เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 759 เทพสะอื้น
เมืองเทพประทานเป็นที่ที่ผู้คนถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างแท้จริง!
เมื่อเจียงอี้และเฉียนว่านก้วนพบลานหมายเลขหนึ่งหนึ่งหนึ่งสอง พวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามันเล็กกว่าลานที่พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองหยกอินทนิลถึงสองเท่า ขนาดนั้นไม่ได้สำคัญเท่าใดนัก แต่ที่สำคัญที่สุดคือ มันไม่มีม่านพลังอาคมยับยั้งหรือข้อจำกัดใดๆเลย?!
หากเจียงอี้ต้องการนำราชวังจักรพรรดิออกมา เขาจะต้องเปิดใช้ม่านพลังและใช้หินลวงตาเพื่อสร้างเขตภาพลวงตา ไม่เช่นนั้น ผู้ใดก็ตามที่ผ่านที่นี่ พวกเขาก็จะสอดส่องเข้ามาในราชวังจักรพรรดิของเขาได้ เมื่อเฉียนว่านก้วนกำลังเจรจาที่ตำหนักเจ้าเมือง ผู้คุมก็กล่าวว่าหากพวกเขาต้องการสร้างอาคมยับยั้ง พวกเขาต้องจ่ายศิลาสวรรค์มาร้อยล้านก้อน
เขากล่าวว่าคนอื่นๆก็อาศัยอยู่ในลานบ้านของพวกเขาได้โดยไม่มีอาคมยับยั้งใดๆและมันก็ปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่ลู่หลินและตระกูลหงและตระกูลลี่อาจจะยังตามหาตัวพวกเขาอยู่ แล้วจะให้พวกเขาประมาทได้อย่างไร?
สุดท้ายเจียงอี้ก็กัดฟันให้เฉียนว่านก้วนจ่ายศิลาสวรรค์ร้อยล้านก้อนไปและให้ตำหนักเจ้าเมืองจัดการหาคนมาตั้งอาคมยับยั้ง โชคดีที่อาคมยับยั้งนี้ค่อนข้างทรงพลังและจอมยุทธที่ปราศจากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังจะไม่สามารถสำรวจภายในได้เลย
หลังจากที่ลงหลักปักฐานที่พักอาศัยแล้ว ทุกคนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เฉียนว่านก้วนออกไปซื้อหินลวงตาและของใช้ต่างๆ เมื่อเขากลับมา ใบหน้าของเจ้าอ้วนเฉียนก็มืดมนลงเนื่องจากของทุกอย่างแพงกว่าเกาะอื่นๆเป็นร้อยเท่า เขาซื้อเพียงแค่ของใช้เล็กน้อยเท่านั้นแต่กลับใช้ศิลาสวรรค์ไปสิบล้านก้อน
เฉียนว่านก้วนได้นำข่าวร้ายมาด้วย เพราะในเมืองเทพประทานนี้ เมื่อใดก็ตามที่จันทร์เต็มดวง จะมีเสียงสะอื้นของเทพ และทุกคนในเมืองจะได้รับผลกระทบจากมัน ผู้ที่มีดวงจิตวิญญาณที่ไม่แข็งแกร่งจะรู้สึกกระสับกระส่ายในช่วงที่เกิดเสียงเทพสะอื้น หากพวกเขาไม่อยากรู้สึกอึดอัด พวกเขาก็จะต้องซื้อยาเทพสะอื้นแต่มันมีราคาที่ขวดละสิบล้านศิลาสวรรค์
“เสียงสะอื้นของเทพคืออะไรกัน?”
หน้าผากของเจียงอี้เต็มไปด้วยรอยย่น นี่จะเป็นเมืองที่เทพประทานได้อย่างไรกัน? นี่มันแทบจะเป็นเมืองปีศาจอยู่แล้ว จอมยุทธธรรมดาที่ไม่มีศิลาสวรรค์จะอยู่ในที่แห่งนี้ได้หรือ?
“ข้าก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่น่ะ…”
เฉียนว่านก้วนส่ายหัวและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นเสียงสะอื้นของเหล่าทวยเทพและมันก็อยู่มาตั้งแต่เมืองเทพประทานได้สร้างขึ้นมาแล้ว เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิหนานกง และแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถขจัดเสียงสะอื้นของเทพได้ ทางเลือกเดียวของเขาคือการปรับแต่งยาที่สามารถกลบเสียงมันได้ อ้อใช่…พรุ่งนี้เป็นคืนจันทร์เต็มดวง ลูกพี่ หากเจ้าไม่กินยาเทพสะอื้น เจ้าก็จะได้ยินเสียงมัน”
“ต้มตุ๋นกันชัดๆ!” เจียงอี้สาปแช่งอย่างเงียบๆและสะบัดมือของเขาอย่างช่วยไม่ได้ “พรุ่งนี้ไปซื้อยาเทพสะอื้นสักสิบอัน หากใครทนไม่ไหวจริงๆก็กินยาเข้าไปเถอะ”
หินลวงตาที่เฉียนว่านก้วนซื้อมานั้นเป็นหินระดับสูงสุด เขาเคยชินกับการจัดวางเขตลวงตาและจัดการสร้างเขตลวงตาในบ้านอย่างรวดเร็ว ด้วยการเพิ่มอาคมยับยั้งของลานบ้าน จะไม่มีผู้ใดสามารถเห็นราชวังจักรพรรดิได้ เว้นแต่พวกเขาจะอยู่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด และถึงแม้ว่าพวกเขาจะพบราชวังจักรพรรดิอยู่ในนั้น แต่มันก็เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะสัมผัสได้ว่าเจียงอี้และคนอื่นๆอยู่ในนั้น
“บ่มเพาะพลัง!”
เจียงอี้ให้มังกรวารีสีทองเฝ้าอยู่ข้างนอกขณะที่ทุกคนเข้าไปในราชวังจักรพรรดิเพื่อฝึกฝน หลังจากที่นั่งพักครู่หนึ่งและหมุนเวียนศาสตร์นิรนาม เจียงอี้ก็ลืมตาขึ้นมาและรู้สึกปิติยินดีมาก!
“ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของข้าเพิ่มขึ้นเป็นพันเท่าจริงๆ! ด้วยความเร็วขนาดนี้ ข้าจะใช้เวลาเพียงสามเดือนในการพัฒนาดาวดวงที่สี่ของข้า!”
หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคและความยากลำบากทั้งหมดเพื่อมาที่เมืองเทพประทาน สิ่งนี้ก็ไม่ทำให้เจียงอี้ผิดหวังจริงๆ แก่นพลังของที่นี่มีมากกว่าโลกภายนอกนับสิบเท่าจริงๆ และหลังจากที่รวมราชวังจักรพรรดิและร่างกายอันไร้ที่ติของเขาด้วย ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาตอนนี้ก็เร็วกว่าคนทั่วไปถึงพันเท่า ความเร็วในการฝึกฝนของเขาพอๆกับการบินและยังช้ากว่าตอนที่เขาขัดเกลาศิลาสวรรค์อยู่เล็กน้อย
การฝึกปรือเองไม่เหมือนกับการขัดเกลาศิลาสวรรค์ เพราะเมื่อแก่นพลังฟ้าดินปกคลุมไปทั่วร่าง มันจะไหลผ่านทุกส่วนของร่างกายและค่อยๆบำรุงร่างกายขึ้นและค่อยๆเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกาย ด้วยวิธีนี้ ร่างกายก็จะได้ความแข็งแกร่งไปอย่างสมดุลซึ่งมันจะไม่ทำให้ร่างกายภายในเสียหาย
เมื่อดาวดวงที่สี่ของเจียงอี้เต็มไปครึ่งหนึ่งแล้ว มันก็ยากที่เขาจะบ่มเพาะพลังต่อได้ แต่ตอนนี้มันต่างออกไปมาก ด้วยความเร็วที่เร็วขึ้นพันเท่า แก่นแท้พลังในดาวของเขาก็พุ่งพล่านราวกับน้ำพุด้วยความรวดเร็ว
เจียงอี้เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ขณะที่แยกจิตส่วนหนึ่งไว้เพื่อควบคุมร่างกายและหมุนเวียนศาสตร์นิรนามซึ่งปล่อยให้แก่นแท้พลังพุ่งขึ้นมาเรื่อยๆ และในเวลาเดียวกัน เจียงอี้ก็จะเข้าถึงรูปแบบเต๋าโดยไม่รอช้า Aileen-novel
ค่ำคืนผ่านไปในชั่วพริบตา เจียงอี้ย้ายเฉียนว่านก้วนออกไปในช่วงรุ่งสางและเขายังคงฝึกฝนต่อไป และในตอนเที่ยง เฉียนว่านก้วนก็กลับมาพร้อมกับยาเทพสะอื้นสิบอัน
“ลูกพี่ ศิลาสวรรค์ของเราจะหมดแล้ว…”
เฉียนว่านก้วนโอดครวญเพราะของในเมืองมีราคาแพงเกินไป เดิมทีพวกเขามีศิลาสวรรค์เหลืออยู่สี่ร้อยล้านก้อนหลังจากที่แลกแต้มความดีความชอบไปแล้ว และเจียงอี้ก็ให้หวงฝูเทาเทียนไปร้อยล้านก้อนแล้ว ซึ่งการตั้งอาคมยับยั้งต้องใช้อีกร้อยล้านก้อนและซื้อยาเทพสะอื้นอีกร้อยล้านก้อน หลังจากรวมค่าใช้จ่ายในการนั่งเรือลิขิตสวรรค์และซื้อหินลวงตาในเมือง….ศิลาสวรรค์สี่ร้อยล้านก้อนก็ถูกใช้ไปแล้ว
“ก็ให้มันหมดไป ข้าจะวาดภาพสวรรค์ทีหลัง!”
เจียงอี้ถูใบหน้าของเขาอย่างหงุดหงิด หลังจากที่ขายภาพวาดสวรรค์ไปหกร้อยชิ้นก่อนหน้านี้ พวกเขาอาจก่อความโกลาหลไว้ครั้งใหญ่และอาจเป็นไปได้ว่ากำลังมีคนตรวจสอบพวกเขาอยู่ และหากพวกเขาจะขายภาพสวรรค์ครั้งต่อไปในตอนนี้ มันอาจจะมีโอกาสมากที่พวกเขาจะถูกเปิดเผยตัวตนได้
แต่หากพวกเขาไม่ พวกเขาจะทำอะไรได้อีก?
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่รอดในเมืองที่เลวร้ายนี้โดยไม่มีศิลาสวรรค์ พวกเขาได้ผ่านอุปสรรคมากมายกว่าจะมาถึงที่นี่ ซึ่งมีความเร็วในการฝึกฝนที่น่าทึ่งเพียงนี้ แล้วพวกเขาจะยอมแพ้ไปง่ายๆได้อย่างไร?
ดวงตาที่งดงามของเฟิ่งหลวนกระพริบขณะที่นางกล่าวว่า “นายน้อยควรสละเวลาเพื่อฝึกฝนการวาดภาพทุกวันนะเจ้าคะ ยิ่งฝีมือท่านดีขึ้นเพียงใด มูลค่าของงภาพวาดนั้นก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น เป็นไปได้ว่าภาพวาดเดียวก็เพียงพอให้เราอยู่ได้นานถึงสองสามเดือนเลยนะเจ้าคะ และยิ่งเราขายภาพวาดสวรรค์น้อยเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่จะถูกเปิดเผยก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น”
“ก็ได้”
เจียงอี้พยักหน้า เนื่องจากมันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลอมรวมรูปแบบเต๋าในช่วงเวลาสั้นๆได้และเขาก็หยุดบ่มเพาะพลังได้ทุกเมื่อที่ต้องการ มันจึงไม่น่ามีผลอะไรกับเขามากนัก
หลังจากบ่มเพาะพลังมาทั้งวันมันก็เกือบค่ำแล้ว และเจียงอี้ก็หยุดบ่มเพาะพลังและขอให้ทุกคนมารวมกัน เขายังปลุกเจียงเสี่ยวนู๋ขึ้นมาและมอบยาเทพสะอื้นให้สัตว์อสูรหยาจื้อด้วย และบอกให้มันกินเข้าไปหากมันไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
เมื่อถึงยามกลางคืน ดวงจันทราที่สว่างไสวก็ค่อยๆลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทุกคนกลั้นหายใจและแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปด้านนอกและรอเสียงสะอื้นของเทพ
ยามค่ำคืนในเมืองเทพประทานเงียบสงัดมากและไม่มีแสงแม้แต่ดวงเดียวราวกับว่าเป็นเมืองร้าง เมื่อเมฆครึ้มพัดผ่านมา พวกมันก็บดบังดวงจันทร์ที่เจิดจ้าและทำให้เมืองเทพประทานยิ่งดูแปลกประหลาดขึ้นไปอีก
แต่ทันใดนั้นเอง…
ขอบเงาของดวงจันทร์ที่สว่างไสวด้วยแสงสีแดงก็ทำให้เมืองเทพประทานสั่นไหวเบาๆ เจียงอี้และคนอื่นๆที่อยู่ในราชวังจักรพรรดิเองก็ยังรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน ท้องฟ้าเหนือเมืองสว่างไสวด้วยม่านพลังสีรุ้งขณะที่แก่นพลังในเมืองเริ่มโกลาหล ลมแรงพัดผ่านมาขณะที่มีเสียงสะอื้นเบาๆดังขึ้นมา
“ฮือ ฮือ… ฮึก ฮือ….”
เสียงนั้นฟังเหมือนเสียงสะอื้นไห้ของหญิงสาว เสียงมันไม่ได้ดังแต่มันสะท้อนอยู่ในดวงจิตวิญญาณของทุกคนอย่างชัดเจน! “นี่!”
ดวงตาของเจียงอี้ประกายด้วยความเย็นเยียบขณะที่เขาสัมผัสถึงการโจมตีของดวงจิตวิญญาณอย่างชัดเจนจากภายในเสียงนั้น เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับใบมีดที่มองไม่เห็นนับไม่ถ้วนที่กำลังทิ่มแทงดวงจิตวิญญาณราวกับว่ามดจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังฉีกวิญญาณอยู่ซึ่งทำให้รู้สึกอึดอัดใจอย่างผิดปกติ
“อ๊าก….นายน้อย ข้ารู้สึกไม่ดีเลย”
ชิงหยีเป็นคนแรกที่กลิ้งลงไปดิ้นที่พื้น เจียงอี้จึงรีบอุ้มนางและนำยาสีเขียวเข้าไปในปากของนางขณะที่หยิบน้ำสะอาดมาให้นางกลืนยาลงไป
อย่างที่คาดไว้!
หลังจากกินยาเทพสะอื้นไปแล้ว สีหน้าของชิงหยีก็ดีขึ้นและนางก็กลับมาเป็นเหมือนปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางไม่ได้ยินเสียงสะอื้นอันน่าสะพรึงอีกต่อไป