เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 778 เป็นการดีที่จะสร้างปัญหาขึ้นบ้าง
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 778 เป็นการดีที่จะสร้างปัญหาขึ้นบ้าง
นอกสมาคมการค้าแห่งเมืองเทพประทานเป็นจัตุรัสเทพประทาน มีผู้คนหลายคนหยุดแวะที่จัตุรัสเพราะพวกเขาอยากรู้ว่าหวงฝูเทาเทียนยังยืนอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร? ดังนั้น เมื่อเขาคุกเข่าและตะโกนออกมา มันจึงเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ให้บริเวณรอบๆ หลายคนพากันมองไปทางเฉียนว่านก้วนและคนอีกสองคนขณะที่ดวงตาของพวกเขาสว่างขึ้น
ลูกค้าบางส่วนจากการประมูลยังคงเวียนอยู่แถวๆนั้นและพวกเขารู้ถึงเหตุการณ์ของหวงฝูเทาเทียนอย่างชัดเจน หมายความว่าเจ้าอ้วนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา เห็นได้ชัดว่าเขาคือ…ศิลปินขั้นเทพและเป็นบุคคลที่ให้หวงฝูเทาเทียนยืมศิลาสวรรค์แปดหมื่นล้านก้อน
เจียงอี้และกลุ่มของเขาตกตะลึง พวกเขาทั้งสามใช้ยาเปลี่ยนกายและหินจันทร์มายาเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปแล้ว พวกเขายังใช้ข้อจำกัดเปลี่ยนเสียงอีก แล้วหวงฝูเทาเทียนระบุตัวพวกเขาในทันทีได้อย่างไรกัน?
เจียงอี้เหลือบมองหวงฝูเทาเทียนและเมื่อเขาเห็นหวงฝูเทาเทียนเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยดวงตาที่เฉียบคม มันเหมือนว่าดวงตาเหล่านั้นสามารถมองทะลุได้ทุกสิ่ง เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วส่งข้อความถึงเฉียนว่านก้วนทันที ในขณะที่เจ้าอ้วนเฉียนพูดอย่างเป็นกันเองว่า “หวงฝูเทาเทียน ยืนขึ้นเถอะ แล้วเดินมากับเรา”
มีดวงตามากมายจับจ้องอยู่และไม่ใช่ที่ที่สะดวกที่จะคุยกัน พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปคุยกันที่ลานบ้าน ส่วนหวงฝูเทาเทียนก็ไม่พูดอะไรและลุกขึ้นมาก่อนที่จะตามพวกเขาไปเงียบๆ
เฉียนว่านก้วนมองไปรอบๆอย่างเฉยเมยและทั้งสี่คนเดินออกไป พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือพยายามปกปิดร่องรอยอะไรทั้งนั้น เพราะมีหน่วยสอดแนมอยู่รอบๆทุกหนแห่ง หลังจากวันนี้ ข้อมูลของพวกเขาอาจจะปรากฏในมือของทุกตระกูลใหญ่ๆ มันจึงไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องปกปิดร่องรอยอีกต่อไป
…
หลังจากที่เจียงอี้และกลุ่มของเขาหายไปจากจัตุรัสและมุ่งหน้าไปยังเขตทางใต้ จัตุรัสเทพประทานก็ตกอยู่ในความโกลาหลทันที หวงฝูเทาเทียนพูดว่าเขาจะเป็นทาสนายน้อยอีเพียวเพียวสิบปีจริงหรือ?
ผู้คนต่างพูดคุยกันไปทั่วเกี่ยวกับเหตุการณ์การประมูลนี้และชื่อของอีเพียวเพียวก็แพร่ไปทั่วเมืองเทพประทาน นอกจากหวงฝูเทาเทียนที่ซื้อไข่มุกแห่งชีวิตสองแสนล้านเพื่อหญิงสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว รถม้าศึกจักรพรรดิโลหิตเองก็ยังเป็นหัวข้อการพูดคุยหลักอีกด้วย ในคืนนี้เมืองเทพประทานไม่มีการจำกัดเวลาและจะมีคนมากมายพูดคุยกันในเรื่องเหล่านี้ในชั่วข้ามคืน
“อะไรนะ ลูกชายนอกคอกข้าต้องการเป็นทาสคนอื่นจริงๆ?”
หวงฝูฉีได้ข่าวนี้เมื่อเขากลับไปที่ห้องตำราและโกรธแค้นทันที เขาหยิบเครื่องเคลือบราคาแพงขึ้นมาและทุบมันอย่างไร้ปรานี คืนนี้หวงฝูเทาเทียนเป็นเหมือนชนวนและตระกูลหวงฝูของพวกเขาก็ทำให้ถูกอับอายขายหน้าอย่างที่สุด ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตระกูลหวงฝูก็จะกลายเป็นเรื่องน่าขันสำหรับทุกคนเป็นแน่
เรื่องที่หวงฝูเทาเทียนถูกไล่ออกจากตระกูลหวงฝูนั้นเป็นที่รู้กันในกลุ่มตระกูลใหญ่เท่านั้น แต่ในระหว่างพิธีเทพประทาน หวงฝูเทาเทียนก็ได้ประกาศต่อหน้าผู้คนนับล้านว่าเขาไม่มีสัมพันธ์ใดๆกับตระกูลหวงฝูอีกต่อไป และพวกเขาก็ไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้ได้อีก ในช่วงสุดท้ายของการประมูล หวงฝูฉีไม่ได้พูดอะไรออกมาเพื่อช่วยเขาขณะที่เขายังคงโกรธอยู่ในใจและต้องการให้ลูกชายคนนี้ได้รู้อะไรบ้าง ว่าหลังจากที่ออกจากตระกูลหวงฝูไปแล้ว…เขาก็ไม่มีอะไรเลย!
เขาไม่ได้คาดคิดว่าศิลปินที่วาดภาพวาดสวรรค์จะให้ลูกชายเขายืมศิลาสวรรค์ถึงแปดหมื่นล้านและตอนนี้ลูกนอกคอก หวงฝูเทาเทียนของเขากลับไปขอเป็นทาสเพื่อตอบแทนบุญคุณอีก? แถมเขายังประกาศในที่สาธารณะอีก? จะไม่ให้หวงฝูฉีโกรธได้อย่างไร?
ปึง ปัง ปึง!
ยิ่งคิด หวงฝูฉีก็ยิ่งโกรธ เขาทุบเครื่องเคลือบมากมายในห้องตำราและสิบห้านาทีต่อมาเขาก็สงบสติได้
เขานั่งลงบนเก้าอี้สิงโตอย่างเหนื่อยล้าและเผยความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดในดวงตาของเขา ครู่ต่อมาเขาก็โบกมือและออกคำสั่ง “หน่วยเงา ไปติดตามพวกเขา อีเพียวเพียวผู้นั้นรุกรานตระกูลลู่และตระกูลเหลย แล้วก็ให้คนไปดูทั้งสองตระกูลด้วย หากลูกชายข้าถูกสังหารไป มันจะต้องตายด้วยน้ำมือข้าเท่านั้น…”
“ขอรับ”
เสียงชราดังก้องมาจากมุมห้อง จากนั้นก็มีลมเย็นๆพัดผ่านเข้ามา ในขณะที่ห้องตำราก็กลับมาสงบอีกครั้ง
หวงฝูฉีหลับตาเพื่อพักผ่อนครู่หนึ่ง หลังจากที่ได้พักฟื้นแล้ว เขาก็ตะโกนออกมาอีกครั้งว่า “ตอนนี้แม่นางเชียนเชียนอยู่ที่ไหน?”
ฟรึ่บ!
ผู้อาวุโสผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องและป้องมือตอบว่า “ท่านประมุข แม่นางเชียนเชียนอยู่กับแม่นางซือถู ข้าได้ยินมาว่าแม่นางซือถูอีเนี่ยนเชิญนางไปยังเรือนรับรองเล็กซือถูเพื่ออาศัยชั่วคราวและแม่นางเชียนเชียนก็ตอบตกลงขอรับ”
หวงฝูฉีพยักหน้าและกล่าวว่า “ให้หยุนเอ๋อร์สร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อแม่นางเชียนเชียน หญิงสาวผู้นั้นคือสายเลือดราชวงศ์ที่แท้จริงและข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสเอาใจใส่นางมากที่สุด”
“ตามข้อมูลที่ได้มา ในหมู่นายน้อยทั้งหลาย เห็นได้ชัดว่าเขาสนใจเฉพาะแม่นางเชียนเชียนเท่านั้นขอรับ” ผู้อาวุโสชุดดำพยักหน้าและตอบ
“ออกไปได้แล้ว ข้าเหนื่อย!”
หวงฝูฉีผายมือของเขาและหลังจากผู้อาวุโสออกไป เขาก็หลับตาลงและพึมพำด้วยความโกรธ “เจ้าลูกนอกคอก เพื่อผู้หญิงแล้ว เจ้าทิ้งทั้งพ่อและตระกูลของเจ้าจริงๆหรือ? คนแก่อย่างข้ากำลังจะตายด้วยความโมโหแล้ว…”
…
ในเขตเมืองทางตอนเหนือ ภายในลานตระกูลลู่ ผู้อาวุโสตระกูลลู่รีบเข้าไปในห้องตำราของประมุขตระกูลลู่ ลู่หลี หลังจากนั้นเขาก็รีบเข้าไปในห้องเพื่อรายงานว่า “ท่านประมุข นายน้อยหลินและนายหญิงน้อยหยี่ออกไปแล้วขอรับ”
ลู่หลีกำลังเพลิดเพลินกับชาและอ่านตำราอยู่ พอได้ยินรายงานของผู้อาวุโสแล้ว เขาก็ถามแปลกๆว่า “พวกเขาออกไปแล้วยังไงล่ะ? จะเอะอะอะไรกัน ผู้อาวุโสหรง?”
ผู้อาวุโสหรงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ท่านประมุข ท่านน่าจะรู้ว่าสองคนนี้เป็นพวกชอบสร้างปัญหา หลังจากที่อีเพียวเพียวเล่นงานนายน้อยหลิน เขาจะคิดหาทางแก้แค้นอย่างแน่นอนขอรับ”
“ฮึฮึ!”
ลู่หลียังคงไม่สนใจและดื่มชาต่อขณะที่พูดว่า “มันเป็นเรื่องปกติที่จะแก้แค้นหลังจากที่โดนตบหน้าไป มันเป็นไปได้หรือที่ใครก็สามารถตบหน้าตระกูลลู่ของเราได้?”
“เฮ้อ..”
ผู้อาวุโสตื่นตระหนกขณะที่พูดอย่างร้อนรนว่า “ท่านประมุข ท่านไม่รู้หรือว่าตระกูลซือถูมอบป้ายกิตติมศักดิ์ให้อีเพียวเพียวและตอนนี้หวงฝูเทาเทียนก็อยู่กับพวกเขาด้วย? ท่านน่าจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของลูกชายตระกูลหวงฝูเป็นอย่างไร…”
“ผู้อาวุโสหรง”
ลู่หลีวางถ้วยน้ำชาลงแล้วถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าคิดว่าหลินเอ๋อร์และหยี่เอ๋อร์จะโง่เขลามากจนไปเคาะประตูบ้านของพวกเขาเลยรึไง? หากพวกเขาโง่มากขนาดนั้น พวกเขาก็ไม่คู่ควรกับลูกหลานตระกูลลู่ของเราแล้ว พวกเขาก็น่าจะแค่ตายไปและกลับชาติมาเกิดใหม่”
“พวกเขาคงไม่ทำเช่นนั้นหรอกขอรับ”
ผู้อาวุโสหรงกังวลมากจนคิ้วของเขาแทบจะไขว้มารวมกัน เขาหยุดพูดชั่วขณะก่อนจะพูดว่า “นายน้อยหลินและนายหญิงน้อยหยี่กำลังไปยังลานบ้านตระกูลเหลย ข้าคิดว่าพวกเขากำลังไปหานายน้อยฉีเหยียนและแม่นางจื่อหานและวางแผนเพื่อระบายโทสะ นี่แหละที่ทำให้ข้ากังวลนัก พวกเขาอาจสร้างปัญหาอะไรขึ้นก็ได้”
“ผิดแล้ว ผู้อาวุโสหรง เจ้าผิดแล้ว!”
ลู่หลีส่ายหัวและหัวเราะเบาๆ “เพราะเหตุนั้นแหละ ข้าถึงได้ไม่กังวล ตระกูลเหลยจะแบกรับทุกอย่างไว้เองและหากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ตระกูลเหลยจะเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย แล้วเราจะต้องกังวลอะไรอีก? คนหนุ่มสาวไม่ควรกลัวที่จะทำผิด เราควรกลัวว่าพวกเขาจะไม่กล้าทำผิดนะ หากไม่พบเจอกับความพ่ายแพ้บ้าง พวกเขาจะเติบโตได้อย่างไร? หากพวกเขาชนะในการเผชิญหน้านี้ ตระกูลลู่จะน่านับถือมากขึ้น แต่หากพวกเขาแพ้…พวกเขาก็จะได้เรียนรู้จากความผิดพลาดและเติบโตได้ใช่ไหมล่ะ? ผู้อาวุโสหรง นี่ก็เป็นเรื่องที่เราเคยเจอในสมัยก่อนไม่ใช่หรือ?”
“เอ่อ…”
ลู่หลีทำให้ผู้อาวุโสหรงพูดไม่ออก หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่นและป้องมือ “ยังคงเป็นประมุขที่ไตร่ตรองเรื่องนี้ได้ มันก็จริงที่ว่าตระกูลเหลยจะแบกรับทุกอย่างเอาไว้ มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเห็นอะไรเกิดขึ้นกับนายน้อยฉีเหยียนและคุณหนูจื่อหานได้ ข้าสับสนเพราะข้ากังวลมากไปเอง…”
“ไม่ต้องกังวลไป พวกเขาจะไม่ต่อสู้กันในเมือง ตระกูลเหลยจะไม่ปล่อยให้พวกเขาทำตัวมุทะลุ ยังไงกฎก็ต้องปฏิบัติตาม”
ลู่หลีผายมือและพูดต่อว่า “ปล่อยให้พวกเขาเล่นกันในเมืองเถอะ หากพวกเขาจะออกจากเมือง เจ้าก็ให้ใครไปดูแลพวกเขาด้วย ตราบใดที่พวกเขาไม่ตายก็อย่าเข้าไปยุ่ง”
ผู้อาวุโสหรงจากไปอย่างสบายใจ ส่วนลู่หลีก็ยิ้มและมองออกไปด้านนอกขณะที่ดวงตาของเขาเย็นชาและพูดด้วยกลิ่นอายสังหารอันเอ่อล้น “มันจะเป็นการดีที่จะสร้างปัญหาขึ้นบ้าง มันจะยิ่งดีหากพวกเขาลากตระกูลหวงฝูและตระกูลเหลยลงมาด้วย มันจะน่าสนใจยิ่งขึ้นหากเสือเหลยและตาเฒ่าอสูรหวงฝูปะทะกัน อีเพียวเพียวรึ? ฮึ่ม…ข้าไม่สนใจหรอกว่านั่นจะเป็นชื่อจริงหรือปลอม แต่หากเจ้ากล้าตบหน้าตระกูลลู่ของเรา เจ้าจะต้องตาย!”