เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 732 การเชื่อมดวงจิตวิญญาณสมบัติล้ำค่า
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 732 การเชื่อมดวงจิตวิญญาณสมบัติล้ำค่า
“สองร้อยล้านก้อน…”
เจียงอี้รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา เขาคงไม่รีรอเลยหากใช้ศิลาสวรรค์เพียงไม่กี่สิบล้านก้อน แต่เขาเพิ่งจะได้ศิลาสวรรค์มาจากการลงแรงทั้งหมดเพื่อสังหารกุ่ยอิ่งและกลุ่มของเขาและได้มาเพียงแค่สี่ห้าร้อยล้านก้อน แต่สมบัติเพียงชิ้นเดียวนี้กลับมีราคาถึงสองร้อยล้าน!
เขาอยากไปอยู่ที่เมืองเทพประทานซึ่งต้องใช้ศิลาสวรรค์ประมาณหนึ่งพันล้านก้อน แต่เขายังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าธุรกิจการค้าหินอัสนีจะดำเนินต่อไปได้อีกนานแค่ไหน มันจึงฝืนใจเขาจริงๆที่จะต้องจ่ายศิลาสวรรค์ถึงสองร้อยล้านก้อนในคราเดียว
แต่เขาต้องการสมบัติเพื่อเพิ่มความเร็ว การต่อสู้ในเทือกเขาวายุทมิฬทำให้เจียงอี้ตระหนักได้ถึงความสำคัญของความเร็ว มันยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าแก่นแท้พลังของเขาจะเพิ่มขึ้น หากความเร็วของเขาเร็วขึ้นได้ เขาก็จะมีโอกาสรอดสูงขึ้นด้วย
เจียงอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า “หากข้าไปถึงขอบเขตเทียนจุนแล้ว เสื้อคลุมเงาวายุจะเพิ่มความเร็วได้มากขนาดไหน?”
หญิงรับใช้ตอบว่า “ยิ่งท่านแข็งแกร่งเท่าใด การเพิ่มความเร็วของเสื้อคลุมเงาวายุก็จะยิ่งอ่อนลงเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่แน่นอนว่า….แม้ว่านายน้อยจะไปถึงขอบเขตเทียนจุนขั้นที่ห้า แต่ความเร็วของเสื้อคลุมก็ยังเพิ่มได้อยู่ แต่หลังจากที่นายน้อยไปถึงขอบเขตเทียนจุนระดับสูงแล้ว เสื้อคลุมนี้ก็จะไร้ประโยชน์ไปโดยปริยายเจ้าค่ะ”
เจียงอี้พยักหน้าและถามต่อ “สามารถ…ลดราคาหน่อยได้ไหม?”
หญิงรับใช้มองไปที่ผู้อาวุโสขอบเขตเทียนจุนระดับกลางที่ดูแลห้องโถงฝั่งนี้ เขากำลังฝึกฝนและหลับตาโดยตลอด จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ลืมตาแต่ตอบกลับมาอย่างเฉยเมยว่า “ร้อยห้าสิบล้าน ข้อเสนอที่ต่ำที่สุดแล้ว”
“ก็ได้!” เจียงอี้กัดฟันตอบ เขาหาศิลาสวรรค์เพิ่มได้เสมอ แต่ความแข็งแกร่งของเขาคือรากฐานสำคัญ หากเขาไม่มีกำลัง เขาก็จะถูกสังหารและไม่ว่าเขาจะมีศิลาสวรรค์กี่ก้อนก็ตาม มันก็จะกลายเป็นของผู้อื่นไปโดยปริยาย มันจึงจะดีกว่าที่เอาพวกมันมาใช้จ่าย
เสื้อคลุมเงาวายุเป็นสีดำและถูกถักทอลวดลายมังกรอย่างประณีต มันดูสง่ามาก ไม่มีผู้ใดเคยขัดเกลาสมบัติชิ้นนี้มาก่อน และเจียงอี้ก็ใช้หยดเลือดเพียงแค่หยดเดียวเพื่อให้มันจำว่าเขาเป็นเจ้าของมันเท่านั้น
หลังจากที่เสร็จสิ้นแล้ว เจียงอี้ก็สัมผัสได้ถึงการเชื่อมดวงจิตกับเสื้อคลุมนี้ และเสื้อคลุมก็พองออกในทันทีเมื่อเขาเทแก่นแท้พลังเข้าไป เจียงอี้ก็กลายเป็นเงาและวนไปรอบๆห้องโถงก่อนที่จะพยักหน้าอย่างพึงพอใจแอม “ข้าเร็วขึ้นจริงๆด้วย”
“ฮึฮึ!”
หลังจากที่หญิงรับใช้ได้ศิลาสวรรค์จากเจียงอี้แล้ว นางก็นำบัตรสีม่วงออกมาจากแหวนของนางและส่งให้เจียงอี้ “นายน้อย เนื่องจากท่านทำการซื้อขายกับเราเกินร้อยล้าน ท่านจะได้เป็นแขกพิเศษของทางสมาคมการค้าของเราและได้เพลิดเพลินกับส่วนลดแปดสิบส่วนสำหรับสินค้าชิ้นใดๆที่ท่านต้องการซื้อ ท่านยังสามารถอยู่ที่ปราสาทและขึ้นเรือลิขิตสวรรค์ของเราได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในอนาคตอีกด้วยเจ้าค่ะ”
“โอ้? มีอะไรดีๆเช่นนี้ด้วย?”
เจียงอี้พยักหน้าเงียบๆ เขาไม่เสี่ยงที่จะอยู่ที่นี่อีกนานนัก มีสมบัติอยู่ที่นี่มากมายซึ่งมันราคาสูงเกินเหตุ หากเขาสนใจชิ้นอื่นๆขึ้นมาอีก เขาก็เกรงว่าตนจะใช้ศิลาสวรรค์จนหมดเลย
เฟิ่งหลวนและชิงหยีที่อยู่ด้านนอกก็ซื้อข้าวของเล็กๆน้อยๆด้วยเช่นกัน แต่พวกนางซื้อด้วยราคาศิลาสวรรค์ไม่กี่พันก้อน พวกนางไม่กล้าใช้จ่ายมากมาย แม้ว่าเจียงอี้จะให้ศิลาสวรรค์มามากมาย
หลังจากที่ซื้อของที่ชั้นสองนานกว่าสองชั่วโมงแล้ว เจียงอี้ก็กลับไปพร้อมกับคนอื่นๆอย่างมีความสุข และหลังจากที่พวกเขาออกจากประตูนอกปราสาทไป ก็เป็นอย่างที่เจียงอี้คาดเอาไว้ มีกลุ่มคนที่รอพวกเขาอยู่ที่จัตุรัสกลางเมือง
เมื่อเขาเห็นพวกนั้นออกมา นายน้อยหงก็แผ่กลิ่นอายสังหารออกมา เขาจ้องไปที่เจียงอี้และพูดว่า “ไอ้สารเลว คุกเข่ากราบข้าสามครั้งแล้วส่งหญิงสาวที่สวมชุดคลื่นคนึงมาซะ แล้วข้าจะปล่อยเรื่องนี้ไป หรือไม่ ข้าก็จะให้เจ้าเฝ้าอยู่บนเกาะพยัคฆ์ขาวตลอดชีวิต!”
มีคนมามากกว่ายี่สิบคนอยู่ขนาบข้างหญิงงามและองครักษ์ชุดเดิมที่อยู่ด้านหลังนายน้อยหง พวกเขาทั้งหมดเป็นขอบเขตเทียนจุน โดยมีขอบเขตเทียนจุนมาเพิ่มจากกลุ่มแรกอีกห้าคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นกำลังเสริม
นอกจากนี้ ยังมีนายน้อยอยู่ในคนกว่ายี่สิบคนข้างนายน้อยหงด้วย เขาเชิดหน้าและเย้ยหยันพร้อมกับพูดว่า “เจ้าบังอาจนักที่ทำให้นายน้อยหงขุ่นเคือง! ไอ้สารเลว เจ้าไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือไง? แกรู้ไหม ขนาดหัวหน้ากองโจรทั้งสิบยังต้องสำรวมกับนายน้อยหงบนเกาะพยัคฆ์ขาวเลย?” เจียงอี้กวาดตามองคนทั้งสี่สิบคนอย่างเฉยเมย เขามองคนพวกนั้นอยู่หลายนาทีก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ปัญญาอ่อน!”
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ! ไอรีนโนเวล
ใบหน้าของทุกคนซีดเผือดอีกครั้ง อย่างไรเสีย ที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของสมาคมการค้าทิวาอรุณ มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนหลายสิบคนที่ออกมาจากปราสาท จึงไม่มีผู้ใดกล้าโจมตีออกมา ส่วนเจียงอี้ก็ส่ายหัวและจากไปพร้อมกับคนของเขาโดยไม่ได้สนใจนายน้อยหงและตรงไปยังปราสาทของเขาทันที
“ดี ดี ดี!”
นายน้อยหงและคนอื่นๆสั่นเทาด้วยความโมโหเมื่อมองเจียงอี้และคนที่เหลือพากันเข้าไปยังปราสาทของพวกเขา นายน้อยหงเหลือบมองและเย้ยหยัน “คุ้มกันแม่นางลี่กลับไป เราจะกลับปราสาทกัน ไอ้สารเลวนี่คงไม่สามารถซ่อนอยู่ในปราสาทได้ตลอดชีวิตของมันหรอก เมื่อมันกล้าออกมา เราจะสังหารมันทันที หงอวี้ ให้คนไปตามพวกมันซะ” “ฮึฮึ!”
นายน้อยที่อยู่ถัดจากนายน้อยหงหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย เขาเดินเข้ามาใกล้ๆและกระซิบว่า “นายน้อยหง หากเราสังหารไอ้สารเลวนี่แล้ว เจ้าให้หญิงสาวที่อยู่ข้างมันแก่ข้าคนหนึ่งเป็นไง? แล้วเจ้าก็เอาอีกสองคนไปได้เลย”
“ได้!”
นายน้อยหงพยักหน้าและกล่าวว่า “นายน้อยลี่ ข้าจะส่งตัวหญิงสาวสามคนไปให้ ส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดในปราสาท เดี๋ยวข้าจ่ายให้เอง”
นายน้อยลี่ยิ้มและหัวเราะ “ไปใช้ชีวิตให้สำราญกันก่อนเถอะ”
นายน้อยหงและนายน้อยลี่พาคนของพวกเขาเดินเข้าไปในปราสาทอีกครั้งโดยทิ้งคนอีกห้าคนเอาไว้ สองคนคอยคุ้มกันคุณหนูที่งดงามนางนั้น ส่วนอีกสามคนไปซุ่มดูเจียงอี้และกลุ่มของเขาทั้งวันทั้งคืน
…
“ลูกพี่ เป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อเจียงอี้เข้าไปในเมือง เขาได้ปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพื่อคอยดูสถานการณ์ภายนอก
เจียงอี้เย็นชาและพูดอย่างเฉยเมยว่า “นายน้อยหงและคนอื่นๆเข้าไปในปราสาทแล้ว มีคนสามคนกำลังเฝ้าดูเราอยู่”
หยางตงถามด้วยกลิ่นอายสังหาร “พวกมันมีกันกี่คน?”
เจียงอี้โบกมือและกล่าวว่า “พวกนั้นมีขอบเขตเทียนจุนค่อนข้างมากนัก เจ้าปล่อยพวกนั้นไว้เช่นนี้เถอะ ข้าจะบ่มเพาะพลังก่อน แล้วเราค่อยมาหารือกันตอนที่เรือลิขิตสวรรค์มาถึงแล้วก็แล้วกัน ว่านก้วน หาข้อมูลของนายน้อยหงและนายน้อยอีกคนที่อยู่ข้างๆเขาที หากเป็นไปได้ พยายามสร้างสัมพันธ์กับฝ่ายบริหารสมาคมการค้าทิวาอรุณเอาไว้ด้วยก็ดี”
“จัดไปเลยลูกพี่!”
เฉียนว่านก้วนเก่งในเรื่องเช่นนี้นัก เขาโบกมือและพาหยางตงและหนิวว่างออกไป ส่วนเจียงอี้ก็พาเจียงเสี่ยวนู๋, เฟิ่งหลวนและชิงหยีไปที่ห้องของเขา
หลังจากที่เข้าไปในห้องแล้ว เจียงอี้ก็เปิดอาคมยับยั้งและยิ้มให้พวกนาง “อย่ากังวลไปเลย พวกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับกลางเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงไม่มาเป็นลูกน้องของชายขี้โอ่เช่นนั้น ที่นี่ห่างจากชายฝั่งเพียงสิบกิโลเมตร เราจะไปถึงที่นั่นได้ทันที และเมื่อเราขึ้นเรือแล้ว เราก็จะปลอดภัย ข้าจะไปกลั่นสมบัติก่อน พวกเจ้าคือผู้พิทักษ์ข้า”
“ก็ได้!”
เฟิ่งหลวนพยักหน้า พวกนางเองก็นั่งอยู่รอบๆเจียงอี้พวกเขาเหลือเวลาเพียงสามวันและไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ให้ทำแล้ว เจียงอี้วางแผนที่จะขัดเกลาหม้อเวหาสลาตัน แม้ว่าเขาจะขัดเกลามันได้ไม่เต็มที่ แต่ก็ยังถือว่าเป็นการดีที่จะขัดเกลามันให้ได้มากที่สุด
บรึฟ!
เขาหยิบหม้อจิ๋วออกมาและนึกถึงตอนที่หม้อพุ่งลงมาชนเขา ใจของเขายังคงสั่นสะท้านจากความกลัวอยู่ นอกจากนี้หม้อใบนี้ยังเสียหายและขาตั้งของมันก็หักไป ทว่ามันกลับมีอานุภาพมาก หากมันยังสภาพดี พลังของมันจะไม่มากกว่านี้หลายเท่าหรือ?
“ขัดเกลา!”
เขานั่งขัดสมาธิและเริ่มเทแก่นแท้พลังให้ไหลเวียนไปรอบๆหม้อเวหาสลาตัน แต่ภายในเวลาเพียงสองชั่วโมง หม้อเวหาสลาตันก็แผ่แสงสีดำและอักขระลึกลับก็เปล่งแสงออกมา กลิ่นอายพลังพุ่งออกมาจากหม้อใบนั้นซึ่งมันทำให้เจียงเสี่ยวนู๋และชิงหยีแทบหายใจไม่ออก
เจียงอี้รีบลืมตาขึ้นมาในทันที เขาพึมพำอย่างสับสน “ข้าขัดเกลาสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงนี้เพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้น?! ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมหม้อเวหาสลาตันถึงแตกต่างจากเกราะเมฆาอัคคี ทำไมข้ารู้สึกว่ามันมีดวงจิตวิญญาณของตัวมันเอง?”
“ดวงจิตวิญญาณ?”
เมื่อเฟิ่งหลวนได้ยินเสียงพึมพำของเจียงอี้ นางก็สั่นสะท้านและร้องว่า “นายน้อย สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงนี้เชื่อมถึงดวงจิตวิญญาณแล้วหรือ? โอ…พลังของการเชื่อมดวงจิตวิญญาณนั้นสูงกว่าอย่างน้อยหลายเท่าเลยนะเจ้าคะ”