เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 837 ระฆังหลอมศักดิ์สิทธิ์
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 837 ระฆังหลอมศักดิ์สิทธิ์
บุคคลเพียงคนเดียวที่มีอำนาจไล่ซือถูอ้าวออกจากตำแหน่งประมุขคือปรมาจารย์ซือถูหวู่เมิ่ง!
ทั้งสิบสามตระกูลอพยพมาจากทวีปจักรพรรดิบูรพา และเพราะเช่นนี้ ตระกูลทั้งหลายจึงมีกฎไปในทางเดียวกัน ปรมาจารย์จะไม่ค่อยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ แต่มีอำนาจสูงสุด ประมุขตระกูลจะคอยจัดการเรื่องส่วนใหญ่ของตระกูล แต่หากมีสิ่งใดผิดปกติ คำพูดเดียวจากปรมาจารย์ก็เพียงพอแล้วที่จะยกเลิกตำแหน่งประมุขได้
ในตอนนี้ ปรมาจารย์ตระกูลซือถูก็ได้แสดงความเห็นของเขาและปฏิเสธการเลือกของซือถูอ้าวและปลดเขาออกจากตำแหน่งแล้ว เห็นได้ชัดว่าซือถูหวู่เมิ่งไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของซือถูอ้าว และเมื่อเขาพูดออกมาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงได้อีก
“ท่านพ่อ…” การแสดงออกของซือถูอ้าวเปลี่ยนไปขณะที่เขาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง แต่น่าเสียดายที่เสียงของซือถูหวู่เมิ่งไม่สะท้อนออกมาอีกต่อไป ส่วนซือถูนู่ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “พี่ใหญ่ กลับกันเถอะ สมาชิกตระกูลซือถูทั้งหมดจงฟัง ถอนทหารกลับไป!”
“ไม่นะ ท่านปู่ ท่านจะเมินเฉยเรื่องนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!”
เสียงคร่ำครวญของซือถูอีเนี่ยนดังออกมา แต่ร่างของนางก็อ่อนยวบลงหลังจากที่ถูกแก่นแท้พลังของผู้อาวุโสตระกูลซือถูกระแทกไปที่ร่างเบาๆ ผู้อาวุโสคนนั้นคำนับให้เฉียนว่านก้วนและอุ้มซือถูอีเนี่ยนไว้บนบ่าก่อนที่จะบินกลับไปที่เมืองเทพประทาน
ดวงตาของซือถูอีเสี้ยวเบิกกว้างขณะที่เป็นกังวลอย่างมาก แต่เขาก็ถูกผู้อาวุโสสองคนของตระกูลซือถูจับไว้ ซือถูอ้าวเองก็มองเฉียนว่านก้วนและเจียงอี้อย่างเจ็บปวดก่อนที่เขาจะหลับตาลงด้วยความเจ็บปวดและบินกลับไปที่เมืองเทพประทานอย่างรวดเร็ว
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดจากตระกูลซือถูทะยานขึ้นไปบนฟ้าและกลับไปยังเมืองเทพประทานตามคำสั่ง และผู้ใดก็ตามที่กล้าขัดคำสั่งก็หมายถึงการทรยศต่อตระกูลและพวกเขาจะถูกประหารทันที
ฟรึ่บ!
ดวงตาของเจียงอี้ยังคงเป็นสีแดงเลือดอยู่และผมสีแดงของเขายังคงสะบัดอยู่ ร่างของเขากลายเป็นสายฟ้าขณะที่ราชวังจักรพรรดิปรากฏขึ้นอีกครั้งและเก็บเฉียนว่านก้วน, เจียงเสี่ยวนู๋, จ้านอู๋ซวง, เฟิ่งหลวนและคนอื่นๆเข้าไป
ส่วนเหลยถิงเวยและคนอื่นๆไม่ได้เคลื่อนไหวขณะที่พวกเขามองด้วยความเย้ยหยันราวกับกลุ่มแมวที่มองหนูที่ดิ้นรนอยู่หน้าประตูมรณะ ผู้เชี่ยวชาญทั้งสามตระกูลล้อมเจียงอี้เอาไว้แล้ว และเหลยถิงเวยก็ค่อยๆบินไปข้างหน้าและใช้อีกมือหนึ่งคว้าคอมังกรวารีสีทองเอาไว้พร้อมกับเย้ยหยัน “เจียงอี้ นี่ก็คนของเจ้าด้วยใช่ไหม? เจ้าจะไม่มาช่วยรึ?”
กร๊อบ!
เหลยถิงเวยค่อยๆบีบกระดูกคอของมังกรวารีสีทอง ทำให้มังกรวารีสีทองสั่นสะท้านไปด้วยความเจ็บปวด มือของเขาเปล่งประกายด้วยพลังอสูรขณะที่เขาเตรียมพร้อมที่จะตายไปพร้อมกับเหลยถิงเวย แต่ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหลังก็ใช้ดาบยาวแทงไปที่แกนอสูรของมังกรวารีสีทองทันที
แกนอสูรนั้นไม่ต่างจากตันเทียนมนุษย์เลย เมื่อมันถูกทำลาย การฝึกฝนทั้งหมดจะสลายไปและจะไม่มีกำลังให้โจมตีได้อีกต่อไป
“มังกรวารีสีทอง…”
เจียงอี้คำรามด้วยความเดือดดาลขณะที่ดาบมังกรเพลิงปรากฏขึ้นในมือของเขา และในขณะที่เขากำลังจะปลดปล่อยอัสนีพิโรธ เหลยถิงเวยก็ยกมังกรวารีสีทองขึ้นมาเหนือหัวของตัวเองและมองไปที่เจียงอี้ด้วยท่าทางเย้ยหยัน ความหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นคือ หากเจ้ากล้าโจมตี คนแรกที่จะตายก็คือมังกรวารีสีทอง
“นายน้อย รีบหนีไป!”
มังกรวารีสีทองคำรามออกมาและจุดไฟที่ร่างของตัวเอง อันที่จริงมันใช้พลังอสูรที่เหลืออยู่ในร่างกายเพื่อแผดเผาตัวเองเพราะมันขอยอมตายดีกว่าที่จะปล่อยให้เหลยถิงเวยขู่เจียงอี้
“ฮึ่ม!”
เหลยถิงเวยเหวี่ยงมังกรวารีสีทองอย่างเหี้ยมโหดและทุบไปที่พื้นด้านหน้า ทำให้ยอดเขานทีสวรรค์สั่นเทาเล็กน้อยและมังกรวารีสีทองก็กลายเป็นเนื้อสับทันที
“อ๊าก อ๊ากก!”
เจียงอี้ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวขณะที่เหลยถิงเวยกระพริบและโจมตีไปที่สัตว์อสูรหยาจื้อ ซึ่งสัตว์อสูรหยาจื้อนั้นยังเป็นเพียงแค่ราชันสัตว์อสูรและมันได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ และในตอนนี้มันยังถูกกดดันด้วยกลิ่นอายอันทรงพลังของเหลยถิงเวยซึ่งทำให้มันเคลื่อนไหวยาก
มันพยายามเบือนหัวมาเพื่อมองเจียงอี้ ทันใดนั้นมันก็ยิ้มและส่งข้อความถึงเจียงอี้ว่า “เจ้าหนู ย้อนไปในตอนนั้น เศษวิญญาณของจอมเวทย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้บอกกับข้าว่าข้าอาจจะทะลวงไปยังขอบเขตจักรพรรดิอสูรได้ด้วยการคอยติดตามเจ้า ถึงข้าจะไม่ได้ไปถึงขั้นจักรพรรดิอสูร แต่ข้ารู้สึกว่าตัวข้านั้นคุ้มค่ามากที่ได้เดินทางร่วมกับเจ้า ราชันผู้นี้ไม่เคยเสียใจเลยที่ได้ติดตามเจ้า!”
จี๊! จี๊!
ร่างของสัตว์อสูรหยาจื้อเองก็มอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงขณะที่เจียงอี้หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด จอมเวทย์เคยให้สัตว์อสูรหยาจื้อติดตามเขา แต่เขาไม่สามารถช่วยให้สัตว์อสูรหยาจื้อทะลวงขอบเขตจักรพรรดิอสูรได้และกลับต้องมามองดูมันตายแทน
เจียงอี้อาจจะหลับตาอยู่ แต่กลิ่นอายสังหารของเขาพุ่งพล่านขึ้นขณะที่เปลวเพลิงอัสนีหลั่งไหลออกมาจากดาบมังกรเพลิงอย่างไม่รู้จบ โล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีก่อตัวขึ้นมาและเกราะเมฆาอัคคีก็ปรากฏขึ้น คลื่นความร้อนที่น่าสะพรึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนจากสามตระกูลต้องล่าถอยกลับไปโดยอัตโนมัติ แม้ว่าทุกคนจะเปิดใช้โล่ศักดิ์สิทธิ์ทันที แต่ด้วยระยะทางที่ใกล้กันนั้น พวกเขาก็ยังรู้สึกแทบจะทนไม่ได้
ส่วนเหลยถิงเวยไม่ได้ล่าถอยกลับไป แต่เขาเปิดใช้โล่ศักดิ์สิทธิ์และมองเจียงอี้ด้วยท่าทางเย้ยหยันและส่งข้อความเสียงมาว่า “เจียงอี้ หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่เคลื่อนไหวอย่างประมาทหรอก ไม่เช่นนั้นทุกคนในสิ่งประดิษฐ์ห้วงมิติของเจ้าจะต้องตาย ภรรยาของเจ้าทั้งหลาย, พี่น้องของเจ้า และน้องสาวของเจ้าจะต้องตายทั้งหมด ยอมจำนนแต่โดยดีและมาเป็นทาสวิญญาณของข้าซะ รับใช้ตระกูลเหลยสิบปีและข้าขอสาบานกับสวรรค์ว่าข้าจะปล่อยพวกเจ้าทุกคนไป”
เหลยถิงเวยไม่ได้สั่งให้ใครเคลื่อนไหวขณะที่เขาต้องการให้เจียงอี้ยอมจำนน
และด้วยวิชาทลายมิตินั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เจียงอี้จะหนีไปได้ หากเขาไม่อยากให้ทุกคนตาย ทางเดียวคือเจียงอี้ต้องยอมจำนน เจียงอี้มีค่ามากมายและหากเขาสามารถสลักอัสนีพิโรธลงในภาพวาดสวรรค์ได้ มันจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน เฉียนว่านก้วนเองก็มีพรสวรรค์เช่นกัน และแม้ว่าเขาจะไม่สามารถปรากฏตัวในที่สาธารณะได้ แต่เขาก็ยังช่วยให้ตระกูลเหลยได้กำไรอยู่ในที่มืดได้ สายลับนั้นต้องตาย แต่หากสายลับกลายเป็นทาสวิญญาณแล้ว พวกเขาก็จะไม่ใช่สายลับอีกต่อไป
นอกจากนี้ยังมีเจียงเสี่ยวนู๋อีกคนที่เหลยถิงเวยสังเกตเห็นในวันนี้ หากตระกูลเหลยสามารถใช้งานเผ่าพันธุ์ลึกลับเช่นนี้ได้ มันคงจะเป็นเรื่องที่วิเศษมาก ส่วนตระกูลหนานกงและตระกูลลู่นั้น….ตราบใดที่ตระกูลเหลยให้ผลกำไรไปบ้าง พวกเขาก็จะพูดคุยกันได้ง่ายๆ แต่เจียงอี้จะยอมจำนนหรอ?
คำตอบก็คือไม่ ดาบมังกรเพลิงของเขาส่องสว่างด้วยสายฟ้าขณะที่ร่างของเขาเปล่งแสงสีขาวและย้ายร่างฉับพลันไปข้างๆเหลยถิงเวยขณะที่เขาเตรียมที่จะใช้เปลวเพลิงอัสนีเพื่อดึงคนไม่กี่คนให้ตกตายไปพร้อมกับเขาด้วย
แต่น่าเสียดายนัก เหลยถิงเวยได้เตรียมการป้องกันเอาไว้แล้ว เมื่อเขาเห็นว่าเจียงอี้กำลังจะโจมตี ระฆังเล็กๆสีแดงก็พุ่งออกมา มันมีกลิ่นอายที่ร้อนแรงและแผ่อักขระโบราณออกมาและขยายออกไปในรัศมีเกือบหนึ่งกิโลเมตรในทันที
ตูม! ตูม! ตูม!
มีคลื่นความผันผวนของพื้นที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งเจียงอี้ที่เดิมทีเริ่มย้ายร่างฉับพลันก็ถูกระงับไว้อย่างแรง หากเขากล้าย้ายร่างฉับพลันในเวลาเช่นนี้ เขาอาจจะต้องถูกห้วงมิติทำลายลงไปอย่างแน่นอน
“ระฆังหลอมศักดิ์สิทธิ์!” หลายๆคนอุทานออกมาเพราะระฆังนี้ทรงพลังมากและมันยังมีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งด้วย ย้อนไปเมื่อก่อน มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นของปรมาจารย์ตระกูลเหลย นี่ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์สำคัญที่เชื่อมดวงจิตเท่านั้นเพราะปรมาจารย์ตระกูลเหลยได้เพิ่มรูปแบบเต๋าพิเศษลงไปข้างในนั้นด้วย มันสามารถทลายขอบเขตเทียนจุนได้ทั้งหมดหรือแม้แต่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดนับร้อยคนก็ยังกลายเป็นขี้เถ้าได้อย่างง่ายดาย
“เมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะสนองให้เอง!”
เหลยถิงเวยหัวเราะเยาะขณะที่เขาแผ่แก่นแท้พลังไปที่ฝ่ามือก่อนที่จะปลดปล่อยไปที่ระฆัง และทุกการปลดปล่อยจากแก่นแท้พลังจะทำให้เกิดเสียงระฆังดังสนั่นขึ้นมาทำให้รูปแบบอักขระบนระฆังสีแดงหมุนเวียนไปทั่ว แสงไฟเป็นเหมือนอสรพิษอัคคีที่เลื้อยอยู่บนพื้นผิว อุณหภูมิที่สูงอย่างน่าสยดสยองทำให้ผู้คนบนยอดเขาครึ่งหนึ่งถอยห่างออกไปสามสิบกิโลเมตร
กึง กึง กึง!
เสียงระฆังดังก้องกังวานอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งที่เสียงนี้สะท้อนออกมา ใจของทุกคนจะสั่นเล็กน้อย เหล่าจอมยุทธที่อ่อนแอหลายคนล่าถอยออกไปอีกสามสิบกิโลมเตรเนื่องจากเสียงนั้นน่าสยดสยองเกินไปจนรู้สึกราวกับว่าหัวใจของพวกเขาจะเด้งออกมา
กึง กึง กึง!
ขณะที่เหลยถิงเวยโจมตีด้วยแก่นแท้พลัง เสียงระฆังก็กังวานออกมาอย่างไม่รู้จบราวกับเสียงเรียกแห่งความตายดังก้องไปทั่วทั้งเมืองเทพประทาน
ทั้งสิบสามตระกูลอพยพมาจากทวีปจักรพรรดิบูรพา และเพราะเช่นนี้ ตระกูลทั้งหลายจึงมีกฎไปในทางเดียวกัน ปรมาจารย์จะไม่ค่อยเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ แต่มีอำนาจสูงสุด ประมุขตระกูลจะคอยจัดการเรื่องส่วนใหญ่ของตระกูล แต่หากมีสิ่งใดผิดปกติ คำพูดเดียวจากปรมาจารย์ก็เพียงพอแล้วที่จะยกเลิกตำแหน่งประมุขได้
ในตอนนี้ ปรมาจารย์ตระกูลซือถูก็ได้แสดงความเห็นของเขาและปฏิเสธการเลือกของซือถูอ้าวและปลดเขาออกจากตำแหน่งแล้ว เห็นได้ชัดว่าซือถูหวู่เมิ่งไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของซือถูอ้าว และเมื่อเขาพูดออกมาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงได้อีก
“ท่านพ่อ…” การแสดงออกของซือถูอ้าวเปลี่ยนไปขณะที่เขาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง แต่น่าเสียดายที่เสียงของซือถูหวู่เมิ่งไม่สะท้อนออกมาอีกต่อไป ส่วนซือถูนู่ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “พี่ใหญ่ กลับกันเถอะ สมาชิกตระกูลซือถูทั้งหมดจงฟัง ถอนทหารกลับไป!”
“ไม่นะ ท่านปู่ ท่านจะเมินเฉยเรื่องนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!”
เสียงคร่ำครวญของซือถูอีเนี่ยนดังออกมา แต่ร่างของนางก็อ่อนยวบลงหลังจากที่ถูกแก่นแท้พลังของผู้อาวุโสตระกูลซือถูกระแทกไปที่ร่างเบาๆ ผู้อาวุโสคนนั้นคำนับให้เฉียนว่านก้วนและอุ้มซือถูอีเนี่ยนไว้บนบ่าก่อนที่จะบินกลับไปที่เมืองเทพประทาน
ดวงตาของซือถูอีเสี้ยวเบิกกว้างขณะที่เป็นกังวลอย่างมาก แต่เขาก็ถูกผู้อาวุโสสองคนของตระกูลซือถูจับไว้ ซือถูอ้าวเองก็มองเฉียนว่านก้วนและเจียงอี้อย่างเจ็บปวดก่อนที่เขาจะหลับตาลงด้วยความเจ็บปวดและบินกลับไปที่เมืองเทพประทานอย่างรวดเร็ว
ฟรึ่บ! ฟรั่บ! ฟรึ่บ!
ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดจากตระกูลซือถูทะยานขึ้นไปบนฟ้าและกลับไปยังเมืองเทพประทานตามคำสั่ง และผู้ใดก็ตามที่กล้าขัดคำสั่งก็หมายถึงการทรยศต่อตระกูลและพวกเขาจะถูกประหารทันที
ฟรึ่บ!
ดวงตาของเจียงอี้ยังคงเป็นสีแดงเลือดอยู่และผมสีแดงของเขายังคงสะบัดอยู่ ร่างของเขากลายเป็นสายฟ้าขณะที่ราชวังจักรพรรดิปรากฏขึ้นอีกครั้งและเก็บเฉียนว่านก้วน, เจียงเสี่ยวนู๋, จ้านอู๋ซวง, เฟิ่งหลวนและคนอื่นๆเข้าไป
ส่วนเหลยถิงเวยและคนอื่นๆไม่ได้เคลื่อนไหวขณะที่พวกเขามองด้วยความเย้ยหยันราวกับกลุ่มแมวที่มองหนูที่ดิ้นรนอยู่หน้าประตูมรณะ ผู้เชี่ยวชาญทั้งสามตระกูลล้อมเจียงอี้เอาไว้แล้ว และเหลยถิงเวยก็ค่อยๆบินไปข้างหน้าและใช้อีกมือหนึ่งคว้าคอมังกรวารีสีทองเอาไว้พร้อมกับเย้ยหยัน “เจียงอี้ นี่ก็คนของเจ้าด้วยใช่ไหม? เจ้าจะไม่มาช่วยรึ?”
กร๊อบ!
เหลยถิงเวยค่อยๆบีบกระดูกคอของมังกรวารีสีทอง ทำให้มังกรวารีสีทองสั่นสะท้านไปด้วยความเจ็บปวด มือของเขาเปล่งประกายด้วยพลังอสูรขณะที่เขาเตรียมพร้อมที่จะตายไปพร้อมกับเหลยถิงเวย แต่ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหลังก็ใช้ดาบยาวแทงไปที่แกนอสูรของมังกรวารีสีทองทันที
แกนอสูรนั้นไม่ต่างจากตันเทียนมนุษย์เลย เมื่อมันถูกทำลาย การฝึกฝนทั้งหมดจะสลายไปและจะไม่มีกำลังให้โจมตีได้อีกต่อไป
“มังกรวารีสีทอง…”
เจียงอี้คำรามด้วยความเดือดดาลขณะที่ดาบมังกรเพลิงปรากฏขึ้นในมือของเขา และในขณะที่เขากำลังจะปลดปล่อยอัสนีพิโรธ เหลยถิงเวยก็ยกมังกรวารีสีทองขึ้นมาเหนือหัวของตัวเองและมองไปที่เจียงอี้ด้วยท่าทางเย้ยหยัน ความหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นคือ หากเจ้ากล้าโจมตี คนแรกที่จะตายก็คือมังกรวารีสีทอง
“นายน้อย รีบหนีไป!”
มังกรวารีสีทองคำรามออกมาและจุดไฟที่ร่างของตัวเอง อันที่จริงมันใช้พลังอสูรที่เหลืออยู่ในร่างกายเพื่อแผดเผาตัวเองเพราะมันขอยอมตายดีกว่าที่จะปล่อยให้เหลยถิงเวยขู่เจียงอี้
“ฮึ่ม!”
เหลยถิงเวยเหวี่ยงมังกรวารีสีทองอย่างเหี้ยมโหดและทุบไปที่พื้นด้านหน้า ทำให้ยอดเขานทีสวรรค์สั่นเทาเล็กน้อยและมังกรวารีสีทองก็กลายเป็นเนื้อสับทันที
“อ๊าก อ๊ากก!”
เจียงอี้ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวขณะที่เหลยถิงเวยกระพริบและโจมตีไปที่สัตว์อสูรหยาจื้อ ซึ่งสัตว์อสูรหยาจื้อนั้นยังเป็นเพียงแค่ราชันสัตว์อสูรและมันได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ และในตอนนี้มันยังถูกกดดันด้วยกลิ่นอายอันทรงพลังของเหลยถิงเวยซึ่งทำให้มันเคลื่อนไหวยาก
มันพยายามเบือนหัวมาเพื่อมองเจียงอี้ ทันใดนั้นมันก็ยิ้มและส่งข้อความถึงเจียงอี้ว่า “เจ้าหนู ย้อนไปในตอนนั้น เศษวิญญาณของจอมเวทย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้บอกกับข้าว่าข้าอาจจะทะลวงไปยังขอบเขตจักรพรรดิอสูรได้ด้วยการคอยติดตามเจ้า ถึงข้าจะไม่ได้ไปถึงขั้นจักรพรรดิอสูร แต่ข้ารู้สึกว่าตัวข้านั้นคุ้มค่ามากที่ได้เดินทางร่วมกับเจ้า ราชันผู้นี้ไม่เคยเสียใจเลยที่ได้ติดตามเจ้า!”
จี๊! จี๊!
ร่างของสัตว์อสูรหยาจื้อเองก็มอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงขณะที่เจียงอี้หลับตาลงด้วยความเจ็บปวด จอมเวทย์เคยให้สัตว์อสูรหยาจื้อติดตามเขา แต่เขาไม่สามารถช่วยให้สัตว์อสูรหยาจื้อทะลวงขอบเขตจักรพรรดิอสูรได้และกลับต้องมามองดูมันตายแทน
เจียงอี้อาจจะหลับตาอยู่ แต่กลิ่นอายสังหารของเขาพุ่งพล่านขึ้นขณะที่เปลวเพลิงอัสนีหลั่งไหลออกมาจากดาบมังกรเพลิงอย่างไม่รู้จบ โล่ศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงอัสนีก่อตัวขึ้นมาและเกราะเมฆาอัคคีก็ปรากฏขึ้น คลื่นความร้อนที่น่าสะพรึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนจากสามตระกูลต้องล่าถอยกลับไปโดยอัตโนมัติ แม้ว่าทุกคนจะเปิดใช้โล่ศักดิ์สิทธิ์ทันที แต่ด้วยระยะทางที่ใกล้กันนั้น พวกเขาก็ยังรู้สึกแทบจะทนไม่ได้
ส่วนเหลยถิงเวยไม่ได้ล่าถอยกลับไป แต่เขาเปิดใช้โล่ศักดิ์สิทธิ์และมองเจียงอี้ด้วยท่าทางเย้ยหยันและส่งข้อความเสียงมาว่า “เจียงอี้ หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่เคลื่อนไหวอย่างประมาทหรอก ไม่เช่นนั้นทุกคนในสิ่งประดิษฐ์ห้วงมิติของเจ้าจะต้องตาย ภรรยาของเจ้าทั้งหลาย, พี่น้องของเจ้า และน้องสาวของเจ้าจะต้องตายทั้งหมด ยอมจำนนแต่โดยดีและมาเป็นทาสวิญญาณของข้าซะ รับใช้ตระกูลเหลยสิบปีและข้าขอสาบานกับสวรรค์ว่าข้าจะปล่อยพวกเจ้าทุกคนไป”
เหลยถิงเวยไม่ได้สั่งให้ใครเคลื่อนไหวขณะที่เขาต้องการให้เจียงอี้ยอมจำนน
และด้วยวิชาทลายมิตินั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เจียงอี้จะหนีไปได้ หากเขาไม่อยากให้ทุกคนตาย ทางเดียวคือเจียงอี้ต้องยอมจำนน เจียงอี้มีค่ามากมายและหากเขาสามารถสลักอัสนีพิโรธลงในภาพวาดสวรรค์ได้ มันจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน เฉียนว่านก้วนเองก็มีพรสวรรค์เช่นกัน และแม้ว่าเขาจะไม่สามารถปรากฏตัวในที่สาธารณะได้ แต่เขาก็ยังช่วยให้ตระกูลเหลยได้กำไรอยู่ในที่มืดได้ สายลับนั้นต้องตาย แต่หากสายลับกลายเป็นทาสวิญญาณแล้ว พวกเขาก็จะไม่ใช่สายลับอีกต่อไป
นอกจากนี้ยังมีเจียงเสี่ยวนู๋อีกคนที่เหลยถิงเวยสังเกตเห็นในวันนี้ หากตระกูลเหลยสามารถใช้งานเผ่าพันธุ์ลึกลับเช่นนี้ได้ มันคงจะเป็นเรื่องที่วิเศษมาก ส่วนตระกูลหนานกงและตระกูลลู่นั้น….ตราบใดที่ตระกูลเหลยให้ผลกำไรไปบ้าง พวกเขาก็จะพูดคุยกันได้ง่ายๆ แต่เจียงอี้จะยอมจำนนหรอ?
คำตอบก็คือไม่ ดาบมังกรเพลิงของเขาส่องสว่างด้วยสายฟ้าขณะที่ร่างของเขาเปล่งแสงสีขาวและย้ายร่างฉับพลันไปข้างๆเหลยถิงเวยขณะที่เขาเตรียมที่จะใช้เปลวเพลิงอัสนีเพื่อดึงคนไม่กี่คนให้ตกตายไปพร้อมกับเขาด้วย
แต่น่าเสียดายนัก เหลยถิงเวยได้เตรียมการป้องกันเอาไว้แล้ว เมื่อเขาเห็นว่าเจียงอี้กำลังจะโจมตี ระฆังเล็กๆสีแดงก็พุ่งออกมา มันมีกลิ่นอายที่ร้อนแรงและแผ่อักขระโบราณออกมาและขยายออกไปในรัศมีเกือบหนึ่งกิโลเมตรในทันที
ตูม! ตูม! ตูม!
มีคลื่นความผันผวนของพื้นที่อยู่ด้านล่าง ซึ่งเจียงอี้ที่เดิมทีเริ่มย้ายร่างฉับพลันก็ถูกระงับไว้อย่างแรง หากเขากล้าย้ายร่างฉับพลันในเวลาเช่นนี้ เขาอาจจะต้องถูกห้วงมิติทำลายลงไปอย่างแน่นอน
“ระฆังหลอมศักดิ์สิทธิ์!” หลายๆคนอุทานออกมาเพราะระฆังนี้ทรงพลังมากและมันยังมีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งด้วย ย้อนไปเมื่อก่อน มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นของปรมาจารย์ตระกูลเหลย นี่ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์สำคัญที่เชื่อมดวงจิตเท่านั้นเพราะปรมาจารย์ตระกูลเหลยได้เพิ่มรูปแบบเต๋าพิเศษลงไปข้างในนั้นด้วย มันสามารถทลายขอบเขตเทียนจุนได้ทั้งหมดหรือแม้แต่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดนับร้อยคนก็ยังกลายเป็นขี้เถ้าได้อย่างง่ายดาย
“เมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะสนองให้เอง!”
เหลยถิงเวยหัวเราะเยาะขณะที่เขาแผ่แก่นแท้พลังไปที่ฝ่ามือก่อนที่จะปลดปล่อยไปที่ระฆัง และทุกการปลดปล่อยจากแก่นแท้พลังจะทำให้เกิดเสียงระฆังดังสนั่นขึ้นมาทำให้รูปแบบอักขระบนระฆังสีแดงหมุนเวียนไปทั่ว แสงไฟเป็นเหมือนอสรพิษอัคคีที่เลื้อยอยู่บนพื้นผิว อุณหภูมิที่สูงอย่างน่าสยดสยองทำให้ผู้คนบนยอดเขาครึ่งหนึ่งถอยห่างออกไปสามสิบกิโลเมตร
กึง กึง กึง!
เสียงระฆังดังก้องกังวานอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งที่เสียงนี้สะท้อนออกมา ใจของทุกคนจะสั่นเล็กน้อย เหล่าจอมยุทธที่อ่อนแอหลายคนล่าถอยออกไปอีกสามสิบกิโลมเตรเนื่องจากเสียงนั้นน่าสยดสยองเกินไปจนรู้สึกราวกับว่าหัวใจของพวกเขาจะเด้งออกมา
กึง กึง กึง!
ขณะที่เหลยถิงเวยโจมตีด้วยแก่นแท้พลัง เสียงระฆังก็กังวานออกมาอย่างไม่รู้จบราวกับเสียงเรียกแห่งความตายดังก้องไปทั่วทั้งเมืองเทพประทาน