เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 727 นายน้อยหลิน
“คิดจะหนีงั้นรึ?”
ดวงตาของเจียงอี้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดและกลิ่นอายสังหารก็แผ่ออกมาจากร่างของเขา เขาไม่ได้ใช้เจตจำนงสังหารมานานแล้ว มันปกคลุมไปกว่าร้อยกิโลเมตรทันที เขาอ้าปากตะโกนออกมาพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากร่างกาย “ตาย ทุกคนต้องตาย!”
ทันทีที่เจตจำนงสังหารถูกปลดปล่อยออกมา ผู้คนส่วนใหญ่ก็มีแววตาหวาดกลัวและสิ้นหวัง พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวหรือจินกัง เจตจำนงสังหารนั้นแข็งแกร่งเกินไปและพวกเขาไม่สามารถป้องกันตัวเองได้เลย
ฟรึ่บ!
ร่างของเจียงอี้ทะลุผ่านอากาศและคว้าไปหยิบแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณที่ลอยอยู่กลางอากาศ มันคือแหวนของกุ่ยอิ่งและศิลาสวรรค์แปดสิบล้านก้อนของเจียงอี้ก็อยู่ในนั้น มันอาจมีสมบัติดีๆซ่อนอยู่ในนั้นอีกมากเพราะยังไงเสียเขาก็เป็นถึงผู้นำกองทัพวายุทมิฬ
หลังจากที่เก็บแหวนเอาไว้ เจียงอี้ก็ไม่ได้ไล่ตามผู้เชี่ยวชาญหลายๆคนที่หลบหนีไปได้ แต่เขากลับบินไปยังหลุมลึกที่อยู่ใต้หม้อที่น่าสะพรึงซึ่งเกือบจะบดขยี้เขาเมื่อครู่ก่อน ตอนนี้กระดูกเกือบทั้งหมดในร่างเจียงอี้แตกเป็นเสี่ยงๆและอาการบาดเจ็บสาหัสของเขามากจากหม้อใบนี้ ไม่มีทางที่เขาจะพลาดโอกาสที่จะเก็บสมบัติล้ำค่านี้ไปหรอก
ลึกลงไปในหลุมราวๆสามสิบกิโลเมตรมีหม้อสีเขียวขนาดเล็กอยู่ที่ก้นหลุมนั้น หลังจากที่กุ่ยอิ่งตกตายไป หม้อใบนี้ก็ไม่มีเจ้าของซึ่งทำให้มันกลับสู่สถานะเดิม ลายอักขระโบราณก็ไม่ปรากฏออกมาที่ผิวหม้ออีกต่อไปและมันไม่มีแม้แต่ขาตั้งหม้อ เหมือนว่ามันจะเป็นสมบัติธรรมดาที่ทรุดโทรมไปเกือบครึ่งหนึ่ง
สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝง!
แม้ว่าร่างของเจียงอี้จะเต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บและเขาเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่ดวงตาของเจียงอี้ก็สุกใส สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงเป็นสมบัติที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า เกราะเมฆาอัคคีบนตัวเขาได้ช่วยชีวิตเขามานับครั้งไม่ถ้วน คราวนี้หากเขาได้สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงมา ความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็คงจะขึ้นไปอีกระดับ
เจียงอี้คว้าหม้อเวหาสลาตันเอาไว้ด้วยมือเดียว เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของกลิ่นอายที่ไม่สามารถอธิบายได้จากหม้อใบนี้ เหมือนว่าเขากำลังถือก้อนหยกที่เย็นเยียบอยู่ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก
“ข้าจะเก็บมันไว้ก่อนและขัดเกลามันหลังจากที่กลับไปแล้วก็แล้วกัน”
เมื่อเจียงอี้กลืนเม็ดยาลงไป ร่างของเขาก็พุ่งตรงไปยังสำนักงานใหญ่ของกองทัพวายุทมิฬทันที
“ท่านใต้เท้า โปรดเมตตา…”
“ท่านใต้เท้า อย่าสังหารข้าเลย ข้ายินดีจะติดตามท่าน ต่อแต่นี้ไป ท่านจะเป็นหัวหน้าของข้าน้อย!” “ไม่นะ ท่านใต้เท้า อย่าสังหารข้าเลย ข้ายังไม่อยากตาย”
ก่อนที่เจียงอี้จะเข้าใกล้พวกเขา เหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังหลายคนก็ตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง ดวงตาของเจียงอี้เป็นสีแดงเลือดและกลิ่นอายสังหารของเขาทำให้ทุกคนสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว มันเป็นความกลัวที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อมองใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเจียงอี้ ทุกคนก็รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นปีศาจที่มาจากอเวจี
สีหน้าของเจียงอี้ยังคงเย็นชาและไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย เขาไม่ได้ต้องการผู้ใต้บัญชาใดๆ โจรภูเขาพวกนี้ไร้ซึ่งคุณธรรมและจะสังหารทุกคนที่พวกเขาพบเจอ พวกเขารังแกผู้ที่อ่อนแอและหวาดกลัวผู้ที่แข็งแกร่ง แม้ว่าเขาจะสังหารทุกคนไปเขาก็จะไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
ในภูเขาวายุทมิฬแห่งนี้ เจียงอี้ต้องเผชิญกับความตายหลายครั้ง ตอนนี้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บและไฟก็ลุกโชนอยู่ในใจเขา แน่นอนว่าเขาจะไม่เมตตาต่อผู้ใด เมื่อเขาบินไป เขาไม่ได้ขยับฝ่ามือเลยเพราะอุณหภูมิที่สูงมากได้แผดเผาคนนับพันไปและทำให้พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นลูกไฟ พวกเขานับไม่ถ้วนส่งเสียงที่โหยหวนออกมา และในตอนนี้ ภูเขาวายุทมิฬแห่งนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นอเวจีไปแล้ว
หนึ่งพัน, สองพัน, ห้าพัน….แปดพัน!
ผู้เชี่ยวชาญแปดพันคนที่ไม่สามารถหนีจากเจตจำนงสังหารถูกเผาทั้งเป็นทั้งหมด แหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณ, เกราะและอาวุธนับไม่ถ้วนอยู่เต็มไปทั่วท้องฟ้า เมื่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้แผ่ออกไป เขาก็สอดส่องไปทั่วพื้นที่รอบหนึ่งและหลังจากที่มั่นใจว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนซ่อนอยู่ที่นี่แล้ว เขาก็ทะยานขึ้นไปในอากาศและเก็บแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณเอาไว้ทั้งหมด หลังจากนั้นเขาก็นั่งลงที่พื้นและขัดสมาธิจากนั้นมือของเขาก็ส่ายไปมาและกระจายโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีรอบๆตัวเขาไป
หลังจากที่เปลวเพลิงอัสนีถูกเก็บไว้ในไข่มุกวิญญาณเพลิงอย่างสมบูรณ์แล้ว เจียงอี้ก็นำราชวังจักรพรรดิออกมาซึ่งเปล่งประกายแสงสีขาวก่อนที่หยางตงและคนอื่นๆจะปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เฟิ่งหลวน, เจียงเสี่ยวนู๋และทุกๆคนถูกนำตัวออกมาจนหมด
“นายน้อย!” “นายน้อย!” “หัวหน้าเจียง!”
เฟิ่งหลวน, เจียงเสี่ยวนู๋, หยางตงและคนอื่นๆตกตะลึงเมื่อเห็นเลือดบนร่างของเจียงอี้ หลังจากที่หยางตงกวาดสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปรอบๆและแน่ใจว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ใกล้ๆเขา เขาก็โบกมือและออกคำสั่ง “กระจายกันออกไปเฝ้าระวัง”
เจียงอี้โบกมือเบาๆและส่งสัญญาณให้ทุกคนผ่อนคลาย เขาฝืนยิ้มและพูดว่า “กองทัพวายุทมิฬถูกข้าทำลายล้างไปแล้ว คนอื่นๆหนีไปได้และที่นี่น่าจะปลอดภัย พวกเจ้าทุกคนคอยดูลาดเลาเอาไว้และรอให้ข้าพักฟื้นเสียก่อน แล้วเราจะกลับไปที่เกาะอัสนีฟ้ากระจ่างกัน”
“กองทัพวายุทมิฬถูกทำลายล้างไปแล้ว?”
หยางตง, หนิวว่างและคนอื่นๆต่างมองหน้ากันและพวกเขาดูตกตะลึง พวกเขาสู้กับกุ่ยอิ่งและกองกำลังของพวกเขาซึ่งทำให้ผู้คนตกตายไปกว่าสี่สิบคน พวกเขาจึงรู้อย่างชัดเจนว่ากองทัพวายุทมิฬแข็งแกร่งเพียงใด แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะรวมตัวกัน พวกเขาทั้งหมดก็คงจะได้แต่รอความตาย แต่เจียงอี้จัดการสังหารพวกเขาทั้งหมดด้วยตัวเองจริงๆหรือ?! ไอลีนโนเวล
บริเวณนี้ไม่มีซากศพอยู่เลยและมีเพียงอาคารที่ถูกทำลายไปหลายแห่งเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเศษอาวุธ, ชุดเกราะและอื่นๆอีก หากมีใครพูดในสิ่งที่เจียงอี้เพิ่งจะเอ่ยออกมา พวกเขาก็คงจะเย้ยหยันอย่างรังกียจ แต่ทุกคนเชื่อในตัวเจียงอี้และความนับถือและความศรัทธาในตัวเจียงอี้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
เจียงอี้ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลยและหลังจากที่กลืนเม็ดยาเพื่อพักฟื้นไปสองเม็ด เขาก็หลับตาลง เฟิ่งหลวนปลดปล่อยรูปแบบเต๋าราตรีของนางและปกคลุมทุกคนไว้ในความมืดในระยะหลายสิบกิโลเมตร สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาทั้งหมดปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย
… “ไอ้สารเลวหมาป่าเดียวดายนี่มันแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”
เจียงอี้และคนอื่นๆไม่รู้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนที่สวมชุดเกราะสีขาวอยู่ห่างจากพวกเขาไปหลายร้อยกิโลเมตรซึ่งซ่อนตัวอยู่ในรูเล็กๆของภูเขาลูกหนึ่ง เขาถือลูกแก้วไว้ในมือและในขณะนั้นฉากในลูกแก้วก็ถูกความมืดเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว ฉากสุดท้ายนั้นเลือนลางมากแต่เขาเห็นเฟิ่งหลวนยกมือขึ้นมาและปล่อยรูปแบบเต๋าราตรีของนาง
หากเจียงอี้และคนอื่นๆเห็นว่าคนผู้นี้คือใคร พวกเขาจะต้องตกใจอย่างแน่นอน ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนผู้นั้นคือผู้บัญชาการลู่ตี๋จริงๆ ลู่ผิงคิดถูกแล้ว ลู่ตี๋เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง
ในฐานะลูกหลานตระกูลลู่ ลุงของลู่ตี๋เป็นผู้หนุนหลังเขาและยังเป็นผู้อาวุโสตระกูลลู่ด้วย หากเขาต้องการใช้เครือข่ายข้อมูลของตระกูลลู่เพื่อติดตามตำแหน่งของเฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆ มันก็ง่ายมาก และมันยังเป็นเรื่องง่ายดายที่เขาจะติดต่อกับกลุ่มโจรภูเขาเพื่อคอยซุ่มโจมตีเฉียนว่านก้วนด้วย ครั้งนี้เขาต้องการยืมดาบคนอื่นสังหารเจียงอี้และคนอื่นๆซึ่งมันจะทำให้เส้นทางร่ำรวยของลู่ผิงพังทลายลงไป และเขาจะได้ขจัดความแค้นเคืองได้
แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจียงอี้จะดุเดือดถึงเพียงนี้ เขาสังหารกุ่ยอิ่งและคนอื่นๆด้วยตัวคนเดียวและยังทำลายกองทัพวายุทมิฬที่เป็นหนึ่งในสิบกลุ่มโจรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะพยัคฆ์ขาวได้ หากเจียงอี้ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ลู่ตี๋เกรงว่าจะไม่มีสมาชิกแม้แต่คนเดียวที่จะรอดออกมาได้
“หมาป่าเดียวดาย ไอ้สารเลว ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ!”
ดวงตาที่เย็นชาของลู่ตี๋หมุนเวียนไปรอบๆและกัดฟันขณะที่พึมพำออกมา เขาไม่กล้าหาเรื่องลู่ผิงแบบโจ่งแจ้ง แต่เขารู้สึกว่ามันง่ายกว่าที่จะวางแผนอยู่ในความมืดเพื่อจัดการกับเจียงอี้และคนอื่นๆ เว้นแต่ว่าพวกเขาไม่คิดจะออกจากเมืองแม้แต่ก้าวเดียว
“ไม่ออกจากเมืองหรอ? เหอะเหอะ” ขอบปากของลู่ตี๋ยกขึ้นมาอีกครั้ง ยังไงเสียลู่ผิงก็จะต้องขายหินอัสนีต่อแน่นอน เจียงอี้และคนอื่นๆจะต้องออกจากเมืองเพื่อทำการค้ากับพ่อค้าแน่นอน เนื่องจากพ่อค้าจากทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นไม่มีทางเข้าไปยังเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างเพื่อทำการแลกเปลี่ยนได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะถูกเปิดโปงได้อย่างง่ายดายซึ่งจะทำให้กลุ่มบังคับการของตระกูลลู่สังหารพวกเขา
ตราบใดที่เจียงอี้และคนอื่นๆออกมาจากเมือง เขาก็จะสามารถส่งคนไปจับตาพวกเขาได้ เขาจะค่อยๆคิดหาทางสังหารเจียงอี้และคนอื่นๆได้
“ใช่แล้ว…. นายน้อยหลิน!”
ทันใดนั้นลู่ตี๋ก็นึกบางอย่างขึ้นได้และอุทานออกมา ในพริบตาต่อมาดวงตาของเขาก็หมุนไปมาและมีไฟที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาของเขา เขาพึมพำอย่างเย็นชาว่า “นายน้อยหลินชอบรวบรวมหญิงงามจากทั่วโลก ดูเหมือนสาวน้อยคนนั้นจะแปลงกายได้และนางก็น่าจะมาจากเผ่าพันธุ์พิเศษอย่างแน่นอน นางงดงามและบริสุทธิ์ราวกับกระดาษขาว นางเป็นเหมือนเทพธิดาที่อยู่เหนือผู้ใด หากข้าพานายน้อยหลินไปเที่ยวชมเมืองอัสนีฟ้ากระจ่างและปล่อยให้เขาสังเกตเห็นสาวงามตัวน้อยนี่….มันจะเป็นอย่างไร? ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฟรึ่บ!
ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น เขาไม่ได้สนใจเจียงอี้และคนอื่นๆอีกต่อไปขณะที่เขากลายเป็นลำแสงหลากสีและพุ่งหายไปในถิ่นกันดารอย่างรวดเร็ว
…