั้ง!
ตามหลักแล้ว หากหัวหน้าเหลิ่งต้องการความสงบ เจียงอี้ควรประนีประนอม หากข่าวถูกแพร่ออกไปว่าเขาเสมอกับผู้ที่มีความแข็งแกร่งอันดับสองของเมือง มันคงไม่มีใครหาเรื่องเขาอีกแล้ว
แต่น่าเสียดายที่เจียงอี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรหยุด เมื่อเขาอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ที่เจียงอี้ทำเช่นนี้เหตุเพราะว่าเขาอัดอั้นความโกรธเอาไว้ในตอนที่เขาถูกฝ่ามือของหัวหน้าเหลิ่งบดขยี้ หัวหน้าเหลิ่งเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับสองของเมืองและปกครองเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างมานานกว่าสิบปี เหตุใดบุคคลเช่นนี้จึงขอสงบศึก? มันก็หมายความว่าเขาทนไม่ไหวแล้ว และมันยังหมายความว่าหัวหน้าเหลิ่งกลัวตาย!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่ปล่อยให้เขายอมรับล่ะว่าเขากลัว? ทำไมไม่ควรเอาชนะความเย่อหยิ่งของหัวหน้าเหลิ่งให้ราบคาบ? ไม่มีศีลธรรมอยู่ในเกาะแห่งบาปและผู้คนที่นี่อาศัยอยู่ด้วยกฎแห่งป่า ที่ซึ่งผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ปกครองสูงสุด เป็นที่ที่คนผู้หนึ่งจะปกครองผู้อื่นด้วยความแข็งแกร่งที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น แล้วจะให้เจียงอี้ทิ้งโอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไปได้อย่างไร?
แน่นอนว่า…
เจียงอี้พูดอย่างมีชั้นเชิงและไม่ได้บอกว่าเขาต้องการจะยุติการต่อสู้ด้วยชีวิตหรือความตาย แต่เพียงต้องการผลลัพธ์ของผู้ชนะกับผู้แพ้ และมันจะทำให้หัวหน้าเหลิ่งชื่อเสียงลดลงจากเรื่องนี้ หากพวกเขาจะจบการต่อสู้นี้ด้วยชีวิตหรือความตาย หัวหน้าเหลิ่งก็จะสู้จนสุดกำลังและในท้ายที่สุดก็จะไม่รู้ว่าผู้ใดกันแน่ที่จะรอดไปได้
สีหน้าของหัวหน้าเหลิ่งเริ่มหนักหน่วงขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของเจียงอี้และเดือดดาลอยู่ในใจ แต่การโจมตีของเจียงอี้นั้นแข็งแกร่งกว่าเดิมอีกและอุณหภูมิรอบๆก็สูงขึ้นเล็กน้อย มันทำให้เขาต้องระงับความเดือดดาลเอาไว้และหลบหลีกอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน หัวหน้าเหลิ่งก็เทแก่นแท้พลังของเขาออกมาเพื่อให้สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงปลดปล่อยอักขระโบราณออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้โล่แตก
ฟรึ่บ! ฟรั่บ!
เจียงอี้ไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปและเพิ่มความเร็วในการโจมตีของเขาอย่างไม่คิดชีวิต เปลวเพลิงอัสนีพุ่งพล่านออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงอย่างรวดเร็วและพุ่งไปที่หัวหน้าเหลิ่งพร้อมกับทักษะการต่อสู้แบบผสาน
หัวหน้าเหลิ่งสบถออกมาไม่หยุด หากเขาถอยไปไกลกว่านี้ เขาจะเข้าใกล้เมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง และหากหัวหน้าคนอื่นๆเห็นความน่าสมเพชของเขา และเขาคงจะอับอายอย่างแท้จริง และเมื่อถึงตอนนั้น หากเขาไม่สามารถต้านมันได้อีกต่อไป เขาจะเสี่ยงชีวิตของตัวเองหรือร้องขอความเมตตากัน?
หัวหน้าเหลิ่งมีความมั่นใจหกในสิบส่วนหากต้องทุ่มเต็มกำลังเพื่อสังหารเจียงอี้ แต่หากเขาต้องทุ่มเต็มกำลัง มันก็เป็นไปได้ที่โล่ของเขาจะแตกสลายไปและเขาจะตายอย่างไม่ต้องสงสัย เขาจะร้องขอความเมตตาต่อหน้าทุกคนหรือ? หัวหน้าเหลิ่งนั้นไม่สามารถโยนชื่อเสียงของเขาทิ้งไปเช่นนั้นได้
เขาหันไปมองเจียงอี้และเห็นว่าเจียงอี้ไล่โจมตีราวกับคนบ้าคลั่งอย่างไม่หยุดหย่อน เขาจึงกัดฟันและพูดว่า “ก็ได้! หัวหน้าเจียง หยุดเถอะ! ครั้งนี้ ตาเฒ่าเหลิ่งผู้นี้ยอมรับความพ่ายแพ้ มันคือความพ่ายแพ้ของข้า!”
เจียงอี้เผยร่องรอยของความเย้ยหยันออกมาขณะที่เขาคาดว่าหัวหน้าเหลิ่งจะยอมรับความพ่ายแพ้เนื่องจากเขาตั้งใจจะขอสงบศึก มันจึงไม่ได้ต่างอะไรจากการพ่ายแพ้
แต่เจียงอี้ก็ยังคงไม่หยุดขณะที่เขายังคงตวัดดาบออกมาอีกพร้อมกับคำรามออกมา “หัวหน้าเหลิ่ง เจ้าพูดอะไรนะ? พูดดังกว่านี้หน่อย! ข้าไม่ได้ยินเลย!”
เสียงคำรามของเจียงอี้นั้นดังมากและเขาก็เทแก่นแท้พลังเข้าไปเพื่อเพิ่มระดับเสียงของเขา ซึ่งทำให้แม้แต่คนที่อยู่ที่ประตูเมืองได้ยินคำพูดนี้และรับรู้ถึงความหมายของเขาได้อย่างชัดเจน หากหัวหน้าเหลิ่งต้องการยอมรับความพ่ายแพ้ เขาจะต้องให้ทุกคนได้ยินมัน
“เจ้า…”
หัวหน้าเหลิ่งโกรธจนตัวสั่นและแทบจะกระอักเลือดออกมา แต่เจียงอี้ก็ยังคงย้ายร่างฉับพลันอยู่และเขาต้องถอยกลับไปทางเมืองหรือไม่ก็ต้องทำตามความต้องการของเจียงอี้
ดวงตาของเขาลุกโชนและคำรามออกมาพร้อมกับกัดฟันพูด “หัวหน้าเจียงมีกำลังการต่อสู้ราวกับสวรรค์ ตาเฒ่าเหลิ่งผู้นี้ขอยอมรับความพ่ายแพ้”
คราวนี้ เสียงของหัวหน้าเหลิ่งดังมาก แต่เขาก็ยังคงอัดอั้นเอาไว้เล็กน้อย ทำให้ผู้ชมที่กำแพงเมืองได้ยินเสียงของเขาเบาๆ ซึ่งมีเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนเท่านั้นที่ได้ยินเสียงของเขาชัดเจน และทำให้หัวหน้าหลี่และคนอื่นๆเปลี่ยนสีหน้าและเผยความเจ็บปวดที่มุมปากของพวกเขา
หัวหน้าเหลิ่งแพ้แล้ว!
เขาพ่ายแพ้ราบคาบ มันไม่น่าสังเวชไปหรือที่ต้องรับความพ่ายแพ้ต่อหน้าทุกคน?
ปากของหัวหน้าอิงเองก็กระตุก เสือยิ้มก็ไม่สามารถแม้แต่จะยิ้มออกมาได้…ส่วนสีหน้าของหัวหน้าเฮยมืดมนกว่าเดิมขณะที่หนิวเติงและหนิวว่างต่างก็ยิ้มและหัวเราะเสียงดัง พวกเขารู้สึกดีมากและใช้สายตามองคนของหัวหน้าเหลิ่งอย่างเหยียดหยาม
“ฮ่าฮ่าฮ่า หัวหน้าเหลิ่งล้อข้าเล่นแล้ว เจ้ายอมให้ข้าชนะหรอก มีหลายคราวที่ข้าเองก็เกือบถูกหัวหน้าเหลิ่งสังหาร แต่เพียงแค่หัวหน้าเหลิ่งปรานีข้า เอาล่ะ….การต่อสู้ในครั้งนี้ถือว่าเสมอกัน”
เสียงของเจียงอี้ดังมาจากที่ไกลๆ ซึ่งทำให้หัวหน้าหลี่และคนอื่นๆต่างหรี่ตาลง พวกเขากำลังคิดว่าเด็กคนนี้อาจจะเกรงใจ แต่เขาก็ยังรู้วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องและอย่างน้อยก็ให้โอกาสหัวหน้าเหลิ่งหลีกทางให้เขาขึ้นสู่ตำแหน่ง.ไอรีนโนเวล.
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะของหัวหน้าเหลิ่งก็ดังก้องขึ้นมาเช่นกัน “ข้าแก่เกินไปแล้ว เด็กรุ่นเยาว์จะแซงหน้าข้าแล้ว! หัวหน้าเจียง ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตาเฒ่าคนนี้จะต้องถูกเจ้าสังหารในไม่ถึงร้อยกระบวนท่าอย่างแน่นอน วีรบุรุษถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เยาว์วัย อนาคตของหัวหน้าเจียงนั้นไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน”
ฟรึ่บ!
ร่างทั้งสองร่างปรากฏขึ้นทีละคนขณะที่พวกเขาบินออกมาจากสันเขาอัสนี เดิมทีหัวหน้าเหลิ่งอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช แต่ในตอนนี้มันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เขามีท่าทีที่สงบนิ่งและไม่มีเหงื่อที่เย็นเยียบอยู่บนร่างของเขาอีกต่อไป
ในทางตรงกันข้าม เจียงอี้เองก็เก็บเกราะเมฆาอัคคีของเขาที่เต็มไปด้วยเลือดสดเข้าไป มันทำให้เขาดูน่าสังเวชเล็กน้อย ส่วนผู้เชี่ยวชาญธรรมดาๆนั้นไม่ได้ยินว่าหัวหน้าเหลิ่งยอมรับความพ่ายแพ้ และเมื่อดูจากรูปลักษณ์แล้ว ดูเหมือนว่าหัวหน้าเหลิ่งจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ผลจบลงด้วยการเสมอกัน
แม้ว่าจะเสมอกัน แต่ทุกคนก็มองเจียงอี้อย่างหวาดกลัว เขาอายุน้อยกว่ายี่สิบปีแต่กลับต่อสู้เสมอกับหัวหน้าเหลิ่งผู้ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับสองของเมือง พลังการต่อสู้ของเขาสูงส่งเกินไปนัก
“หัวหน้าเหลิ่ง!”
“หัวหน้าเจียง!”
ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่อยู่ข้างล่างต่างพากันป้องกำปั้นขณะที่หนิวเติงและคนอื่นๆก็ป้องกำปั้นทักทาย เสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นขณะที่เจียงอี้หัวเราะมาแต่ไกลและพูดว่า “น่าพอใจ น่าพอใจจริงๆ! ข้าได้อะไรมามากมายจากการต่อสู้อย่างยิ่งใหญ่กับหัวหน้าเหลิ่ง หนิวเติง ไปจัดการเรื่องโรงเตี๊ยมร้อยบุปผาที ข้าอยากจะเลี้ยงขอบคุณหัวหน้าเหลิ่งสำหรับคำชี้แนะของเขา หัวหน้าหลี่ หัวหน้าอิง พี่หู่ และหัวหน้าเฮย ขอเชิญพวกท่านด้วยนะ”
มุมปากของหัวหน้าเหลิ่งกระตุกในขณะที่เขาไม่สบอารมณ์อย่างมาก แต่เจียงอี้ให้เขาหลีกทางให้แล้ว เขาจะไม่รับมันไว้ได้อย่างไร? เขาจึงแสร้งหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “ในเมื่อหัวหน้าเจียงถ่อมตัวเช่นนี้ ตาเฒ่าเหลิ่งผู้นี้จะไปที่นั่นในคืนนี้อย่างแน่นอน”
หัวหน้าหลี่หัวเราะอย่างจริงใจพร้อมกับป้องกำปั้นและพูดว่า “เมื่อหัวหน้าเจียงเชิญข้า เช่นนั้นข้าจะกล้าไม่ไปได้เช่นไร?”
เสือยิ้มหรือพี่หู่เองก็ยิ้มออกมาอย่างจริงใจพร้อมป้องกำปั้นตามๆกันมา “เป็นเกียรติของข้าแล้วที่หัวหน้าเจียงเชิญข้า”
ส่วนหัวหน้าอิงเป็นคนที่สามที่พูดออกมา “ผู้ใดจะกล้าไม่ไปเมื่อหัวหน้าเจียงเชิญกันเล่า? ข้าไม่มีวันปฏิเสธอยู่แล้ว”
หัวหน้าเฮยยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่ใบหน้าของเขาดำเกินไปจึงทำให้รอยยิ้มของเขาดูขนลุก เขาป้องกำปั้นและพูดว่า “ขอบคุณมากหัวหน้าเจียง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้โบกมือและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าน้อยเจียงผู้นี้ขอตัวก่อน ข้ายังรู้สึกปวดจากที่หัวหน้าเหลิ่งฟาดฝ่ามือใส่ข้า ข้าขอตัวกลับไปพักฟื้นก่อนแล้วเจอกันในคืนนี้”
“เชิญหัวหน้าเจียงไปพักเถิด”
ทุกคนป้องกำปั้นและลาเจียงอี้ เมื่อเจียงอี้ หนิวเติงและคนอื่นๆเข้าไปในเมือง คนของหัวหน้าเหลิ่งและหัวหน้าหลี่พากันไปป้องกำปั้นประจบหัวหน้าเหลิ่ง
“พวกเรายินดีกับหัวหน้าเหลิ่งด้วย ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของท่านนั้นกล้าแกร่งและได้ชัยในทุกๆการต่อสู้”
“ใช่แล้ว หัวหน้าเหลิ่งคงไว้ชีวิตเด็กนั่น หากไม่เช่นนั้น พวกท่านจะเสมอกันได้เช่นไร ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน แค่กระบวนท่าเดียวก็สังหารเด็กคนนั้นได้แล้ว”
“เหอะเหอะ จำเป็นต้องเต็มหนึ่งกระบวนท่าเลย? แค่ครึ่งกระบวนท่าก็พอแล้ว…”
หัวหน้าเหลิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ในใจและเมื่อเขาได้ยินคำเยินยอทั้งหมดนี้แล้ว มันก็รู้สึกเหมือนกับการตบหน้าเขา เขาจึงโกรธเคืองขึ้นมาทันทีและตะโกนออกมาว่า “ไสหัวไปให้พ้น!”
เหล่าผู้คนที่ประจบหัวหน้าเหลิ่งต่างหดตัวลงทันทีเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดหัวหน้าเหลิ่งจึงโกรธเช่นนี้ พวกเขาได้แต่พากันกลับไปที่เมืองเท่านั้น
หัวหน้าหลี่นั้นมีสัมพันธ์ที่ดีต่อหัวหน้าเหลิ่งและคิ้วของเขาก็ขมวดแน่น เขามองไปที่เมืองด้วยความสงสัยและส่งข้อความถามว่า “หัวหน้าเหลิ่ง ท่านแพ้ได้อย่างไรรึ?”
“ข้าแพ้ได้อย่างไร?”
หัวหน้าเหลิ่งลูบหน้าแล้วยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะตอบกลับมาว่า “ให้ตายเถอะ ข้าเองก็ยังไม่เข้าใจจนถึงตอนนี้ว่าข้าแพ้ได้อย่างไร?” มันคือการฆ่าศัตรูทางอ้อมและไม่ให้พวกเขามีโอกาสกลับมาจัดการกับเจียงอี้อีก