เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 707 เดิมพันทุกอย่างในครั้งนี้
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 707 เดิมพันทุกอย่างในครั้งนี้
เมื่อเจียงอี้กลับมา เขาก็เรียกเฉียนว่านก้วนและเฟิ่งหลวนมาในลานบ้าน ทั้งสามพูดคุยกันจนดึกดื่นก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจในข้อตกลงนี้ได้
ทั้งสามมีบทบาทของตัวเอง เจียงอี้ไม่จำเป็นต้องคิดกังวลกับสิ่งอื่นใดเลยนอกจากรวมเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างทั้งหมด เรื่องที่เหลือเป็นหน้าที่ของเฟิ่งหลวนและเฉียนว่านก้วน เฟิ่งหลวนรับผิดชอบดูแลสถานการณ์ทั้วไปในขณะที่เรื่องกลุ่มพ่อค้าและกิจการภายในต่างๆเป็นงานของเฉียนว่านก้วน
เรื่องของมืออาชีพก็คงต้องปล่อยให้มืออาชีพจัดการไป เจียงอี้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเหล่านั้นและเขาก็ไม่มีเวลาจัดการมันด้วย เขาจะต้องบ่มเพาะพลังและเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นทุกวินาที ยิ่งเขาแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ ทุกคนก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากมังกรวารีสีทองแล้ว เจียงอี้ก็ไม่ได้วางแผนให้คนอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องอีก ในภายภาคหน้า มังกรวารีสีทองจะเป็นผู้คุ้มกันของเฉียนว่านก้วน ซึ่งมังกรวารีสีทองเป็นทาสวิญญาณของเขา มันจึงไม่มีปัญหาเรื่องความจงรักภักดีอย่างแน่นอน
อันที่จริงแล้ว เฟิ่งหลวนและเจียงอี้ตั้งใจจะให้เฉียนว่านก้วนและมังกรวารีสีทองเป็นผู้นำกลุ่มการค้าตอนขายหินอัสนี พวกเขาจะไม่ปล่อยให้หนิวเติง, หยางตงและคนอื่นๆเข้ามามีเอี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็จะต้องไม่รู้ข้อมูลเบื้องลึก
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในใจของผู้คนเป็นเช่นไร หนิวเติงและหยางตงอาจดูภักดีอย่างแท้จริง แต่หากพวกเขาทั้งสองถูกหลอกและแปรพักตร์ล่ะ? และเมื่อทุกสิ่งถูกเปิดโปง พวกเขาจะต้องหนีเอาชีวิตรอดและอยู่ในเกาะแห่งบาปไม่ได้อีก
เฉียนว่านก้วนรวบรวมหนิวเติงและคนอื่นๆ และพวกเขาค่อนข้างยุ่งมากขณะที่พวกเขารวมตัวผู้มาใหม่อย่างรวดเร็วและจัดเรียงกองทัพใหม่ พวกเขาทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆขณะที่ผู้ที่เป็นผู้นำกลุ่มล้วนแต่เป็นลูกน้องของเจียงอี้มาแต่เดิมอยู่แล้ว
เฉียนว่านก้วนนั้นเก่งเรื่องการจัดการ, การขู่เข็ญและให้สัญญา เขาออกกฎมากมายเกี่ยวกับรางวัลและการลงโทษ ซึ่งมันทำให้ลูกน้องต่างๆรู้สึกว่าพวกเขาจะมีอนาคตที่ดีหากติดตามเจียงอี้ แต่หากพวกเขากล้าทรยศเขา พวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
ในวันที่สาม เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานเรียกเจียงอี้ไปพบผู้บัญชาการลู่เฟิงที่ลานบ้านของนาง ทั้งสองพูดคุยสนทนากันเป็นเวลาสองชั่วโมงและก็แยกกันไปด้วยอารมณ์ที่ปลื้มปิติยินดี
ในวันที่สี่ เจียงอี้ยังมีการแอบพูดคุยกับผู้บัญชาการลู่เฟิงที่ลานบ้านของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน ครั้งนี้เขาพาเฉียนว่านก้วนไปด้วยและได้จัดการขั้นตอนอย่างละเอียดทั้งหมด พวกเขาใช้เวลาด้วยกันทั้งวันก่อนที่ผู้บัญชาการลู่เฟิงจะจากไปด้วยท่าทีพึงพอใจอย่างสมบูรณ์
ในวันที่ห้า เจียงอี้ออกไปจากเมืองด้วยตัวเอง แต่เมื่อเขาออกจากเมืองไปได้ไม่นาน หนิวเติงก็ได้ให้คนนำบัตรเชิญไปให้หัวหน้าเหลิ่ง เจียงอี้เชิญหัวหน้าเหลิ่งไปพูดคุยกันอย่างลับๆที่ภูเขาอัสนี!
“หมาป่าเดียวดายออกจากเมืองไป?”
หลังจากที่คนของหนิวเติงจากไป สีหน้าของหัวหน้าเหลิ่งก็มืดมนอย่างมากขณะที่เขาหันไปถามลูกน้องของเขา หลังจากที่ได้คำตอบแน่ชัดแล้ว เขาก็ยังไม่ออกไปนอกเมืองและเดินวนอยู่รอบลานบ้านตัวเอง ครู่ต่อมาเขาก็ถามอีกครั้งว่า “ผู้บัญชาการลู่เฟิงและหมาป่าเดียวดายพูดคุยกันที่ลานบ้านของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานถึงสองวันเลยจริงหรือ?”
“จริงแท้แน่นอนขอรับ!”
หนึ่งในผู้ใต้บัญชาขอบเขตเทียนจุนพยักหน้าและถามอย่างเป็นห่วงว่า “หัวหน้าเหลิ่ง จากที่ข้าเห็นแล้ว ลู่เฟิงคงอยากจะร่วมงานกับหัวหน้าเจียงและเตรียมจะขายหินอัสนี ดังนั้นหัวหน้าเจียงจึงต้องคิดจะถามหัวหน้าเหลิ่งว่าจะขายหินอัสนีอย่างไร หรือไม่เขาก็อาจกำลังคิดจะลากท่านเข้าไปด้วย?”
“เจ้าจะไปรู้อะไร?!”
หัวหน้าเหลิ่งพูดอย่างโกรธเกรี้ยว เมื่อลู่ตี๋ถูกย้ายไปอย่างกะทันหัน เขาก็รู้ว่าเรื่องต่างๆคงไม่ง่ายเช่นนั้น เขาเย้ยหยันและพูดว่า “ลู่เฟิง? ลู่เฟิงผู้อ่อนแอจะกล้าขายหินอัสนีรึ? เจ้ารู้ไหมว่าลุงของลู่ตี๋คือผู้ใด? เขาคือผู้อาวุโสตระกูลลู่! ส่วนลู่เฟิงไม่มีผู้หนุนหลัง เขาจะกล้าทำอะไรที่คอขาดบาดตายเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ดวงตาของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนผู้นั้นเป็นประกายขณะที่กลืนน้ำลายและถามว่า “หรือว่าจะเป็น….คนผู้นั้นที่ต้องการขายมัน? พระเจ้า! เช่นนั้นท่านจะต้องไม่ออกไปจากเมืองเด็ดขาดนะขอรับ! ไม่เช่นนั้นไอ้สารเลวหมาป่าเดียวดายนั่นจะทำให้ท่านเสียเปรียบอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้น ท่านจะต้องยอมจำนนต่อมันหรือไม่ก็ถูกสังหาร! หัวหน้าเหลิ่ง ทำไมเราไม่ออกจากเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างกันล่ะขอรับ? เมื่อหมาป่าเดียวดายได้รับการสนับสนุนจากนางและเราไม่สามารถหาเลี้ยงชีพในเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างได้แล้ว”
“ออกจากเมือง?”
หัวหน้าเหลิ่งเย้ยหยันและพูดว่า “ไม่มีที่ไหนที่จะหาเลี้ยงชีพได้ดีในเผ่าเทพประทานได้ เราจะออกไปเป็นโจรภูเขากันหรือไง? ด้วยจำนวนคนของเรา เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะตายกันเมื่อไหร่! เราจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ข้าทำงานที่นี่มาหลายปีแล้ว แล้วจะให้ข้ายอมแพ้ง่ายๆได้อย่างไร?”
“แล้วเราควรทำเช่นไรกันดีขอรับ?” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนผู้นั้นตื่นตระหนกและไร้หนทางอย่างสมบูรณ์
“อดทนไง!”
หัวหน้าเหลิ่งตัดสินใจอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “อดทนอีกสามปี หลังจากที่ยัยเฒ่าลู่ผิงออกไปแล้ว เราค่อยคิดหาทางร่วมงานกับเจ้าเมืองคนใหม่”
“เราจะทนกันเช่นไรหรือขอรับ?”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนถามด้วยน้ำเสียงแผ่วๆขณะที่เขายังไม่เข้าใจ “หมาป่าเดียวดายคงไม่ปล่อยเราไป หากหัวหน้าเหลิ่งไม่ออกไป เขาคงจะนำคนของเขาไปครอบครองภูเขาอัสนีและยึดเขตแดนทั้งหมดของเราไปอย่างแน่นอน แล้วเราจะซ่อนตัวอยู่ในเมืองและไม่ออกไปข้างนอกหรือขอรับ?”
“ไม่ใช่!”
ดวงตาของหัวหน้าเหลิ่งประกายไปด้วยความเย็นชาขณะที่เขาพูดด้วยความอาฆาต “ไม่เพียงแต่เราจะออกไปที่นั่น แต่เราจะยังทำสงครามอันรุ่งโรจน์และเราจะสังหารหมาป่าเดียวดายซะ ตราบใดที่เราสังหารหมาป่าเดียวดายได้ ลู่ผิงก็จะไม่มีคนให้ใช้งานอีก ส่วนเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานก็กำลังจะออกจากเมืองนี้ไปและเราก็จะเป็นผู้ปกครองเมืองอัสนีฟ้ากระจ่าง ลู่ผิงอาจต้องร่วมงานกับเราหรือไม่ก็ไปจากที่นี่แต่โดยดีในอีกสามปี หากเราไม่ออกจากเมืองหรือละเมิดกฎตระกูลลู่ พวกเขาก็จะไม่กล้าสังหารเรา”
หัวหน้าเหลิ่งเผยร่องรอยสีหน้าที่โหดเหี้ยมออกมา เขากัดฟันและพูดว่า “ส่งคนไปหาหัวหน้าหลี่, หัวหน้าอิง, พี่หู่, หัวหน้าเฮยและพี่ตง บอกให้พวกเขามาหารือกันแล้วส่งคนไปเฝ้าเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวาน หากมีอะไรผิดปกติก็จงรีบมารายงานทันที เมื่อหมาป่าเดียวดายกล้าเสี่ยงออกไปเอง ข้าก็จะทำให้เขารับผลจากการกระทำของตัวเองซะ”
สิบห้านาทีต่อมา หัวหน้าหลี่และคนอื่นๆรีบเข้าไปยังลานบ้านของหัวหน้าเหลิ่ง หลังจากที่สนทนากันได้หนึ่งชั่วโมง หัวหน้าเหลิ่งก็นำคนออกไปจากเมืองห้าคน แต่ทั้งเมืองต่างก็สงสัยเพราะว่า…หัวหน้าเหลิ่งนำผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนธรรมดาห้าคนไปกับเขาขณะที่หัวหน้าหลี่และคนอื่นๆพากันกลับไปยังที่พักของพวกเขา
ฝั่งของเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานเองก็ยังไม่เคลื่อนไหวอะไรเช่นกัน นางอยู่ในลานบ้านและไม่ก้าวออกไปไหนเลย หลังจากที่หัวหน้าเหลิ่งออกจากเมืองไปได้หนึ่งชั่วโมง เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานก็ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆ ด้านหนิวเติงและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนคนอื่นๆก็ยังไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน บรรยากาศในเมืองแปลกประหลาดเสียจนน่ากลัว
“นายหญิง ท่านจะไม่ไปจริงๆหรือเจ้าคะ?”
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานอยู่ในลานบ้านของนางขณะที่เสี่ยวหงถามอย่างประหม่า “เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าเจียงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหัวหน้าเหลิ่ง หากพวกเขาเริ่มสู้กันแล้วหากหัวหน้าเจียงถูกสังหารล่ะเจ้าคะ?”
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานกำลังจะไปจากที่นี่ในอีกครึ่งปีและเสี่ยวหงก็ปฏิบัติต่อเจียงอี้เสมือนเขาเป็นเจ้านายของนางแล้ว หากเจียงอี้ตกตายไป พวกเขาทั้งหมดจะต้องอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานหลับตาลงและเพลิดเพลินกับกลิ่นหอมของชาเบาๆขณะที่ยังคงเงียบอยู่ นางค่อยๆจิบชาก่อนที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นมา “เจ้าคิดผิดแล้วล่ะ คราวนี้หัวหน้าเหลิ่งไม่ได้ไปคนเดียว…แต่ไปกับหัวหน้าทั้งหมด หัวหน้าเหลิ่งมีเม็ดยาเปลี่ยนรูปลักษณ์ระดับสูงอยู่ เขาอาจหลอกคนอื่นได้…แต่หลอกข้าไม่ได้ หัวหน้าหลี่และคนอื่นๆที่ยังอยู่ในเมืองเป็นตัวปลอมทั้งหมด ฮึฮึ หัวหน้าเหลิ่งกำลังจะเดิมพันทุกอย่างในครั้งนี้….”
“เอ๊ะ?!”
เสี่ยวหงอุทานและเอามือปิดปากของนาง จากนั้นนางก็ถามด้วยแววตาที่หวาดกลัว “เช่นนั้น นายหญิงจะไม่ไปช่วยหรือเจ้าคะ? หัวหน้าเจียงจะต้องพินาศอย่างแน่นอนหากหัวหน้าทั้งหกร่วมมือกัน!”
“ฮึฮึ!”
เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานไม่ตอบอะไรและเพียงแค่ยิ้มออกมาอย่างลึกลับก่อนที่จะหลับตาลงเพื่อเพลิดเพลินกับกลิ่นหอมของชาต่อไป