เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 788 ประลอง
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ในตอนแรก คนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจเจียงอี้ แต่ในตอนนี้ ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขาทันที แม้แต่ซือถูอีเนี่ยนและซือถูอีเสี้ยวเองก็มองไปที่เจียงอี้ ดวงตาของหวงฝูเทาเทียนเยือกเย็นลงขณะที่เขารู้ดีถึงความแค้นระหว่างเจียงอี้และลู่หลิน
ลู่หยี่เองก็ยังมีความประทับใจที่ลึกซึ้งต่อเจียงอี้ เขาอาจเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเอง แต่เมื่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนางแผ่ออกไป นางก็ลุกขึ้นยืนในขณะที่ปากของนางเต็มไปด้วยความเย็นเยียบขณะที่เย้ยหยันว่า “หัวหน้าเจียง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เฉียนว่านก้วนนั่งอยู่ข้างใน แต่เขาไม่ได้พบลู่หลินและลู่หยี่และพวกนั้นก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถูกเปิดเผยในวันนี้และเขาก็ไม่ได้คิดว่าลู่หลินและลู่หยี่จะอยู่ที่นี่ด้วย ขณะที่เขาคิดที่จะหาทางออกไปจากสถานการณ์นี้ เขาก็ไม่คิดเลยว่าเจียงอี้และหวงฝูเทาเทียนจะมาที่นี่
“ฮึฮึ!”
เนื่องจากตัวตนของเขาถูกเปิดเผย เจียงอี้จึงไม่อดกลั้นไว้อีกต่อไป เดิมทีเขาอยู่ในร่างเตี้ยและซ่อนอยู่หลังหวงฝูเทาเทียน แต่ตอนนี้ดวงตาของเขาเปล่งประกายขณะที่ก้าวไปข้างหน้าและหัวเราะว่า “ลู่หลิน ที่นี่คือหมู่เกาะมังกรขาวแล้วเจ้าต้องการจะเคลื่อนไหวในเมืองรึ? หากเจ้าอยากจะแหกกฎก็เอาเลย หัวหน้าคนนี้จะบดขยี้เจ้าให้แหลกด้วยมือเดียว!”
“….”
ไม่มีอะไรเลยนอกจากความเงียบสงัด นายน้อยหลายคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป บางคนที่นี่ก็ไม่ได้รู้จักลู่หลิน แต่เขาก็ยังเป็นสมาชิกของสิบสามตระกูลอยู่ หากเจียงอี้มีพฤติกรรมเช่นนี้ มันก็เหมือนกับการตบหน้านายน้อยและคุณหนูที่นี่ด้วย
“ฮึฮึ!” หวงฝูเทาเทียนหัวเราะและมองลู่หลินด้วยความดูหมิ่นและพูดอย่างเฉยเมย “นายน้อยเจียงเป็นพี่น้องกับนายท่าน ข้าเป็นผู้รับใช้ของนายท่าน หากผู้ใดต้องการจัดการกับเขาหรือพี่น้องของเขา หวงฝูเทาเทียนก็ไม่ลังเลที่จะสู้กับคนผู้นั้น”
เมื่อเฉียนว่านก้วนได้ยินเสียงของเจียงอี้และหวงฝูเทาเทียน เขาก็รู้สึกเข้มแข็งและเสริมบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “หัวหน้าเจียงเป็นพี่น้องข้าและผู้ใดก็ตามที่จะจัดการกับเขาก็จะเป็นศัตรูข้าด้วย…”
ความโอหังของลู่หลินลดลงไปทันที เขาสามารถเมินเฉยคำพูดของเจียงอี้ได้ แต่เขาต้องฟังคำพูดของหวงฝูเทาเทียนและเฉียนว่านก้วนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะหวงฝูเทาเทียนผู้บ้าคลั่ง หากเขายั่วยุหวงฝูเทาเทียนที่อาจจะไม่สนใจทุกสิ่งอย่างและเคลื่อนไหว ลู่หลินจะตกตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
ลู่หลินเงียบไปและบรรยากาศก็น่าอึดอัด เหลยฉีเหยียนซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งเจ้าภาพทางด้านซ้ายหัวเราะขึ้นมาและพูดว่า “ลู่หลิน เจ้าอาจต้องการตอบแทนความแค้นด้วยการแก้แค้น แต่บ้านเมืองมีกฎเกณฑ์ เจ้ามีความข้องใจกับหัวหน้าเจียงผู้นี้หรือ? เช่นนั้นเจ้าสามารถออกไปนอกเมืองหรือไปยังสนามประลองเพื่อชำระแค้นได้ อย่าประมาทในเมือง ไม่เช่นนั้นเมื่อผู้อาวุโสสอบสวนขึ้นมา เราทุกคนคงไม่สามารถรับผลที่ตามมาได้”
ดูเหมือนว่าเหลยฉีเหยียนกำลังแก้ไขข้อพิพาทระหว่างทั้งสองให้ แต่ลู่หลินเข้าใจเจตนาที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา ดวงตาของลู่หลินกระพริบก่อนที่จะจ้องไปที่เจียงอี้และพูดว่า “ไอ้สารเลว หากเจ้ากล้าพอ ก็ตามข้าออกไปจากเมือง หรือไม่ก็ไปที่สนามประลองเพื่อสู้กันสิ? แต่ก็แน่นอนว่า…หากเจ้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย เช่นนั้นเราก็ลืมมันไปเถอะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้หัวเราะออกมาและพูดกลับไปอย่างเฉียบคม “จะออกจากเมืองหรือไปยังสนามประลองก็ได้ แต่แน่นอนว่าจะต้องมีเงื่อนไข การต่อสู้นั้นจะต้องเป็นการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับข้าเท่านั้น จะไม่มีองครักษ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ข้าเจียงผู้นี้เป็นผู้ชายอย่างแท้จริงอยู่แล้ว แต่ข้าไม่รู้เรื่องของเจ้าหรอกนะ ลู่หลิน ว่าเจ้าจะยืนฉี่หรือนั่งฉี่?”
ฮุ้ฟ!
ซือถูอีเนี่ยนและคุณหนูหลายคนหน้าแดงและหัวเราะออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจขณะที่หันหน้าไป ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นนายน้อยและคุณหนูจากตระกูลใหญ่และพวกเขาได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี พวกเขาจึงไม่เคยพูดจาหยาบคายเช่นนี้
“เยี่ยม!”
หวงฝูเทาเทียนยกย่องเขาเสียงดังและยกนิ้วโป้งให้เจียงอี้อยู่ในใจ สงครามประสาทถูกย้อนกลับไปอย่างสมบูรณ์ เขาอาจไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของเจียงอี้อย่างแน่ชัด แต่เมื่อเห็นว่าเจียงอี้มั่นใจเพียงใด มันก็หมายความว่าการบดขยี้ลู่หลินนั้นเป็นเรื่องง่าย จากนั้นเขาก็พูดว่า “การสู้กันแบบตัวต่อตัวนั้นยุติธรรมมาก นายน้อยลู่ เจ้าน่าจะแก่กว่าน้องเจียง ใช่ไหม? ปกติแล้วเขาจะไม่ให้องครักษ์ของเขาเข้าไปยุ่งเลย”
ลู่หลินอายุยี่สิบห้าแล้ว ขณะที่เจียงอี้อายุเพียงยี่สิบปี คนหนึ่งเป็นทายาทตระกูลใหญ่ ในขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก และเงื่อนไขที่เจียงอี้เสนอให้ลู่หลินนั้นยุติธรรมมากและมันอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย หากลู่หลินไม่กล้าสู้ตัวต่อตัวและส่งองครักษ์ออกไปแทน เขาจะต้องกลายเป็นเรื่องน่าขันของทุกคนเป็นแน่
“เอ่อ?”
การแสดงออกของลู่หลินเปลี่ยนไปมาก เขาอาจไม่เคยเห็นความแข็งแกร่งของเจียงอี้ แต่เขาได้ตรวจสอบข้อมูลของเจียงอี้มาและรู้ว่าเขาสามารถกำจัดผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับกลางได้ แล้วลู่หลินเป็นเพียงขอบเขตเทียนจุนระดับต่ำ จะกล้าสู้หรือ?
เดิมทีเขาต้องการจะหลอกเจียงอี้ให้ออกจากเมืองและให้ลูกน้องสังหารเจียงอี้ แต่เขากลับถูกเจียงอี้บังคับให้เข้ามาอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแทน วันนี้เป็นวันเกิดของซือถูอีเนี่ยน ดังนั้นนายน้อยและคุณหนูจากทั้งสิบสามตระกูลจึงมาที่นี่เกือบครบแล้ว หากเขาต้องก้มหน้าก้มตาต่อผู้คนมากมาย เขาจะไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้อีกในอนาคต
“รับคำท้าเลย ข้าจะให้เจ้ายืมดาบเหล็กปฐมกาลกับเกราะพระแม่ธรณีเอง ข้ายังมียาโลหิตเก้าโคจรด้วย…”
เมื่อได้ยินข้อความที่ผ่านเข้ามาในหูแล้ว ร่างของลู่หลินก็สั่นไหวขณะที่ดวงตาของเขาเป็นประกาย ดาบเหล็กปฐมกาลและเกราะพระแม่ธรณีเป็นสมบัติสำคัญที่เชื่อมดวงจิตวิญญาณและเหลยฉีเหยียนจะให้เขาใช้มัน?
ลู่หลินอาจไม่สามารถขัดเกลาสมบัติทั้งสองนี้ได้ แต่เมื่อมีเกราะพระแม่ธรณี เจียงอี้จะไม่สามารถสังหารเขาได้ และยังมียาโลหิตเก้าโคจรซึ่งสามารถเพิ่มแก่นแท้พลังได้ถึงสามเท่าในระยะสั้น รับรองได้เลยว่าเขาจะไม่แพ้การต่อสู้ในครั้งนี้แน่นอน ลู่หลินคิดอยู่ครู่หนึ่งและหัวเราะเสียงดัง “ก็ได้ ไอ้สารเลว เราจะไปที่สนามประลองกัน ความขุ่นเคืองใจของเราจะต้องจบลงในวันนี้”
หวงฝูเทาเทียนขมวดคิ้วและเหลือบมองไปที่ลู่หลินอย่างสงสัยก่อนที่เขาจะมองไปที่เจียงอี้และส่งข้อความ “น้องเจียง เจ้ามั่นใจหรือเปล่า?”
เจียงอี้ยักไหล่แล้วพูดว่า “ทุกคนที่นี่เป็นพยาน ลู่หลินเป็นผู้ท้าทายข้า และหากเขาจะต้องตาย เช่นนั้นก็โทษข้าไม่ได้”
“ฮือฮา!”
ห้องโถงอยู่ในความโกลาหลทันที เหล่านายน้อยและคุณหนูต่างก็เพิ่งจะมาที่เมืองนี้และมันก็นานแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นการสู้กันแบบตัวต่อตัว และตอนนี้พวกเขาก็จะได้เห็นการต่อสู้ระหว่างลู่หลินกับพี่น้องนายน้อยอีเพียวเพียว? มันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะตื่นเต้นขณะที่พวกเขายืนขึ้นและพากันออกไปด้านนอก
พี่น้องซือถูต่างก็หัวเราะอย่างขมขื่นและมองหน้ากัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมาเพื่อห้ามปรามการต่อสู้ ลู่หลินต้องการศักดิ์ศรี ส่วนเฉียนว่านก้วนและเจียงอี้เองก็ต้องการเช่นกัน การประลองครั้งนี้มันมาถึงจุดที่มันไม่สามารถย้อนกลับมาได้ นอกจากนี้เมืองเทพประทานยังมีกฎที่ซ่อนอยู่คือ หากทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะสู้กันตัวต่อตัว แม้แต่ตระกูลใหญ่ทั้งสี่เองก็ไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้
อันที่จริงแล้ว…!
จุดประสงค์ของการจัดสนามประลองนี้ขึ้นมาเพื่อให้ทายาทตระกูลใหญ่ๆในเมืองได้ใช้มัน ทั้งสิบสามตระกูลมีสมาชิกมากมายและมันเป็นเรื่องปกติที่จะมีความขัดแย้งกันเป็นครั้งคราว
หนุ่มสาวนั้นชอบการต่อสู้ขณะที่ตระกูลอื่นๆไม่ต้องการเข้ามามีเอี่ยวด้วย หากผู้ใดข้องใจ พวกเขาก็จะไปประลองกัน ผู้ชนะจะได้รับเกียรติแก่วงศ์ตระกูล แต่พวกเขาก็จะถูกลงโทษอย่างุรนแรง ส่วนผู้แพ้นั้นไม่สามารถยืนหยัดชูคอของพวกเขาในเมืองหรือแม้กระทั่งในตระกูลได้อีกต่อไป
นายน้อยและคุณหนูหลายสิบคนนำทหารองครักษ์เดินออกไปจากตระกูลซือถูและขึ้นรถม้าของพวกเขาและมุ่งหน้าไปยังสนามประลองทางตะวันตกของเมืองทันที
“หืม?”
หวงฝูเทาเทียนรอให้เฉียนว่านก้วนและเจียงอี้ขึ้นรถก่อน ก่อนที่เขาจะขึ้นรถม้า ดวงตาของเขาก็เย็นเยือกทันทีเมื่อเห็นว่าลู่หยี่เข้าไปในรถม้าของเหลยจื่อหานขณะที่ลู่หลินเข้าไปในรถม้าของเหลยฉีเหยียน
“น้องเจียง!” ไอลีนโนเวล
หวงฝูเทาเทียนเข้าไปในรถม้าและส่งข้อความด้วยความเป็นกังวล “ลู่หลินขึ้นรถม้าของเหลยฉีเหยียนไป พยัคฆ์เหลยนั่นอาจจะให้สมบัติสำคัญที่เชื่อมดวงจิตมา ทำไมเจ้า…ไม่ใช้กระบี่อัสนีของข้าล่ะ? เกราะของข้าอาจเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝง แต่มันไม่มีการเชื่อมดวงจิต มันจึงไม่มีความหมายที่จะให้เจ้ายืม การป้องกันของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?” “ฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้หัวเราะและไม่ได้รังเกียจ เขาตอบกลับว่า “ไม่ต้องกังวลไปพี่ใหญ่หวงฝู สวะอย่างเจ้าลู่หลินนั่นไม่สามารถสังหารข้าได้ ข้าจะไม่ใช้กระบี่ของเจ้าหรอก เพราะแม้ว่าเจ้าจะลบรอยประทับดวงจิตไป ข้าก็คงไม่สามารถขัดเกลามันได้ในเวลาสั้นๆเช่นนี้ และข้าคงใช้พลังของมันได้ไม่เต็มที่หรอก แล้วก็….ข้าเองก็มีสมบัติที่เชื่อมดวงจิตด้วยเหมือนกัน!”