เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 823 เขตแดนการต่อสู้
การเจรจากับตระกูลหนานกงนั้นต้องใช้จังหวะเวลาและโอกาส ยังมีเวลาอีกหนึ่งปีกว่าที่เจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานจะแต่งงาน เจียงอี้เองก็ไม่ได้กังวลเรื่องนี้หลังจากที่เขาให้เฉียนว่านก้วนจัดการมัน หากมีความคืบหน้าใดๆ เฉียนว่านก้วนจะรายงานให้เขาทราบอยู่แล้ว และแม้ว่าเจียงอี้ต้องการจะทำเรื่องบางอย่าง แต่มันก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้
เขาเข้าสู่สันโดษอีกครั้งและไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกหลังจากที่เข้าไปยังราชวังจักรพรรดิ เขาจะคอยบ่มเพาะแก่นแท้พลังของเขา, เข้าถึงศาสตร์เวทย์, ผสานรูปแบบเต๋าและหล่อเลี้ยงสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงทั้งสามด้วยพลังดารา
หนึ่งเดือนครึ่งต่อมา…..
มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเหนือเมืองเทพประทานขณะที่พลังฟ้าดินได้มาบรรจบกันอย่างถาโถม ที่ตำหนักซือถู หลังจากนั้นดาราเก้าสวรรค์ก็ยิงพลังลงมา ซึ่งมันทำให้ทุกคนในเมืองตกใจ
พลังดาราเก้าสวรรค์นั้นยากที่จะได้รับนอกจากการเข้าถึงรูปแบบเต๋าเหนือกว่าห้าดาวหรือรูปแบบเต๋าพิเศษ และทุกๆครั้งที่พลังดาราถูกส่งมอบมามันจะทำให้ยอดฝีมือส่วนใหญ่ล่วงรู้ และในตอนนี้ สัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังมากมายก็แผ่ออกไปทั่ว แต่ลานตำหนักซือถูก็สว่างไสวด้วยอาคมสีรุ้งที่ปัดเป่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปทั้งหมด
“เจียงอี้อีกแล้ว?”
หลังจากที่ซือถูอ้าวได้ข้อมูล เขาก็ประหลาดใจเงียบๆ พวกเขาได้ยืนยันแล้วว่าความผิดปกติของฟ้าดินก่อนหน้านี้ไม่ใช่จากหวงฝูเทาเทียน ซึ่งมันก็หมายความว่าเป็นเจียงอี้ คราวที่แล้วที่เกิดเรื่องนี้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว? เจียงอี้ได้ติดต่อกับกฎแห่งสวรรค์และโลกาอีกครั้งซึ่งทำให้ซือถูอ้าวและเหล่าผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลซือถูพากันถอนหายใจไม่หยุดหย่อน พวกเขาแทบจะอยากลองผ่าเจียงอี้ดูทั้งเป็นเพื่อดูว่าร่างของเขานั้นน่าอัศจรรย์มากเพียงใด
หวงฝูเทาเทียนและซือถูอีเสี้ยวก็ถอนหายใจไม่หยุด แต่เจียงอี้ไม่ได้ออกมาจากราชวังจักรพรรดิเลย พวกเขาจึงรออยู่ในปราสาทเจียงหนึ่งวันและจากไป
“ตำหนักดาวดวงที่ห้าของข้าเปลี่ยนแปลงแล้ว ในที่สุดข้าก็ได้เป็นขอบเขตเทียนจุนที่แท้จริงเสียที!”
เจียงอี้รู้สึกประทับใจมากอยู่ในราชวังจักรพรรดิ เนื่องจากขอบเขตเทียนจุนนั้นเป็นดั่งตำนานสำหรับเขา ในทวีปเทียนชิงมีขอบเขตเทียนจุนน้อยมาก แม้แต่สุ่ยโย่วหลานและคนอื่นๆเองก็ไม่สามารถทะลวงมาได้แม้เวลาจะล่วงเลยมานาน แม้แต่ตอนที่เจียงเปี๋ยหลีตกตายไป เขาก็อยู่เพียงขอบเขตจินกัง
เจียงอี้ยังอายุไม่ถึงยี่สิบสองแต่ทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุนได้แล้ว นี่ถือเป็นประวัติศาสตร์สูงสุดของทวีปเทียนชิงแล้ว แต่แน่นอนว่ามันยังค่อนข้างห่างกันมากเมื่อเทียบกับนายน้อยและคุณหนูจากทวีปจักรพรรดิบูรพา และเขาเองก็ยังถือว่าขาดฝีมืออยู่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับหวงฝูเทาเทียน, เหลยฉีเหยียนและคนอื่นๆด้วย อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังพอใจมากเพราะความขันแข็งของเขาและเขาค่อยๆก้าวขึ้นมาได้ทีละขั้น
แต่ความแจ่มใสของเขาก็คงอยู่ได้ไม่นานเท่าใดนักเมื่อเขาเจอปัญหาใหญ่! แก่นแท้พลังของตำหนักดาวดวงที่หกนั้นมากกว่าดวงที่ห้าถึงสิบเท่า!
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง….แม้ว่าเขาจะฝึกฝนได้รวดเร็วกว่าพันเท่า แต่หากเขาต้องการให้ดาวดวงที่หกเปลี่ยนรูปและให้แก่นแท้พลังของเขาไปถึงขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดนั้น เขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยแปดถึงสิบปี
แปดถึงสิบปีนั้นถือว่าไม่นานนัก แต่นี่คือความเร็วที่ฝึกฝนได้เร็วกว่าพันเท่า จะเกิดอะไรขึ้นหากเจียงอี้ออกจากเกาะเทพประทานไป? เขาอาจจะต้องใช้เวลาเพิ่มเป็นร้อยปีเชียว
นี่เป็นเพียงตำหนักดาวดวงที่หก แล้วดวงที่เจ็ด, แปด แล้วเก้าล่ะ?
เดิมทีเจียงอี้คิดอย่างไร้เดียงสาว่าเขาจะสามารถฝึกฝนได้อย่างราบรื่นไปเช่นนี้และหลังจากดาวดวงที่เก้าเต็มแล้ว แก่นแท้พลังของเขาจะขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของกึ่งเทพ จากนั้นเขาก็จะสามารถใช้แก่นแท้พลังของเขาและปล่อยโล่ศักดิ์สิทธิ์ได้ เขาจะไม่ตายด้วยซ้ำหากแม้ว่าเขาเพียงแค่ยืนและปล่อยให้คนอื่นโจมตีเขาไป
หลังจากที่ฝึกฝนมาหนึ่งวัน…!
เจียงอี้ยืนยันว่าเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยแปดปีในการเปลี่ยนดาวดวงที่หกของเขา จึงหยุดฝึกฝนและออกจากราชวังจักรพรรดิ
หลังจากที่หวงฝูเทาเทียนรอมาหนึ่งวันและเห็นว่าเจียงอี้ไม่ได้ออกมา ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาและซือถูอีเสี้ยวไปไหน มีเพียงเฟิ่งหลวนและชิงหยีที่อยู่ที่นี่เท่านั้น เจียงอี้จึงให้เจ้าหน้าที่ส่งข้อความถึงเฉียนว่านก้วนเพื่อสอบถามสถานการณ์
เฉียนว่านก้วนเองก็ยุ่งวุ่นวายมากและเขาก็ไม่ได้อยู่ที่เกาะเทพประทาน เขาไปยังหมู่เกาะมังกรทมิฬและจะกลับมาอีกทีเดือนหน้า เจียงอี้จึงไม่มีทางอื่นนอกจากไปหาเฟิ่งหลวนและถามวิธีสร้างโล่ศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเขาก็เข้าไปในราชวังจักรพรรดิเพื่อศึกษามัน
โล่ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสิ่งที่ดีนัก!
ตราบใดที่โล่ศักดิ์สิทธิ์ไม่แตกสลาย ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนก็นับว่าเป็นอมตะ หลังจากที่เปิดใช้โล่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังมากเพียงใด แต่พวกเขาก็จะเหมือนทิ้งชีวิตของพวกเขาไปแล้ว ส่วนการก่อโล่ศักดิ์สิทธิ์ก็ง่ายมาก เพียงแค่ต้องปฏิบัติตามวิถีพิเศษและหมุนเวียนแก่นแท้พลังเพื่อทำมัน อันที่จริง ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเองก็สามารถสร้างโล่ศักดิ์สิทธิ์ได้เหมือนกัน แต่พลังของขอบเขตจินกังนั้นด้อยกว่าขอบเขตเทียนจุนมากนัก มันจึงจะถูกทำลายได้ง่ายๆ บางคนอาจทำมันแตกสลายเองด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงมีเพียงขอบเขตเทียนจุนเท่านั้นที่จะสร้างโล่ศักดิ์สิทธิ์ได้
หลังจากที่ศึกษาเป็นเวลาหนึ่งวัน ร่างของเจียงอี้ก็เปล่งประกายด้วยแสงสีขาว เมื่อโล่รูปวงรีปรากฏขึ้น มันก็ส่องแสงราวกับโล่ศักดิ์สิทธิ์ของขอบเขตเทียนจุนคนอื่นๆ
เจียงอี้เหลือบมองโล่ศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อยและรู้สึกว่ามันอ่อนแอมาก เขามีโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีอยู่แล้ว มันจึงทำให้โล่ศักดิ์สิทธิ์นี้ไร้ประโยชน์ หากโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีของเขาไม่สามารถต้านการโจมตีได้ และเขาก็จะต้องตายเพราะโล่ศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะแตกไปได้ง่ายๆเลย
หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการทำโล่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว เจียงอี้ก็กลับมากังวลเรื่องเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานบวกกับความจริงที่ว่าการบ่มเพาะพลังของเขาช้าเกินไปและรูปแบบเต๋าก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ เขาจึงตัดสินใจย้ายออกมาจากราชวังจักรพรรดิและพักผ่อน
เจียงอี้รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เจอซือถูอีเสี้ยวและหวงฝูเทาเทียนในปราสาทเจียงและพวกเขากำลังดื่มชาและอาบแดดอยู่ที่ลานตำหนักด้านใน เมื่อซือถูอีเสี้ยวเห็นเจียงอี้มา เขาก็ลุกขึ้นยืนและยิ้ม “พี่ใหญ่หวงฝู ข้าเดาไม่ผิดใช่ไหม? ด้วยพรสวรรค์ของเจียงอี้ เขาใช้เวลาไม่ถึงสองวันเพื่อทำความเข้าใจโล่ศักดิ์สิทธิ์”
“เด็กนี่ประหลาดจริง!”
หวงฝูเทาเทียนหัวเราะอย่างขมขื่นขณะที่เจียงอี้นั่งบนเก้าอี้หินและกลอกตา “ระดับพรสวรรค์ข้าอยู่ระดับไหนกัน? ข้าพยายามหลอมรวมรูปแบบเต๋ากว่าหนึ่งปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จเลย ดูเหมือนว่าข้าคงทำมันไม่ได้ตลอดชีวิตแล้วล่ะ”
“การผสานรูปแบบเต๋า?”
ซือถูอีเสี้ยวพึมพำอยู่ครู่หนึ่งและทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “มาเถอะ เจียงอี้ ข้าจะพาเจ้าไปยังเขตแดนลึกลับของตระกูลเรา มันจะขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าแล้วว่าเจ้าจะเข้าถึงมันหรือไม่”
“เขตแดนลึกลับ นี่มันไม่ดีหรอก ใช่ไหม…” เจียงอี้ลังเลขึ้นมา ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นแดนลึกลับที่เป็นมรดกของตระกูลซือถู เขาเป็นหนี้ตระกูลซือถูไปแล้วและหากซือถูอีเสี้ยวฝ่าฝืนกฎตระกูล เจียงอี้คงรู้สึกผิดกับเรื่องนี้
ซือถูอีเสี้ยวส่ายมือและพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก จริงๆแล้ว ทุกตระกูลก็มีเขตแดนลึกลับเช่นนี้ แม้แต่ตระกูลหวงฝูเองก็มีและมันไม่ได้ถือว่ามีค่านักหรอก นอกจากนี้ข้าพาเจ้าไปได้เพียงชั้นหนึ่งเท่านั้น เพราะโถงผู้อาวุโสจะต้องเป็นคนอนุมัติให้เจ้าไปที่ชั้นสองได้”
“เขตแดนต่อสู้รึ?”
หวงฝูเทาเทียนถามด้วยน้ำเสียงที่สงสัยและเมื่อเขาเห็นซือถูอีเสี้ยวพยักหน้า เขาก็พูดว่า “เจียงอี้ หลายตระกูลมีเขตแดนลึกลับประเภทนี้เช่นกัน มันเป็นการสังเกตการณ์การต่อสู้ของยอดฝีมือภายในซึ่งทั้งหมดนั้นถูกบันทึกไว้ด้วยผนึกหิน มันไม่ได้มีค่ามากจริงๆและเจ้าน่าจะลองไปดูดีกว่า”
“การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือรึ?”
จิตวิญญาณของเจียงอี้ฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ที่ทะเลเทพประทาน เขาก็เพิ่งสามารถหลอมรวมรูปแบบเต๋าได้หกแบบเพียงเพราะเขาคอยสังเกตการต่อสู้ระหว่างชิงหลงกับหวงฝูเทาเทียน หากเขาสามารถสังเกตการต่อสู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญได้มากขึ้น มันอาจกระตุ้นอะไรขึ้นมาอีกครั้งซึ่งมันจะทำให้เขาผสานรูปแบบเต๋าได้สำเร็จก็ได้
“พี่ใหญ่หวงฝูไปดูด้วยกันไหม?”
เมื่อซือถูอีเสี้ยวเห็นเจียงอี้ตกลง เขาก็หันไปถามหวงฝูเทาเทียนว่า “เขตแดนการต่อสู้ของเราน่าจะต่างจากตระกูลหวงฝู ท่านเองก็อาจจะเข้าถึงบางอย่างได้หากลองไปดู”
“ก็จริง!”
หวงฝูเทาเทียนไม่ได้พยายามปัดปฏิเสธความปรารถนาดีขณะที่เขาเองก็ฝึกไปจนถึงคอขวดแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ออกไปเดินเล่นกับซือถูอีเสี้ยวเมื่อไม่กี่วันก่อนหรอก และวันนี้คงจะไม่มานั่งอาบแดดด้วยเช่นกัน ทั้งสามคนลุกขึ้นและเดินออกจากปราสาทเจียงและตรงไปยังปราสาทด้านในแทน
ปราสาทสงคราม!
สิบห้านาทีต่อมา ทั้งสามคนได้มาถึงปราสาทขนาดปานกลาง ขณะที่ซือถูอีเสี้ยวพาพวกเขาทั้งสองเข้าไปข้างใน จากนั้นเขาก็พูดกับผู้พิทักษ์ที่ชั้นหนึ่งว่า “ท่านลุงตี๋ เปิดอาคมยับยั้งและเคลื่อนย้ายพวกเราเข้าไปในเขตแดนการต่อสู้”
เขาเข้าสู่สันโดษอีกครั้งและไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกหลังจากที่เข้าไปยังราชวังจักรพรรดิ เขาจะคอยบ่มเพาะแก่นแท้พลังของเขา, เข้าถึงศาสตร์เวทย์, ผสานรูปแบบเต๋าและหล่อเลี้ยงสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงทั้งสามด้วยพลังดารา
หนึ่งเดือนครึ่งต่อมา…..
มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเหนือเมืองเทพประทานขณะที่พลังฟ้าดินได้มาบรรจบกันอย่างถาโถม ที่ตำหนักซือถู หลังจากนั้นดาราเก้าสวรรค์ก็ยิงพลังลงมา ซึ่งมันทำให้ทุกคนในเมืองตกใจ
พลังดาราเก้าสวรรค์นั้นยากที่จะได้รับนอกจากการเข้าถึงรูปแบบเต๋าเหนือกว่าห้าดาวหรือรูปแบบเต๋าพิเศษ และทุกๆครั้งที่พลังดาราถูกส่งมอบมามันจะทำให้ยอดฝีมือส่วนใหญ่ล่วงรู้ และในตอนนี้ สัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังมากมายก็แผ่ออกไปทั่ว แต่ลานตำหนักซือถูก็สว่างไสวด้วยอาคมสีรุ้งที่ปัดเป่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปทั้งหมด
“เจียงอี้อีกแล้ว?”
หลังจากที่ซือถูอ้าวได้ข้อมูล เขาก็ประหลาดใจเงียบๆ พวกเขาได้ยืนยันแล้วว่าความผิดปกติของฟ้าดินก่อนหน้านี้ไม่ใช่จากหวงฝูเทาเทียน ซึ่งมันก็หมายความว่าเป็นเจียงอี้ คราวที่แล้วที่เกิดเรื่องนี้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว? เจียงอี้ได้ติดต่อกับกฎแห่งสวรรค์และโลกาอีกครั้งซึ่งทำให้ซือถูอ้าวและเหล่าผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลซือถูพากันถอนหายใจไม่หยุดหย่อน พวกเขาแทบจะอยากลองผ่าเจียงอี้ดูทั้งเป็นเพื่อดูว่าร่างของเขานั้นน่าอัศจรรย์มากเพียงใด
หวงฝูเทาเทียนและซือถูอีเสี้ยวก็ถอนหายใจไม่หยุด แต่เจียงอี้ไม่ได้ออกมาจากราชวังจักรพรรดิเลย พวกเขาจึงรออยู่ในปราสาทเจียงหนึ่งวันและจากไป
“ตำหนักดาวดวงที่ห้าของข้าเปลี่ยนแปลงแล้ว ในที่สุดข้าก็ได้เป็นขอบเขตเทียนจุนที่แท้จริงเสียที!”
เจียงอี้รู้สึกประทับใจมากอยู่ในราชวังจักรพรรดิ เนื่องจากขอบเขตเทียนจุนนั้นเป็นดั่งตำนานสำหรับเขา ในทวีปเทียนชิงมีขอบเขตเทียนจุนน้อยมาก แม้แต่สุ่ยโย่วหลานและคนอื่นๆเองก็ไม่สามารถทะลวงมาได้แม้เวลาจะล่วงเลยมานาน แม้แต่ตอนที่เจียงเปี๋ยหลีตกตายไป เขาก็อยู่เพียงขอบเขตจินกัง
เจียงอี้ยังอายุไม่ถึงยี่สิบสองแต่ทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุนได้แล้ว นี่ถือเป็นประวัติศาสตร์สูงสุดของทวีปเทียนชิงแล้ว แต่แน่นอนว่ามันยังค่อนข้างห่างกันมากเมื่อเทียบกับนายน้อยและคุณหนูจากทวีปจักรพรรดิบูรพา และเขาเองก็ยังถือว่าขาดฝีมืออยู่เล็กน้อยเมื่อเทียบกับหวงฝูเทาเทียน, เหลยฉีเหยียนและคนอื่นๆด้วย อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังพอใจมากเพราะความขันแข็งของเขาและเขาค่อยๆก้าวขึ้นมาได้ทีละขั้น
แต่ความแจ่มใสของเขาก็คงอยู่ได้ไม่นานเท่าใดนักเมื่อเขาเจอปัญหาใหญ่! แก่นแท้พลังของตำหนักดาวดวงที่หกนั้นมากกว่าดวงที่ห้าถึงสิบเท่า!
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง….แม้ว่าเขาจะฝึกฝนได้รวดเร็วกว่าพันเท่า แต่หากเขาต้องการให้ดาวดวงที่หกเปลี่ยนรูปและให้แก่นแท้พลังของเขาไปถึงขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดนั้น เขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยแปดถึงสิบปี
แปดถึงสิบปีนั้นถือว่าไม่นานนัก แต่นี่คือความเร็วที่ฝึกฝนได้เร็วกว่าพันเท่า จะเกิดอะไรขึ้นหากเจียงอี้ออกจากเกาะเทพประทานไป? เขาอาจจะต้องใช้เวลาเพิ่มเป็นร้อยปีเชียว
นี่เป็นเพียงตำหนักดาวดวงที่หก แล้วดวงที่เจ็ด, แปด แล้วเก้าล่ะ?
เดิมทีเจียงอี้คิดอย่างไร้เดียงสาว่าเขาจะสามารถฝึกฝนได้อย่างราบรื่นไปเช่นนี้และหลังจากดาวดวงที่เก้าเต็มแล้ว แก่นแท้พลังของเขาจะขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของกึ่งเทพ จากนั้นเขาก็จะสามารถใช้แก่นแท้พลังของเขาและปล่อยโล่ศักดิ์สิทธิ์ได้ เขาจะไม่ตายด้วยซ้ำหากแม้ว่าเขาเพียงแค่ยืนและปล่อยให้คนอื่นโจมตีเขาไป
หลังจากที่ฝึกฝนมาหนึ่งวัน…!
เจียงอี้ยืนยันว่าเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยแปดปีในการเปลี่ยนดาวดวงที่หกของเขา จึงหยุดฝึกฝนและออกจากราชวังจักรพรรดิ
หลังจากที่หวงฝูเทาเทียนรอมาหนึ่งวันและเห็นว่าเจียงอี้ไม่ได้ออกมา ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาและซือถูอีเสี้ยวไปไหน มีเพียงเฟิ่งหลวนและชิงหยีที่อยู่ที่นี่เท่านั้น เจียงอี้จึงให้เจ้าหน้าที่ส่งข้อความถึงเฉียนว่านก้วนเพื่อสอบถามสถานการณ์
เฉียนว่านก้วนเองก็ยุ่งวุ่นวายมากและเขาก็ไม่ได้อยู่ที่เกาะเทพประทาน เขาไปยังหมู่เกาะมังกรทมิฬและจะกลับมาอีกทีเดือนหน้า เจียงอี้จึงไม่มีทางอื่นนอกจากไปหาเฟิ่งหลวนและถามวิธีสร้างโล่ศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเขาก็เข้าไปในราชวังจักรพรรดิเพื่อศึกษามัน
โล่ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสิ่งที่ดีนัก!
ตราบใดที่โล่ศักดิ์สิทธิ์ไม่แตกสลาย ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนก็นับว่าเป็นอมตะ หลังจากที่เปิดใช้โล่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังมากเพียงใด แต่พวกเขาก็จะเหมือนทิ้งชีวิตของพวกเขาไปแล้ว ส่วนการก่อโล่ศักดิ์สิทธิ์ก็ง่ายมาก เพียงแค่ต้องปฏิบัติตามวิถีพิเศษและหมุนเวียนแก่นแท้พลังเพื่อทำมัน อันที่จริง ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเองก็สามารถสร้างโล่ศักดิ์สิทธิ์ได้เหมือนกัน แต่พลังของขอบเขตจินกังนั้นด้อยกว่าขอบเขตเทียนจุนมากนัก มันจึงจะถูกทำลายได้ง่ายๆ บางคนอาจทำมันแตกสลายเองด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงมีเพียงขอบเขตเทียนจุนเท่านั้นที่จะสร้างโล่ศักดิ์สิทธิ์ได้
หลังจากที่ศึกษาเป็นเวลาหนึ่งวัน ร่างของเจียงอี้ก็เปล่งประกายด้วยแสงสีขาว เมื่อโล่รูปวงรีปรากฏขึ้น มันก็ส่องแสงราวกับโล่ศักดิ์สิทธิ์ของขอบเขตเทียนจุนคนอื่นๆ
เจียงอี้เหลือบมองโล่ศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อยและรู้สึกว่ามันอ่อนแอมาก เขามีโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีอยู่แล้ว มันจึงทำให้โล่ศักดิ์สิทธิ์นี้ไร้ประโยชน์ หากโล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีของเขาไม่สามารถต้านการโจมตีได้ และเขาก็จะต้องตายเพราะโล่ศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะแตกไปได้ง่ายๆเลย
หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการทำโล่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว เจียงอี้ก็กลับมากังวลเรื่องเจ๊ใหญ่กระพรวนกังวานบวกกับความจริงที่ว่าการบ่มเพาะพลังของเขาช้าเกินไปและรูปแบบเต๋าก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ เขาจึงตัดสินใจย้ายออกมาจากราชวังจักรพรรดิและพักผ่อน
เจียงอี้รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เจอซือถูอีเสี้ยวและหวงฝูเทาเทียนในปราสาทเจียงและพวกเขากำลังดื่มชาและอาบแดดอยู่ที่ลานตำหนักด้านใน เมื่อซือถูอีเสี้ยวเห็นเจียงอี้มา เขาก็ลุกขึ้นยืนและยิ้ม “พี่ใหญ่หวงฝู ข้าเดาไม่ผิดใช่ไหม? ด้วยพรสวรรค์ของเจียงอี้ เขาใช้เวลาไม่ถึงสองวันเพื่อทำความเข้าใจโล่ศักดิ์สิทธิ์”
“เด็กนี่ประหลาดจริง!”
หวงฝูเทาเทียนหัวเราะอย่างขมขื่นขณะที่เจียงอี้นั่งบนเก้าอี้หินและกลอกตา “ระดับพรสวรรค์ข้าอยู่ระดับไหนกัน? ข้าพยายามหลอมรวมรูปแบบเต๋ากว่าหนึ่งปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จเลย ดูเหมือนว่าข้าคงทำมันไม่ได้ตลอดชีวิตแล้วล่ะ”
“การผสานรูปแบบเต๋า?”
ซือถูอีเสี้ยวพึมพำอยู่ครู่หนึ่งและทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “มาเถอะ เจียงอี้ ข้าจะพาเจ้าไปยังเขตแดนลึกลับของตระกูลเรา มันจะขึ้นอยู่กับโชคของเจ้าแล้วว่าเจ้าจะเข้าถึงมันหรือไม่”
“เขตแดนลึกลับ นี่มันไม่ดีหรอก ใช่ไหม…” เจียงอี้ลังเลขึ้นมา ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นแดนลึกลับที่เป็นมรดกของตระกูลซือถู เขาเป็นหนี้ตระกูลซือถูไปแล้วและหากซือถูอีเสี้ยวฝ่าฝืนกฎตระกูล เจียงอี้คงรู้สึกผิดกับเรื่องนี้
ซือถูอีเสี้ยวส่ายมือและพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก จริงๆแล้ว ทุกตระกูลก็มีเขตแดนลึกลับเช่นนี้ แม้แต่ตระกูลหวงฝูเองก็มีและมันไม่ได้ถือว่ามีค่านักหรอก นอกจากนี้ข้าพาเจ้าไปได้เพียงชั้นหนึ่งเท่านั้น เพราะโถงผู้อาวุโสจะต้องเป็นคนอนุมัติให้เจ้าไปที่ชั้นสองได้”
“เขตแดนต่อสู้รึ?”
หวงฝูเทาเทียนถามด้วยน้ำเสียงที่สงสัยและเมื่อเขาเห็นซือถูอีเสี้ยวพยักหน้า เขาก็พูดว่า “เจียงอี้ หลายตระกูลมีเขตแดนลึกลับประเภทนี้เช่นกัน มันเป็นการสังเกตการณ์การต่อสู้ของยอดฝีมือภายในซึ่งทั้งหมดนั้นถูกบันทึกไว้ด้วยผนึกหิน มันไม่ได้มีค่ามากจริงๆและเจ้าน่าจะลองไปดูดีกว่า”
“การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือรึ?”
จิตวิญญาณของเจียงอี้ฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ที่ทะเลเทพประทาน เขาก็เพิ่งสามารถหลอมรวมรูปแบบเต๋าได้หกแบบเพียงเพราะเขาคอยสังเกตการต่อสู้ระหว่างชิงหลงกับหวงฝูเทาเทียน หากเขาสามารถสังเกตการต่อสู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญได้มากขึ้น มันอาจกระตุ้นอะไรขึ้นมาอีกครั้งซึ่งมันจะทำให้เขาผสานรูปแบบเต๋าได้สำเร็จก็ได้
“พี่ใหญ่หวงฝูไปดูด้วยกันไหม?”
เมื่อซือถูอีเสี้ยวเห็นเจียงอี้ตกลง เขาก็หันไปถามหวงฝูเทาเทียนว่า “เขตแดนการต่อสู้ของเราน่าจะต่างจากตระกูลหวงฝู ท่านเองก็อาจจะเข้าถึงบางอย่างได้หากลองไปดู”
“ก็จริง!”
หวงฝูเทาเทียนไม่ได้พยายามปัดปฏิเสธความปรารถนาดีขณะที่เขาเองก็ฝึกไปจนถึงคอขวดแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ออกไปเดินเล่นกับซือถูอีเสี้ยวเมื่อไม่กี่วันก่อนหรอก และวันนี้คงจะไม่มานั่งอาบแดดด้วยเช่นกัน ทั้งสามคนลุกขึ้นและเดินออกจากปราสาทเจียงและตรงไปยังปราสาทด้านในแทน
ปราสาทสงคราม!
สิบห้านาทีต่อมา ทั้งสามคนได้มาถึงปราสาทขนาดปานกลาง ขณะที่ซือถูอีเสี้ยวพาพวกเขาทั้งสองเข้าไปข้างใน จากนั้นเขาก็พูดกับผู้พิทักษ์ที่ชั้นหนึ่งว่า “ท่านลุงตี๋ เปิดอาคมยับยั้งและเคลื่อนย้ายพวกเราเข้าไปในเขตแดนการต่อสู้”