เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 754 คนบ้าไล่ล่าสายฟ้า
“ภาพวาดสวรรค์ นี่เป็นภาพวาดสวรรค์อย่างแท้จริง!”
ในตำหนักสุดหรูทางเหนือของเมืองมังกรอินทนิล มีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ที่นั่นและแต่ละคนก็กำลังจับภาพวาด ภูเขาไฟระเบิดในทะเล ขณะที่ดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ผู้คนตรงนี้ล้วนแต่เป็นชนชั้นสูงของตระกูลชวีซึ่งเป็นผู้ปกครองหมู่เกาะมังกรอินทนิล พวกเขาได้เข้าร่วมการประมูลต่างๆและได้เห็นงานศิลปะมากมายและโชคดีที่ได้เห็นภาพวาดสวรรค์
โลกนี้อาจมีศิลปินขั้นเทพหรือนักดนตรีขั้นเทพอยู่ไม่มาก แต่ก็พอจะมีให้พบเห็นอยู่บ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นภาพวาดสวรรค์มากมายในคราวเดียว
“หลี่เชียง!”
ชายวัยกลางคนที่มีร่างกำยำตะโกนออกมาว่า “เจ้าได้ตรวจสอบข้อมูลจากผู้ที่ขายภาพวาดนี้หรือไม่? จะมีโอกาสรับสมัครศิลปินเข้ามาในตระกูลเราได้หรือเปล่า? หากเจ้ารับพวกเขาเข้ามาในตระกูลเราได้ เจ้าจะได้การสนับสนุนอย่างมหาศาล”
หัวหน้าสมาคมการค้ามังกรอินทนิล หลี่เชียงยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ท่านประมุข ผู้ขายภาพวาดเป็นเพียงคนรับใช้และเป็นสหายที่มีเล่ห์เหลี่ยม ข้าน้อยไม่กล้าส่งคนไปติดตามเขาอย่างประมาทเพราะเกรงว่าเขาจะขุ่นเคือง ข้าน้อยให้ป้ายสมาคมการค้าของเราไปด้วย…แต่ป้ายของเราถูกทิ้งไว้ในห้องน้ำ เขาบอกว่าเขาจะกลับมาอีกครั้งในเดือนหน้า แต่ไม่รู้ว่าจะมาจริงหรือไม่เจ้าค่ะ”
“น่าเสียดายนัก!”
ชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นประมุขคนปัจจุบันของตระกูลชวี, ชวีสง เขาถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวว่า “บุคคลผู้นี้เข้าใจถึงทักษะอันศักดิ์สิทธิ์ของการควบแน่นการปรากฏพลังแห่งเต๋าลงมาไว้บนภาพวาด แต่เขาเพิ่งจะเริ่มเรียนรู้การวาดภาพ ด้วยเหตุนี้ฝีมือการวาดภาพจึงยังหยาบอยู่ แต่หากฝีมือของเขาพัฒนาขึ้นในภายภาคหน้า เขาจะกลายเป็นศิลปินขั้นเทพคนใหม่อย่างแน่นอน ทุกคนที่นี่ก็น่าจะรู้จักศิลปินขั้นเทพกันดีอยู่แล้ว…”
“ใช่แล้ว!”
“หากคนผู้นี้เข้าร่วมตระกูลเราได้ มันจะเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่กับการพัฒนาตระกูลชวีในอนาคต ตราบใดที่เขาสามารถวาดภาพสวรรค์ที่มีมาตรฐานที่สูงได้ ตระกูลของเราก็จะมีไพ่ตายเพิ่มมาอีกคน”
“แต่คนผู้นี้อาจจะไม่อยากเข้าร่วมกับตระกูลชวีของเรา ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะมาเจรจากับเราโดยตรงแล้ว”
“ชื่อที่ลงนามเอาไว้บนภาพวาดสวรรค์เขียนไว้ว่าอีเพียวเพียว? หรือว่าคนผู้นี้คือผู้หญิงกัน?”
ผู้อาวุโสที่เหลือต่อถอนหายใจด้วยความเสียดาย หลี่เชียงนิ่งไปชั่วขณะก่อนที่จะขอคำแนะนำ “ท่านประมุขเจ้าคะ เราจะทำอย่างไรกับภาพวาดสวรรค์ทั้งหกร้อยภาพนี้กันเจ้าคะ? ทำไมเราไม่จัดการประมูลในสมาคมการค้าคราวเดียวแล้วเชิญแขกผู้มีเกียรติทั้งหมดของสมาคมการค้ามาประมูลล่ะเจ้าคะ?”
“ไม่!”
ชวีสงส่ายมือและกล่าวว่า “เราจะไม่ขายมันแม้แต่ชิ้นเดียว นำภาพทั้งหมดไปยังเมืองเทพประทาน เทศกาลเทพประทานจะจัดขึ้นในอีกสามเดือนและตระกูลใหญ่ ตระกูลเล็กทั้งหมดจะมารวมกันที่เมืองเทพประทาน หากเราจะนำภาพวาดสวรรค์เหล่านี้และสมบัติหายากทั้งหมดที่เราได้มาก่อนหน้านี้ไปที่เมืองเทพประทาน ภาพวาดเพียงภาพเดียวก็น่าจะขายได้ศิลาสวรรค์สิบล้านก้อนแล้ว”
“ท่านประมุขหลักแหลมนักเจ้าค่ะ”
หลี่เชียงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเทศกาลเทพประทานจะจัดขึ้นในอีกสามเดือน? นางจงใจถามเช่นนี้เพื่อที่จะได้มีโอกาสเลียแข้งเจ้านาย
ชวีสงยิ้มและพยักหน้า “ให้หน่วยลับไปตรวจสอบเรื่องนี้และดูว่าเราจะพบอัจฉริยะผู้นั้นหรือไม่ เมื่อเราพบอัจฉริยะผู้นั้นแล้ว เราค่อยคิดเรื่องที่จะรับเขาเข้ามา” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพยักหน้าและออกไปจัดการตามคำสั่งชวีสง หน่วยลับของตระกูลชวีไม่เหมือนที่เฟิ่งหลวนและเฉียนว่านก้วนเคยตั้งขึ้นมา เมื่อหน่วยลับเหล่านี้ถูกระดมพล จะไม่มีความลับใดในเมืองมังกรอินทนิลที่สามารถหลบเลี่ยงไปได้ หากผู้ปกครองหมู่เกาะมังกรอินทนิลไม่สามารถเข้าควบคุมเมืองมังกรอินทนิลได้ เช่นนั้นพวกเขาก็คงไม่จำเป็นต้องมีตัวตนอยู่ที่นี่แล้ว
…
เขตแดนทะเลนอกเกาะเทพประทานนั้นถูกเรียกว่าทะเลเทพประทานและมันเป็นทะเลรูปร่างวงแหวน น้ำทะเลที่นี่ใส, ทิวทัศน์งดงามและมีเกาะนับไม่ถ้วนที่อยู่ระหว่างหมู่เกาะทั้งเก้ากับหมู่เกาะเทพประทาน ทั้งสิบสามตระกูลไม่ได้ครอบครองเกาะเหล่านี้และดูเหมือนว่าจะจงใจทิ้งพวกมันเอาไว้ให้กองโจรภูเขาสู้กันเพื่อแก่งแย่งพื้นที่เหล่านี้
ทะเลเทพประทานอยู่ใกล้กับเกาะเทพประทานและพลังฟ้าดินก็อัดแน่นอยู่เยอะมาก เกาะเกือบทั้งหมดถูกกองโจรภูเขาที่ทรงพลังครอบครองไปและพวกเขาที่นี่แข็งแกร่งกว่ากองทัพวายุทมิฬมากนัก กลุ่มกองโจรภูเขาทั่วไปของที่นี่จะมีขอบเขตเทียนจุนระดับกลางอยู่อย่างน้อยสิบถึงร้อยคน ส่วนกองโจรภูเขาสิบอันดับแรกนั้นยังมีขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดอยู่ด้วยซ้ำ
การครองเกาะก็เหมือนการครองสวรรค์ ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกับกองทัพและอาศัยอยู่ในเกาะต่างๆจะต้องจัดหาศิลาสวรรค์หรือสมบัติด้วยเหมือนกัน หากพวกเขาไม่มีอะไรเลย พวกเขาจะถูกลดให้ไปเป็นทาสช่วยกองทัพขุดค้นสมบัติต่างๆในทะเลส่วนลึก หรือไม่พวกเขาก็จะถูกส่งไปยังแดนทรราชเพื่อขุดศิลาสวรรค์
ดังนั้นหากผู้ใดสามารถครองเกาะในทะเลเทพประทานได้ก็ถือเป็นผู้แข็งแกร่งและมีสายแร่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีวันหมดแล้ว
อันที่จริงแล้ว!
ครึ่งหนึ่งของเกาะเหล่านี้ถูกตระกูลต่างๆจากเมืองเทพประทานครอบครองทั้งนั้น ตระกูลเหล่านี้ยอดเยี่ยมมากเมื่ออาศัยอยู่ในเมือง แต่พวกเขาจะกลายเป็นโจรภูเขาทันทีที่ออกมาจากเมือง พวกเขาจะปล้นในทุกทุกที่ที่พวกเขาไป และตราบใดที่ได้กำไรพวกเขาก็จะสังหารแม้แต่พันธมิตรของตัวเอง นี่คือเกาะแห่งบาป แดนแห่งการผิดศีลธรรม ไอรีนโนเวล
ตอนนี้ มีเรือลิขิตสวรรค์ขนาดยักษ์กำลังเคลื่อนตัวอยู่ทางใต้ของทะเลเทพประทาน เรือลิขิตสวรรค์ลำนี้ไม่ได้บินสูงเกินไปและดูเหมือนจะบินอยู่เหนือผิวน้ำทะเล เพราะบนฟ้ามีค่ายกลเก้ามังกรสยบเทพอยู่จึงไม่มีผู้ใดกล้าบินสูงเกินไป เพราะหากพวกเขาบังเอิญสัมผัสเข้ากับค่ายกล แม้แต่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดเองก็จะกลายเป็นเถ้าถ่าน
เรือลิขิตสวรรค์มีสีทองและมีความยาวกว่าหกร้อยเมตร มีความสูงและความกว้างกว่าร้อยห้าสิบเมตร มันเหมือนกับปราสาทยักษ์ที่หล่อด้วยทองคำที่กำลังลอยอยู่เหนือทะเลอย่างเงียบๆ
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันและแสงแดดในฤดูหนาวก็อบอุ่นมาก แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่อยู่บนเรือลิขิตสวรรค์ล้วนอยู่ขอบเขตจินกังเป็นอย่างต่ำและไม่ได้รับผลจากสภาพอากาศร้อนหรือเย็นก็ตาม แต่แขกจำนวนมากก็ยังคงเดินออกมาจากระวางเรือตัวเองและยืนอาบแดดอยู่บนดาดฟ้าและชื่นชมทิวทัศน์ที่งดงามของทะเล
ทะเลเทพประทานกว้างใหญ่มาก พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการเดินทางจากเมืองมังกรอินทนิลไปยังเกาะเทพประทาน แต่หลังจากที่เข้ามาสู่เขตแดนเกาะเทพประทานแล้ว พวกเขาก็ยังต้องบินไปอีกกว่าสองสัปดาห์ก่อนที่จะถึงเมืองเทพประทาน และเวลานี้ไม่ถือว่านานแต่ก็ไม่ได้รวดเร็ว ซึ่งมีหลายคนที่เกียจคร้านเกินกว่าจะฝึกฝนและเบื่อตายอยู่ในระวางเรือ และมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะออกไปเดินเล่น
จริงๆเฟิ่งหลวนและชิงหยีอยากออกไปเดินเล่นเต็มทน ในขณะที่เจียงอี้, เฉียนว่านก้วน, เจียงเสี่ยวนู๋ต่างก็เข้าสู่สันโดษ พวกนางก็รู้สึกเบื่อหน่าย พวกนางไม่มีอะไรทำเลยนอกจากการเย็บปักหรือวาดภาพเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายเหล่านี้
แต่พวกนางทั้งคู่รู้ดีว่าหากพวกนางออกไปข้างนอก พวกนางอาจถูกเปิดเผยตัวตนแม้ว่าจะมียาแปลงกายก็ตาม ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อมองดูทะเลที่ไร้พรมแดนอยู่เงียบๆ
“พี่ใหญ่ ฝนกำลังจะตกแล้วเจ้าค่ะ!”
มีเมฆครึ้มลอยมาจากทิศตะวันตก เมื่อชิงหยีตรวจเห็นมัน นางก็ร้องเรียกเฟิ่งหลวนขณะที่เฟิ่งหลวนพยักหน้าเบาๆและหัวเราะ “ทะเลเทพประทานนี้เปลี่ยนแปลงอากาศตามใจชอบจริงๆ ก่อนหน้านี้พระอาทิตย์ยังส่องแสงอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับมีพายุฝนแล้ว สงสัยอีกไม่ช้ามันอาจจะมีลูกเห็บตกลงมาก็ได้”
ตูม! ตูม! ตูม!
เมื่อฟ้าร้องและฟ้าและทางทิศตะวันตก พายุก็พัดผ่านมาอย่างรุนแรง แต่เดิมที่ท้องทะเลสงบสุขก็กลับกลายเป็นคลื่นยักษ์ที่ซัดโหมกระหน่ำทันที ทำให้ทุกคนบนดาดฟ้าเรือพากันสาปแช่งและบ่นอุบ เรือลิขิตสวรรค์นั้นมีม่านพลังอยู่และทุกคนไม่จำเป็นต้องกลัวเปียกเลย แต่หากปราศจากความอบอุ่นจากแสงแดดแล้ว ท้องฟ้าที่มืดครึ้มนั้นก็ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดใจอยู่ดี
แปะ แปะ แปะ!
พายุที่รุนแรงพัดมาอย่างรวดเร็วและทำให้ม่านพลังสะท้อนด้วยเสียงที่ถูกกระทบ จากระยะทางไกลๆมีสายฟ้าฟาดลงไปในทะเลและเผยทิวทัศน์ที่น่าทึ่ง
“ดูนั่นเร็ว!”
หนึ่งในผู้คนเหล่านั้นอุทานขณะที่ทุกคนมองไปทางที่คนผู้นั้นชี้ไปและทุกคนก็ถึงกับตกตะลึงเป็นอย่างมาก
มีจอมยุทธผู้หนึ่งเหยียบผ่านทะเลไปและเขาสวมชุดเกราะสีขาวราวหิมะ เขามีผมสีเขียวที่ยาวถึงเอวซึ่งมันปลิวไสวไปตามลมขณะที่เขาบินข้ามทะเลและพุ่งไปยังที่ที่สายฟ้าฟาดลงมาและนี่เขากำลังไล่ตามสายฟ้าไปอย่างนั้นหรือ? เมื่อสายฟ้ากำลังจะฟาดไปที่ร่างของคนผู้นั้น เขาก็ชักกระบี่สงครามออกมาและฟาดฟันสายฟ้าอย่างดุเดือด
และบางสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงเมื่อกระบี่สงครามนั้นฟาดฟันออกไป ห้วงอากาศก็สั่นสะเทือนขณะที่น้ำทะเลรอบๆเกิดคลื่นนับพันสาย คมกระบี่ซัดไปยังสายฟ้านั้นและทำให้มันกลายเป็นกระแสไฟเล็กๆซึ่งพุ่งออกไปทั่วทุกสารทิศ
“นี่มัน…”
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของชิงหยีและเฟิ่งหลวนเองก็สังเกตถึงมันเช่นกันขณะที่ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของพวกนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง มีคนผ่าสายฟ้าจริงๆหรือ? นี่เป็นรูปแบบเต๋าอะไรกัน? ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้ยังดูเหมือนว่ายังไม่แก่และเป็นรุ่นเยาว์ที่อายุยี่สิบปีกว่าเท่านั้น? เขามีพลังมากมายถึงเพียงนี้ในอายุเท่านี้และยังกล้าเดินทางข้ามทะเลเทพประทานด้วยตัวคนเดียวจริงๆ? หรือว่าเขาจะเป็นนายน้อยจากสิบสามตระกูลกัน?