เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 748 ภาพวาดสวรรค์
“ภาพวาดสวรรค์คืออะไรหรือเจ้าคะ?”
ชิงหยีถามขณะที่กระพริบตาด้วยความประหลาดใจ ส่วนเจียงอี้เองก็หันไปด้วยความสงสัย การขีดเขียนภาพวาดของเขาทำให้เฟิ่งหลวนอุทานออกมาได้ถึงเพียงนี้เชียว? หากเขาเป็นอัจฉริยะ เช่นนั้นฝีมือการวาดลายภาพของเฟิ่งหลวนคงไม่เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะอีกทีเลยหรือ?
เฟิ่งหลวนกลืนน้ำลายและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเจ้าทั้งสองคนไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการวาดภาพนักเลยไม่ค่อยเข้าใจกัน บรรดาผู้ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับงานภาพวาดนั้นจะรู้ว่าภาพแบ่งออกเป็นห้าระดับ ระดับแรกเรียกว่าศิลปิน ระดับที่สองคือศิลปินชั้นครู ระดับสามคือปรมาจารย์ศิลปิน ระดับสี่คือศิลปินมือฉมัง และระดับที่สูงที่สุดคือศิลปินขั้นเทพ! โลกของการดนตรีเองก็มีระดับคล้ายกัน มีผู้คนจำนวนมากที่มีความชำนาญด้านดนตรีในระดับสูง หากพวกเขาไปสู่ระดับสูงสุดได้ก็จะถูกเรียกว่านักดนตรีขั้นเทพ” [แอดมินไม่ชำนาญการวาดรูปเลยไม่ค่อยทราบข้อมูลนี้น้า หากผิดประการใดขออภัยด้วยนะคะ]
ชิงหยียังคงไม่เข้าใจขณะที่นางถามอย่างงุนงง “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายน้อยกัน? ข้ารู้สึกว่า…..ภาพวาดของนายน้อยเป็นเพียงภาพวาดธรรมดาเท่านั้น”
“ฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้เองยังอดกลั้นหัวเราะไม่ได้ อย่าว่าแต่ธรรมดาเลย แค่มองก็ยังแทบจะไม่อยากมองต่อแล้ว
เฟิ่งหลวนส่ายมือของนางและพูดว่า “ฟังข้านะ โลกแห่งการวาดภาพมีการจัดระดับที่เข้มงวดมาก โดยทั่วไป เฉพาะผู้ที่วาดภาพไม่ค่อยละเอียดจะถือว่าเป็นศิลปิน และเมื่อถึงขั้นศิลปินชั้นครู ฝีมือก็ถือว่าไม่แย่แล้ว แต่เมื่อไปถึงระดับปรมาจารย์ศิลปินแล้วล่ะก็ ภาพวาดเพียงภาพเดียวก็มีราคาเท่ากับศิลาสวรรค์หลายหมื่นก้อน หากประมาณการดูแล้ว…มาตรฐานของข้าก็อยู่เพียงแค่ระดับปรมาจารย์ศิลปิน ส่วนระดับที่สูงขึ้นมาอีกคือศิลปินมือฉมัง ภาพวาดจากผู้คนระดับนี้ก็เหมือนกับงานศิลปะที่สร้างในสวรรค์ภาพวาดของพวกเขาจะดูเหมือนจริงมาก หากพวกเขาวาดภาพผู้คนขึ้นมา พวกเจ้าจะคิดว่าเป็นคนจริงๆนอกจากเข้าไปมองใกล้ๆ…”
“จริงด้วย จริงด้วย! ภาพเหมือนนายน้อยที่ท่านพี่วาดเหมือนจริงมาก ตอนนั้นข้าเองก็คิดว่าเป็นคนจริงๆเลย” ชิงหยีพยักหน้าและถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แล้วศิลปินขั้นเทพล่ะเจ้าคะ?”
“ข้ายังห่างชั้นนัก!”
เฟิ่งหลวนหัวเราะอย่างขมขื่นและส่ายหัว จากนั้นนางก็อธิบายต่อ “มีตำนานกล่าวว่ามีศิลปินขั้นเทพที่ทวีปจักรพรรดิบูรพา นอกจากนี้….จักรพรรดิอรหังน่าจะเป็นศิลปินขั้นเทพ ว่ากันว่าภาพวาดของเขามีกลิ่นอายเจตจำนงแห่งเซนและมันจะทำให้เข้าใจเจตจำนงได้ด้วยการเหลือบมองเพียงครั้งเดียว มีข่าวลือว่าที่พำนักของพวกเขามีสถานที่ลับที่เก็บภาพวาดไว้หนึ่งร้อยแปดภาพซึ่งในภาพวาดเหล่านั้นมีเจตจำนงแห่งเซนอยู่ ซึ่งมันทำให้ทายาทของตระกูลพวกเขาสามารถมองภาพวาดเหล่านั้นและเข้าถึงเจตจำนงแห่งเซนได้! หรืออีกนัยหนึ่งคือ….หากสามารถสัมผัสถึงการปรากฏแห่งเต๋าจากภาพวาดได้ เราจะเรียกภาพวาดเหล่านั้นว่าภาพวาดสวรรค์ ซึ่งหมายความว่าภาพวาดเหล่านั้นประกอบด้วยพลังสวรรค์และโลกที่แท้จริง!”
“เอ่อ…..”
ชิงหยีมองไปยังภาพของเจียงอี้ขณะที่ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจและพูดออกมาอย่างไม่เชื่อ “พี่ใหญ่ ท่านจะบอกว่า….ภาพวาดของนายน้อยเป็นภาพวาดสวรรค์? เหมือนกับภาพวาดของจักรพรรดิอรหังเลยหรือ? ไม่ใช่ว่าสมบัตินั้นจะล้ำค่ามากหรอกหรือเจ้าคะ?”
“ห้ะ!”
เจียงอี้เองก็ตกตะลึงเช่นกัน หากเจียงอี้ไม่ได้เห็นว่าเฟิ่งหลวนเป็นคนที่ชื่นชอบการวาดภาพ เขาคงจะเยาะเย้ยนางแน่นอน
เฟิ่งหลวนส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ฝีมือของนายน้อยยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ว่า….ภาพวาดของเขามีการปรากฏของเต๋าอยู่และข้าก็สัมผัสมันได้อย่างชัดเจน หากข้าไม่ได้ปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณซึ่งมันทำให้ข้าเข้าถึงรูปแบบเต๋าได้ยาก ข้าก็คงจะเข้าใจถึงรูปแบบเต๋าในภาพวาดของนายน้อยได้ หากนายน้อยนำภาพไปขายข้างนอก….มันจะมีมูลค่าอย่างน้อยศิลาสวรรค์หนึ่งล้านก้อนเจ้าค่ะ!”
“อะไรนะ?”
ร่างกายของเจียงอี้สั่นเทา สิ่งที่เขาวาดแบบสุ่มๆมีราคาถึงศิลาสวรรค์ล้านก้อนเลย? ถ้าอย่างนั้น เขาจำเป็นต้องออกไปล่ากองโจรภูเขาด้วยหรือ? เขาก็เพียงแค่ต้องวาดภาพทุกๆวันก็พอ
“ไม่เชื่อข้าหรือ?”
เฟิ่งหลวนหัวเราะเบาๆและพูดว่า “ท่านจะให้ว่านก้วนนำภาพวาดนี้ไปยังตำหนักศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดในเมือง และตามหาศิลปินชั้นครูมาประเมินภาพวาดนี่ดูก็ได้ หากเขาไม่สามารถขายมันด้วยศิลาสวรรค์ล้านก้อนได้ เฟิ่งเอ๋อร์จะยอมทำตามคำขอของนายน้อยที่เคยว่าไว้เลยเจ้าค่ะ” “คำขออะไร?”
เจียงอี้กระพริบตาอย่างงุนงงและเมื่อเขาเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของเฟิ่งหลวน เลือดแทบจะพุ่งพล่านออกมาจากร่างของเขา ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายทันทีขณะที่ใจเขาสั่นเทา ก่อนหน้านี้ จู่ๆเขาก็คิดอยากจะลองท่าร่วมรักใหม่ซึ่งเฟิ่งหลวนไม่เห็นด้วยกับมัน เขาไม่คาดคิดว่านางจะเสนอตัวด้วยเรื่องนี้ ดูเหมือนภาพวาดของเขาจะมีผลต่อจิตใจของเฟิ่งหลวนมากจริงๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้หัวเราะเสียงดังและแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปในห้องของเฉียนว่านก้วนและตะโกนว่า “ว่านก้วน!ออกมาข้างนอกหน่อยสิ”
เขาไม่ได้เรียกเฉียนว่านก้วนมาแค่เพราะต้องการท่วงท่าใหม่ แต่เมื่อเห็นเฟิ่งหลวนจริงจังกับการอธิบายเรื่องนี้มาก เขาจึงต้องลองดู หากภาพวาดนี้สามารถแลกศิลาสวรรค์ได้เป็นล้านก้อนจริงๆ เขาคงวาดรูปมากมายและได้ศิลาสวรรค์มามากจนสามารถย้ายไปอยู่ที่เมืองเทพประทานได้ในภายภาคหน้า “ลูกพี่ เจ้าเรียกข้าทำไม?”
เฉียนว่านก้วนบ่นอุบขณะที่วิ่งออกมา เจียงอี้ชี้ไปที่ภาพวาดของเขาที่เพิ่งจะวาดเสร็จและพูดว่า “ไปที่ตำหนักศิลป์ที่ดีที่สุดในเมืองแล้วขายภาพวาดนี้ ราคานี้จะเปิดอยู่ที่ศิลาสวรรค์หนึ่งล้านก้อน”
“เท่าไหร่นะ?” ไอรีนโนเวล
รอยยิ้มของเฉียนว่านก้วนแข็งทื่อไปขณะที่เขามองภาพวาดของเจียงอี้อย่างสงสัยก่อนที่จะมองไปยังภาพวาดของเฟิ่งหลวนและถามว่า “ลูกพี่ เจ้าล้อข้าเล่นหรือเปล่า?”
เฟิ่งหลวนจ้องมาที่เขาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถ้าเราให้เจ้าขาย เจ้าก็ขายมันสิ ทำไมจึงต้องถามมากมายด้วย? เมื่อเจ้าไปถึงที่นั่น จะมีคนที่รู้ว่าภาพวาดนี้ดีอย่างไร จำไว้ด้วยว่า…หากมีคนถามเจ้าว่าใครเป็นคนวาดภาพนี้ เจ้าก็บอกไปว่าเจ้าบังเอิญได้มันมาจากทวีปจักรพรรดิบูรพา แล้วก็คอยปกปิดร่องรอยของเจ้าและอย่าให้ผู้ใดตามกลับมาได้ล่ะ”
เฟิ่งหลวนหยิบภาพวาดของเจียงอี้ขึ้นมาและนึกบางอย่างขึ้นได้ทันที จากนั้นนางก็พูดกับเจียงอี้ว่า “นายน้อย ท่านลงชื่อว่าอะไรก็ได้ลงไปในภาพนี้เจ้าค่ะ”
“โอ้ ก็ได้!”
เจียงอี้คิดถึงเรื่องนี้และเขียนคำสามคำลงไปที่มุมภาพอย่างชัดเจนว่า….อีเพียวเพียว
หลังจากที่เจียงอี้เขียนมันเสร็จแล้ว มือของเฟิ่งหลวนก็แผ่แสงสีเหลืองหม่นและกวาดไปทั่วภาพวาดนี้ กระดาษเนื้อละเอียดสีขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทันที และมันดูเหมือนภาพวาดโบราณมาก
“เอาล่ะ เอาไปเลย!”
เฟิ่งหลวนห่อภาพวาดอย่างระมัดระวังและส่งภาพให้เฉียนว่านก้วน เจ้าอ้วนนั้นไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นว่าเจียงอี้และเฟิ่งหลวนจริงจังในเรื่องนี้มากเพียงใด เขาก็ไม่มีทางอื่นนอกจากต้องออกเดินทางไปข้างนอก เขาเทแก่นแท้พลังลงไปในหินจันทร์มายาซึ่งทำให้รูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไป จากนั้นเจียงอี้ก็ควบคุมราชวังจักรพรรดิและเคลื่อนย้ายเฉียนว่านก้วนออกไป เมื่อเฉียนว่านก้วนออกไป เจียงอี้ก็นั่งบนเก้าอี้สิงโตและเอื้อมมือไปฉุดเฟิ่งหลวนเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและกระซิบที่หูของนางว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ เรื่องท่าใหม่นั่นน่ะ ทำไมเราไม่ลองท่านั้นกันทีหลังล่ะ?”
“นายน้อย…”
เฟิ่งหลวนเหลือบมองอย่างขุ่นเคืองและยิ้มออกมาแบบหงุดหงิดใจ แต่ร่างกายของนางกลับเร่าร้อน ซึ่งชิงหยีก็กระโจนเข้าไปกัดที่ใบหูของเจียงอี้เบาๆและพูดว่า “นายน้อย นานมากแล้วนะเจ้าคะที่ท่านไม่ได้ปรนเปรอเรา”
“ฮึฮึ!”
เจียงอี้หัวเราะและหันไปจุมพิตที่ริมฝีปากของชิงหยีขณะที่เอื้อมมือเข้าไปในเสื้อผ้าของนาง จากนั้นเขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ชิงหยีน้อย เจ้าต้องการมันมากแล้วใช่ไหม?”
“นายน้อย ท่านไม่ได้รู้อยู่แล้วหรอกหรือเจ้าคะ…ปลาจะแหวกว่ายโดยไม่มีน้ำได้อย่างไร?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่ซุกซนจริงๆ!” เจียงอี้หัวเราะดังมากและใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบห้องของเจียงเสี่ยวนู๋เพื่อดูให้แน่ใจว่านางยังคงเข้าสู่สันโดษอยู่ ส่วนเฉียนว่านก้วนก็ไม่น่ากลับมาเร็วเช่นนั้น เขาจึงยืนขึ้นมาและอุ้มผู้หญิงหนึ่งคนไว้ในอ้อมแขนและเดินเข้าไปในห้อง
หลังจากที่เข้าไปในห้องด้านในแล้ว ชิงหยีก็ค่อยๆเติมน้ำในถังจากแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณ จากนั้นนางก็หมุนเวียนแก่นแท้พลังลงไปเพื่อทำให้น้ำร้อนขึ้นก่อนที่จะโรยผงหอมและกลีบดอกไม้ลงไป จากนั้นนางก็คำนับเจียงอี้และพูดว่า “นายท่าน ข้าน้อยจะปรนนิบัติท่านในระหว่างการอาบน้ำเองเจ้าค่ะ”
เฟิ่งหลวนเองก็หัวเราะคิกคัก เมื่อทั้งคู่ปลดเปลื้องผ้าเจียงอี้และให้เขาลงไปในอ่างน้ำแล้ว พวกนางทั้งสองก็เปลื้องผ้าเหลือเพียงผ้าชั้นในและเข้าไปในอ่างน้ำ
เมื่อเจียงอี้เห็นนางทั้งสอง เขาก็เผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายและมีเสน่ห์ออกมาขณะที่หัวเราะอย่างซุกซน “หญิงงามทั้งสองของข้า คืนนี้เราจะลองท่วงท่าใหม่ แย้มกลีบไม้บานกันไหม?”
เรือนร่างอันบอบบางของเฟิ่งหลวนและชิงหยีสั่นเทา ชิงหยีพยักหน้าราวกับบอกเจียงอี้ว่าให้เจียงอี้ทำทุกอย่างที่ต้องการได้เลย ส่วนเฟิ่งหลวนก็เขินจนไม่กล้าแม้แต่จะมองเจียงอี้ การอาบน้ำเริ่มร้อนระอุ ซึ่งมันทำให้ร่างของเฟิ่งหลวนแดงขึ้นและทำให้บรรยากาศภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยความเร่าร้อนยิ่งขึ้น