เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 865 อิทธิพลแรงกดดัน
“เจ้าหนู เจ้าเข้าถึงมันได้แล้วหรือ? ไหนลองเปลี่ยนร่างให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกลับไปยังตำหนักซวนหวู่ เอ๋าหลูก็ให้เจียงอี้ใช้วิชาเทพพลางตาทันทีที่พวกเขากลับมาถึง
ร่างของเจียงอี้เปล่งประกายด้วยแสงสีขาวขณะที่เขาใช้วิชาเทพพลางตา จากนั้นกล้ามเนื้อและกระดูกของเขาก็กระดุกกระดิกและกลายเป็นชายวัยกลางคนธรรมดาขณะที่ดวงจิตเปลี่ยนไปอย่างไม่คุ้นเคย เจียงเสี่ยวนู๋, เชียนเชียนและเทวาทมิฬนั้นจำไม่ได้เลย
“ไม่เลว!”
เอ๋าหลูเหลือบมองเล็กน้อยและพยักหน้า “วิชาเทพพลางตานี้เป็นพรของธรรมชาติอย่างแท้จริง เจ้าเข้าถึงมันเอง ดังนั้นมันจึงไม่มีร่องรอยของกลิ่นอายปีศาจ เจ้าไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาได้เลย ตราบใดที่เจ้าไม่เผชิญหน้ากับเก้าจักรพรรดิ แม้แต่ขอบเขตกึ่งเทพก็มองเจ้าไม่ออก!” บรึฟ!
ร่างของเจียงอี้สาดแสงสีขาวขณะที่เขากลับร่างเดิมอีกครั้งและถามด้วยความสงสัยว่า “เก้าจักรพรรดิสามารถมองทะลุสิ่งนี้ได้หรือขอรับ?”
“อย่าดูถูกเก้าจักรพรรดิไว้จะดีกว่า!”
เอ๋าหลูพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเขาเป็นบุคคลทั้งเก้าที่ไปถึงจุดสูงสุดของแดนเทียนชิงได้ พวกเขาจะไม่มีความพิเศษได้อย่างไรล่ะ? คนอื่นน่ะข้าไม่รู้หรอก แต่หากจักรพรรดิอรหังสบตาเจ้าเพียงแวบเดียว ทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผยหมด นอกจากนี้…หากเป็นไปได้ก็อย่าเป็นศัตรูกับตระกูลจักรพรรดิอรหัง, ตระกูลจักรพรรดิสงครามและตระกูลจักรพรรดิอุดรเลย สามตระกูลนี้น่ากลัวที่สุด”
“ตระกูลจักรพรรดิอุดร?”
ดวงตาของเจียงอี้เย็นชาลงขณะที่เขายิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ข้าจะไม่ไปยุ่งกับอีกสองตระกูล แต่ข้าคงต้องปะทะกับตระกูลหวู่ของจักรพรรดิอุดรแน่ๆ ใช่แล้ว…ผู้อาวุโสเอ๋าหลู ท่านช่วยถามจักรพรรดิเงาให้ช่วยตรวจสอบบุคคลสองคนได้หรือไม่ หนึ่งในนั้นคือซูรั่วเสวี่ยและนางมาจากทวีปจักรพรรดิบูรพาและอีกคนคือจีทิงยวี่ นางมาจากทวีปเทียนชิงและนางยังเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของโถงวรยุทธสาขาอีกด้วย หลายปีก่อน พวกนางย้ายร่างจากทวีปเทียนชิงไปยังโถงหลักวรยุทธ ข้าต้องการรายละเอียดของพวกนางทั้งคู่”
เอ๋าหลูโบกมือแล้วพูดว่า “เทวาทมิฬ ให้จักรพรรดิเงาเข้ามา”
เทวาทมิฬเดินออกไปขณะที่เจียงอี้หยิบแปรงมาวาดภาพ เขาวาดภาพเหมือนของซูรั่วเสวี่ยและจีทิงยวี่ เมื่อเขาวาดภาพซูรั่วเสวี่ย ใจของเขาก็ปวดร้าวขณะที่มีแต่ความปรารถนาดี และขณะที่เขาวาดภาพจีทิงยวี่ เขาก็แผ่กลิ่นอายสังหารออกมาอย่างปกปิดไม่ได้และดวงตาของเขาก็เป็นประกายด้วยแสงสีแดง
เจียงอี้ไม่เคยทำร้ายผู้หญิงคนใดเลยในชีวิตเว้นแต่พวกนางจะเป็นศัตรูของเขา และเขาจะไม่สังหารผู้หญิงโดยไม่มีเหตุผล แต่จีทิงยวี่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาต้องการสังหารมากที่สุด หากจีทิงยวี่อยู่ในกำมือเขา เขาจะบดขยี้นางให้แหลกเป็นพันๆชิ้นอย่างแน่นอน
หลังจากที่จักรพรรดิเงาเดินเข้ามาเงียบๆ เจียงอี้ก็ส่งมอบภาพบุคคลและข้อมูลของซูรั่วเสวี่ยและจีทิงยวี่ให้จักรพรรดิเงา จากนั้นจักรพรรดิเงาก็มอบไข่มุกสีแดงให้เจียงอี้ซึ่งมันไม่ใช่สมบัติของเผ่าอสูรและปีศาจและไม่มีกลิ่นอายอสูรหรือปีศาจเลย มันเป็นสมบัติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากสวรรค์และโลกาในทะเลลึกไร้สิ้นสุด เมื่อมีไข่มุกนี้ หน่วยสอดแนมของเผ่าอสูรและปีศาจจะค้นหาเจียงอี้และส่งข้อมูลและข่าวที่เจียงอี้ต้องการได้
เจียงอี้ไม่รู้ว่าสายลับจากเผ่าอสูรและปีศาจนั้นแทรกซึมเข้าไปอยู่ในทวีปจักรพรรดิบูรพามากแค่ไหน แต่การสืบหาคนต้องใช้เวลา คราวนี้พวกเขายังต้องตรวจสอบเรื่องของโถงวรยุทธด้วย ซึ่งเจียงอี้ก็ไม่ได้รีบร้อนอยู่แล้ว เขามองไปที่เจียงเสี่ยวนู๋และกล่าวว่า“เสี่ยวนู๋ ไปเล่นกับเชียนเชียนก่อนนะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับผู้อาวุโสหน่อย”
เจียงเสี่ยวนู๋ออกไปกับเชียนเชียนอย่างเชื่อฟังขณะที่เทวาทมิฬและจักรพรรดิเงาก็พากันออกไปโดยอัตโนมัติ หลังจากที่ได้การยืนยันจากเอ๋าหลูแล้ว เจียงอี้ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “ผู้อาวุโสเอ๋า ข้ามีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ ข้าเข้าถึงรูปแบบเต๋าพิเศษที่สามารถยืมอัสนีเก้าสวรรค์มาโจมตีศัตรูได้ จากพลังของเต๋ารูปแบบนี้ มันน่าจะเกินเต๋าระดับห้าดาวแล้ว แต่ทำไมข้าถึงไม่ได้รับพลังดาราเก้าสวรรค์ในครั้งนี้กัน? นอกจากนี้…ตันเทียนของข้ามีดาวเก้าดวงและเมื่อแก่นแท้พลังข้าไปถึงขอบเขตหนึ่ง ตำหนักดาวนั้นจะเปลี่ยนไป และดาราเก้าสวรรค์จะมอบพลังแก่ข้าหลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลง มันคืออะไรกัน?”
เอ๋าหลูไตร่ตรองและส่ายหัวหลังจากนั้นครู่หนึ่ง “ข้าไม่เข้าใจการฝึกฝนของมนุษย์เลย แต่เนื่องจากรูปแบบเต๋าของเจ้าสามารถยืมพลังฟ้าดินได้โดยตรง ดังนั้นมันจึงน่าจะเป็นรูปแบบเต๋าขั้นสุดยอด รูปแบบเต๋านี้อยู่นอกเหนือไปจากรูปแบบเต๋าธาตุและรูปแบบเต๋าฟ้าดิน และยากที่จะหยั่งถึง หากเจ้ายืมพลังฟ้าดินได้ แล้วเหตุใดสวรรค์และโลกาจะต้องให้พลังดารากับเจ้าล่ะ? ส่วนเรื่องตันเทียนประหลาดของเจ้านั้น…ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน สุดท้ายแล้ว ข้าผู้นี้ก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าอสูร”
“รูปแบบเต๋าขั้นสุดยอด?”
ใจของเจียงอี้เต้นรัวขณะที่เขาถามด้วยความสงสัย “มีรูปแบบเต๋าขั้นสุดยอดที่เหนือกว่ารูปแบบเต๋าฟ้าดินด้วยหรือ? เราจะแยกแยะได้อย่างไรขอรับ? หรือตราบใดที่สามารถยืมพลังฟ้าดินมาใช้ได้ มันจะถือว่าเป็นรูปแบบเต๋าขั้นสุดยอดขอรับ?”
“ใช่ แบบนั้นแหละ!”
เอ๋าหลูพยักหน้าและพูดว่า “ขอบเขตกึ่งเทพที่น่าเกรงขามทั้งหมดจะยืมพลังฟ้าดินมาโจมตี เช่นเดียวกับห้วงย้อนเวลาของเหลยป้านเซียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นรูปแบบเต๋าขั้นสุดยอดขณะที่เขากำลังยืมพลังของห้วงเวลามาใช้ เมื่อเราเผ่าอสูรไปถึงจุดสูงสุดของเจ้าอสูร เราเองก็สามารถยืมพลังฟ้าดินได้เหมือนกัน อย่างง่ายที่สุดคือ….การที่ข้าผู้นี้จะมีชีวิตอยู่ได้นับล้านปี ซึ่งมันเป็นพรของธรรมชาติอยู่แล้ว”
“เจ้าหนู เจ้าโชคดีมากและเจ้าควรเข้าถึงรูปแบบเต๋าต่อไปและพยายามยืมพลังฟ้าดินให้มากขึ้น ความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้อยู่ที่จอมยุทธสามดาว ขณะที่ข้าและอีกห้าคนของเก้าตระกูลจักรพรรดิเป็นยอดฝีมือเก้าดาว นั่นหมายความว่าเจ้ายังมีหนทางอีกยาวไกลนัก”
“จอมยุทธสามดาว? ยอดฝีมือเก้าดาว?”
เจียงอี้สับสน เขาเคยได้ยินรูปแบบเต๋าสามดาว, สี่ดาวมาบ้าง แต่เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับการจัดอันดับจอมยุทธด้วยดาวเลย
เขามองเอ๋าหลูด้วยท่าทีงุนงงขณะที่ฝ่ายหลังอธิบายอย่างอดทน “สำหรับยอดฝีมือที่แท้จริงนั้น…เราไม่ได้ดูที่ขอบเขตการบ่มเพาะพลังหรอก อย่างขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด หากผู้ใดเข้าถึงรูปแบบเต๋าระดับกลางได้จำนวนมาก ความแข็งแกร่งของเขาจะถึงขั้นสูงสุดจริงหรือ? แม้แต่ขอบเขตเทียนจุนระดับกลางที่ทรงพลังก็สังหารเขาได้ใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นมันจึงไม่มีความหมายอะไรเลยที่จะมองที่ขอบเขตการบ่มเพาะพลัง”
“เหมือนกันกับเผ่าอสูรเรา อย่างหัวหน้าเผ่าอีกาทองคำเองก็เป็นเจ้าอสูร นอกจากความสามารถวิชาเทพพลางตาแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็ยังเทียบไม่ได้กับเจ้าอสูรขั้นสูงสุดเลย สำหรับยอดฝีมือที่แท้จริงนั้น เราตัดสินตามระดับดาว อย่างเหลยกูของเมืองเทพประทานอย่างมากที่สุดก็อยู่ที่หกดาว ขณะที่เหลยป้านเซียนนั้น…เกือบจะอยู่ที่แปดดาวแล้ว ส่วนจักรพรรดิอรหัง, จักรพรรดิอุดรและจักรพรรดิสงครามนั้นเป็นยอดฝีมือเก้าดาว! นี่จึงเป็นสาเหตุที่ข้าขอให้เจ้าอย่าไปยั่วยุทั้งสามตระกูลนี้”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ในที่สุดเจียงอี้ก็เข้าใจ มันไม่มีความหมายอะไรที่จะมองขอบเขตการบ่มเพาะพลังเลย
ชิงหลงเองก็อยู่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด แต่หวงฝูเทาเทียนก็สามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดายขณะที่อยู่ที่ขอบเขตเทียนจุนระดับกลางเท่านั้น
และเมื่อเอ๋าหลูมีอารมณ์ที่จะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆในวันนี้ เจียงอี้จะพลาดโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร? เขาจึงรีบถามต่อว่า “เช่นนั้นท่านผู้อาวุโส เราจะแยกระดับดาวได้อย่างไรหรือ? มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินด้วยรูปลักษณ์และกลิ่นอายของคนผู้นั้น”
“ง่ายมาก!”
เอ๋าหลูชี้ไปที่ท้องฟ้าและพูดว่า “เมื่อใดที่ยอดฝีมือปล่อยการโจมตี พลังฟ้าดินจะก่อขึ้นและก่อตัวเป็นอิทธิพลแรงกดดัน ที่ยอดฝีมือสามารถปลดปล่อยแรงกดดันและสร้างกลิ่นอายออกมาทำให้เกิดความกลัวในใจศัตรูได้ก็เพราะอิทธิพลจากแรงกดดันนั้น ยิ่งเจ้าสร้างพลังฟ้าดินได้มากเท่าไหร่ เจ้าก็ยิ่งสร้างอิทธิพลและความแข็งแกร่งในการต่อสู้ได้มากขึ้นเท่านั้น หากเจ้าอยากตัดสินว่ายอดฝีมือผู้นั้นเป็นดาวอะไร เจ้าจะต้องมองที่พลังของอิทธิพลนั้น จอมยุทธสามดาวจะสร้างขอบเขตรัศมีราวหนึ่งกิโลเมตร สี่ดาวจะเพิ่มขึ้นสองเท่าของสามดาว ส่วนห้าดาวจะเป็นสองเท่าของสี่ดาว….ส่วนเก้าดาวก็มากกว่าแปดดาวถึงสองเท่า!”
เจียงอี้ยังขอคำแนะนำต่อ “แล้วเราจะสัมผัสถึงอิทธิพลนั้นอย่างไรหรือขอรับ?”
เอ๋าหลูส่ายหัวและหัวเราะเบาๆ “ข้าบอกวิธีการสัมผัสถึงมันได้ แต่นี่เป็นวิธีของเผ่าข้า เจ้าจะต้องไม่เรียนรู้มัน ไม่เช่นนั้นร่างกายของเจ้าจะปล่อยกลิ่นอายอสูรหรือปีศาจออกมา ดังนั้น เจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเองในเรื่องนี้ ในทำนองเดียวกัน ข้าเองก็มีสมบัติมากมายแต่ข้าก็ให้เจ้าไม่ได้ เนื่องจากสมบัติเหล่านี้ติดกลิ่นอายของข้าไปแล้ว แต่แน่นอนว่า….มันคงจะเป็นการดีที่จะได้สมบัติเหล่านี้ไป แต่เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก การเสริมสร้างร่างกายตนเองนั้นเป็นทางที่ถูกต้องแล้ว การพึ่งพาสมบัติมากไปจะส่งผลต่อการบ่มเพาะพลังของเจ้าเอง”
เจียงอี้รับคำชี้แนะอย่างนอบน้อม เดิมทีเขาอยากจะถามถึงการเชื่อมดวงจิตกับสิ่งประดิษฐ์ด้วย แต่เขาก็ตัดสินใจไม่ถามมัน เขาเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “ผู้อาวุโส ข้าเตรียมจะเดินทางไปเยี่ยมเสี่ยวเฟยที่ทวีปจิ้งจอกสวรรค์ก่อนที่จะแอบเข้าไปในเผ่าเทพประทาน แล้วจากนั้นข้าจะมุ่งหน้าไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพา มันไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้วนอกจากเสี่ยวนู๋”
“ฮึฮึ!”
เอ๋าหลูส่ายมือและพูดว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ปล่อยเจ้าหนูนั่นให้ข้าจัดการเถอะ ข้าจะให้เชียนเชียนพูดกับนางและข้ารับประกันได้เลยว่านางจะไม่ตามเจ้าไป!”
ร่างของเจียงอี้เปล่งประกายด้วยแสงสีขาวขณะที่เขาใช้วิชาเทพพลางตา จากนั้นกล้ามเนื้อและกระดูกของเขาก็กระดุกกระดิกและกลายเป็นชายวัยกลางคนธรรมดาขณะที่ดวงจิตเปลี่ยนไปอย่างไม่คุ้นเคย เจียงเสี่ยวนู๋, เชียนเชียนและเทวาทมิฬนั้นจำไม่ได้เลย
“ไม่เลว!”
เอ๋าหลูเหลือบมองเล็กน้อยและพยักหน้า “วิชาเทพพลางตานี้เป็นพรของธรรมชาติอย่างแท้จริง เจ้าเข้าถึงมันเอง ดังนั้นมันจึงไม่มีร่องรอยของกลิ่นอายปีศาจ เจ้าไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาได้เลย ตราบใดที่เจ้าไม่เผชิญหน้ากับเก้าจักรพรรดิ แม้แต่ขอบเขตกึ่งเทพก็มองเจ้าไม่ออก!” บรึฟ!
ร่างของเจียงอี้สาดแสงสีขาวขณะที่เขากลับร่างเดิมอีกครั้งและถามด้วยความสงสัยว่า “เก้าจักรพรรดิสามารถมองทะลุสิ่งนี้ได้หรือขอรับ?”
“อย่าดูถูกเก้าจักรพรรดิไว้จะดีกว่า!”
เอ๋าหลูพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเขาเป็นบุคคลทั้งเก้าที่ไปถึงจุดสูงสุดของแดนเทียนชิงได้ พวกเขาจะไม่มีความพิเศษได้อย่างไรล่ะ? คนอื่นน่ะข้าไม่รู้หรอก แต่หากจักรพรรดิอรหังสบตาเจ้าเพียงแวบเดียว ทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผยหมด นอกจากนี้…หากเป็นไปได้ก็อย่าเป็นศัตรูกับตระกูลจักรพรรดิอรหัง, ตระกูลจักรพรรดิสงครามและตระกูลจักรพรรดิอุดรเลย สามตระกูลนี้น่ากลัวที่สุด”
“ตระกูลจักรพรรดิอุดร?”
ดวงตาของเจียงอี้เย็นชาลงขณะที่เขายิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ข้าจะไม่ไปยุ่งกับอีกสองตระกูล แต่ข้าคงต้องปะทะกับตระกูลหวู่ของจักรพรรดิอุดรแน่ๆ ใช่แล้ว…ผู้อาวุโสเอ๋าหลู ท่านช่วยถามจักรพรรดิเงาให้ช่วยตรวจสอบบุคคลสองคนได้หรือไม่ หนึ่งในนั้นคือซูรั่วเสวี่ยและนางมาจากทวีปจักรพรรดิบูรพาและอีกคนคือจีทิงยวี่ นางมาจากทวีปเทียนชิงและนางยังเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของโถงวรยุทธสาขาอีกด้วย หลายปีก่อน พวกนางย้ายร่างจากทวีปเทียนชิงไปยังโถงหลักวรยุทธ ข้าต้องการรายละเอียดของพวกนางทั้งคู่”
เอ๋าหลูโบกมือแล้วพูดว่า “เทวาทมิฬ ให้จักรพรรดิเงาเข้ามา”
เทวาทมิฬเดินออกไปขณะที่เจียงอี้หยิบแปรงมาวาดภาพ เขาวาดภาพเหมือนของซูรั่วเสวี่ยและจีทิงยวี่ เมื่อเขาวาดภาพซูรั่วเสวี่ย ใจของเขาก็ปวดร้าวขณะที่มีแต่ความปรารถนาดี และขณะที่เขาวาดภาพจีทิงยวี่ เขาก็แผ่กลิ่นอายสังหารออกมาอย่างปกปิดไม่ได้และดวงตาของเขาก็เป็นประกายด้วยแสงสีแดง
เจียงอี้ไม่เคยทำร้ายผู้หญิงคนใดเลยในชีวิตเว้นแต่พวกนางจะเป็นศัตรูของเขา และเขาจะไม่สังหารผู้หญิงโดยไม่มีเหตุผล แต่จีทิงยวี่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาต้องการสังหารมากที่สุด หากจีทิงยวี่อยู่ในกำมือเขา เขาจะบดขยี้นางให้แหลกเป็นพันๆชิ้นอย่างแน่นอน
หลังจากที่จักรพรรดิเงาเดินเข้ามาเงียบๆ เจียงอี้ก็ส่งมอบภาพบุคคลและข้อมูลของซูรั่วเสวี่ยและจีทิงยวี่ให้จักรพรรดิเงา จากนั้นจักรพรรดิเงาก็มอบไข่มุกสีแดงให้เจียงอี้ซึ่งมันไม่ใช่สมบัติของเผ่าอสูรและปีศาจและไม่มีกลิ่นอายอสูรหรือปีศาจเลย มันเป็นสมบัติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากสวรรค์และโลกาในทะเลลึกไร้สิ้นสุด เมื่อมีไข่มุกนี้ หน่วยสอดแนมของเผ่าอสูรและปีศาจจะค้นหาเจียงอี้และส่งข้อมูลและข่าวที่เจียงอี้ต้องการได้
เจียงอี้ไม่รู้ว่าสายลับจากเผ่าอสูรและปีศาจนั้นแทรกซึมเข้าไปอยู่ในทวีปจักรพรรดิบูรพามากแค่ไหน แต่การสืบหาคนต้องใช้เวลา คราวนี้พวกเขายังต้องตรวจสอบเรื่องของโถงวรยุทธด้วย ซึ่งเจียงอี้ก็ไม่ได้รีบร้อนอยู่แล้ว เขามองไปที่เจียงเสี่ยวนู๋และกล่าวว่า“เสี่ยวนู๋ ไปเล่นกับเชียนเชียนก่อนนะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับผู้อาวุโสหน่อย”
เจียงเสี่ยวนู๋ออกไปกับเชียนเชียนอย่างเชื่อฟังขณะที่เทวาทมิฬและจักรพรรดิเงาก็พากันออกไปโดยอัตโนมัติ หลังจากที่ได้การยืนยันจากเอ๋าหลูแล้ว เจียงอี้ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “ผู้อาวุโสเอ๋า ข้ามีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ ข้าเข้าถึงรูปแบบเต๋าพิเศษที่สามารถยืมอัสนีเก้าสวรรค์มาโจมตีศัตรูได้ จากพลังของเต๋ารูปแบบนี้ มันน่าจะเกินเต๋าระดับห้าดาวแล้ว แต่ทำไมข้าถึงไม่ได้รับพลังดาราเก้าสวรรค์ในครั้งนี้กัน? นอกจากนี้…ตันเทียนของข้ามีดาวเก้าดวงและเมื่อแก่นแท้พลังข้าไปถึงขอบเขตหนึ่ง ตำหนักดาวนั้นจะเปลี่ยนไป และดาราเก้าสวรรค์จะมอบพลังแก่ข้าหลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลง มันคืออะไรกัน?”
เอ๋าหลูไตร่ตรองและส่ายหัวหลังจากนั้นครู่หนึ่ง “ข้าไม่เข้าใจการฝึกฝนของมนุษย์เลย แต่เนื่องจากรูปแบบเต๋าของเจ้าสามารถยืมพลังฟ้าดินได้โดยตรง ดังนั้นมันจึงน่าจะเป็นรูปแบบเต๋าขั้นสุดยอด รูปแบบเต๋านี้อยู่นอกเหนือไปจากรูปแบบเต๋าธาตุและรูปแบบเต๋าฟ้าดิน และยากที่จะหยั่งถึง หากเจ้ายืมพลังฟ้าดินได้ แล้วเหตุใดสวรรค์และโลกาจะต้องให้พลังดารากับเจ้าล่ะ? ส่วนเรื่องตันเทียนประหลาดของเจ้านั้น…ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน สุดท้ายแล้ว ข้าผู้นี้ก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าอสูร”
“รูปแบบเต๋าขั้นสุดยอด?”
ใจของเจียงอี้เต้นรัวขณะที่เขาถามด้วยความสงสัย “มีรูปแบบเต๋าขั้นสุดยอดที่เหนือกว่ารูปแบบเต๋าฟ้าดินด้วยหรือ? เราจะแยกแยะได้อย่างไรขอรับ? หรือตราบใดที่สามารถยืมพลังฟ้าดินมาใช้ได้ มันจะถือว่าเป็นรูปแบบเต๋าขั้นสุดยอดขอรับ?”
“ใช่ แบบนั้นแหละ!”
เอ๋าหลูพยักหน้าและพูดว่า “ขอบเขตกึ่งเทพที่น่าเกรงขามทั้งหมดจะยืมพลังฟ้าดินมาโจมตี เช่นเดียวกับห้วงย้อนเวลาของเหลยป้านเซียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นรูปแบบเต๋าขั้นสุดยอดขณะที่เขากำลังยืมพลังของห้วงเวลามาใช้ เมื่อเราเผ่าอสูรไปถึงจุดสูงสุดของเจ้าอสูร เราเองก็สามารถยืมพลังฟ้าดินได้เหมือนกัน อย่างง่ายที่สุดคือ….การที่ข้าผู้นี้จะมีชีวิตอยู่ได้นับล้านปี ซึ่งมันเป็นพรของธรรมชาติอยู่แล้ว”
“เจ้าหนู เจ้าโชคดีมากและเจ้าควรเข้าถึงรูปแบบเต๋าต่อไปและพยายามยืมพลังฟ้าดินให้มากขึ้น ความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้อยู่ที่จอมยุทธสามดาว ขณะที่ข้าและอีกห้าคนของเก้าตระกูลจักรพรรดิเป็นยอดฝีมือเก้าดาว นั่นหมายความว่าเจ้ายังมีหนทางอีกยาวไกลนัก”
“จอมยุทธสามดาว? ยอดฝีมือเก้าดาว?”
เจียงอี้สับสน เขาเคยได้ยินรูปแบบเต๋าสามดาว, สี่ดาวมาบ้าง แต่เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับการจัดอันดับจอมยุทธด้วยดาวเลย
เขามองเอ๋าหลูด้วยท่าทีงุนงงขณะที่ฝ่ายหลังอธิบายอย่างอดทน “สำหรับยอดฝีมือที่แท้จริงนั้น…เราไม่ได้ดูที่ขอบเขตการบ่มเพาะพลังหรอก อย่างขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด หากผู้ใดเข้าถึงรูปแบบเต๋าระดับกลางได้จำนวนมาก ความแข็งแกร่งของเขาจะถึงขั้นสูงสุดจริงหรือ? แม้แต่ขอบเขตเทียนจุนระดับกลางที่ทรงพลังก็สังหารเขาได้ใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นมันจึงไม่มีความหมายอะไรเลยที่จะมองที่ขอบเขตการบ่มเพาะพลัง”
“เหมือนกันกับเผ่าอสูรเรา อย่างหัวหน้าเผ่าอีกาทองคำเองก็เป็นเจ้าอสูร นอกจากความสามารถวิชาเทพพลางตาแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็ยังเทียบไม่ได้กับเจ้าอสูรขั้นสูงสุดเลย สำหรับยอดฝีมือที่แท้จริงนั้น เราตัดสินตามระดับดาว อย่างเหลยกูของเมืองเทพประทานอย่างมากที่สุดก็อยู่ที่หกดาว ขณะที่เหลยป้านเซียนนั้น…เกือบจะอยู่ที่แปดดาวแล้ว ส่วนจักรพรรดิอรหัง, จักรพรรดิอุดรและจักรพรรดิสงครามนั้นเป็นยอดฝีมือเก้าดาว! นี่จึงเป็นสาเหตุที่ข้าขอให้เจ้าอย่าไปยั่วยุทั้งสามตระกูลนี้”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ในที่สุดเจียงอี้ก็เข้าใจ มันไม่มีความหมายอะไรที่จะมองขอบเขตการบ่มเพาะพลังเลย
ชิงหลงเองก็อยู่ขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด แต่หวงฝูเทาเทียนก็สามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดายขณะที่อยู่ที่ขอบเขตเทียนจุนระดับกลางเท่านั้น
และเมื่อเอ๋าหลูมีอารมณ์ที่จะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆในวันนี้ เจียงอี้จะพลาดโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร? เขาจึงรีบถามต่อว่า “เช่นนั้นท่านผู้อาวุโส เราจะแยกระดับดาวได้อย่างไรหรือ? มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินด้วยรูปลักษณ์และกลิ่นอายของคนผู้นั้น”
“ง่ายมาก!”
เอ๋าหลูชี้ไปที่ท้องฟ้าและพูดว่า “เมื่อใดที่ยอดฝีมือปล่อยการโจมตี พลังฟ้าดินจะก่อขึ้นและก่อตัวเป็นอิทธิพลแรงกดดัน ที่ยอดฝีมือสามารถปลดปล่อยแรงกดดันและสร้างกลิ่นอายออกมาทำให้เกิดความกลัวในใจศัตรูได้ก็เพราะอิทธิพลจากแรงกดดันนั้น ยิ่งเจ้าสร้างพลังฟ้าดินได้มากเท่าไหร่ เจ้าก็ยิ่งสร้างอิทธิพลและความแข็งแกร่งในการต่อสู้ได้มากขึ้นเท่านั้น หากเจ้าอยากตัดสินว่ายอดฝีมือผู้นั้นเป็นดาวอะไร เจ้าจะต้องมองที่พลังของอิทธิพลนั้น จอมยุทธสามดาวจะสร้างขอบเขตรัศมีราวหนึ่งกิโลเมตร สี่ดาวจะเพิ่มขึ้นสองเท่าของสามดาว ส่วนห้าดาวจะเป็นสองเท่าของสี่ดาว….ส่วนเก้าดาวก็มากกว่าแปดดาวถึงสองเท่า!”
เจียงอี้ยังขอคำแนะนำต่อ “แล้วเราจะสัมผัสถึงอิทธิพลนั้นอย่างไรหรือขอรับ?”
เอ๋าหลูส่ายหัวและหัวเราะเบาๆ “ข้าบอกวิธีการสัมผัสถึงมันได้ แต่นี่เป็นวิธีของเผ่าข้า เจ้าจะต้องไม่เรียนรู้มัน ไม่เช่นนั้นร่างกายของเจ้าจะปล่อยกลิ่นอายอสูรหรือปีศาจออกมา ดังนั้น เจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเองในเรื่องนี้ ในทำนองเดียวกัน ข้าเองก็มีสมบัติมากมายแต่ข้าก็ให้เจ้าไม่ได้ เนื่องจากสมบัติเหล่านี้ติดกลิ่นอายของข้าไปแล้ว แต่แน่นอนว่า….มันคงจะเป็นการดีที่จะได้สมบัติเหล่านี้ไป แต่เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก การเสริมสร้างร่างกายตนเองนั้นเป็นทางที่ถูกต้องแล้ว การพึ่งพาสมบัติมากไปจะส่งผลต่อการบ่มเพาะพลังของเจ้าเอง”
เจียงอี้รับคำชี้แนะอย่างนอบน้อม เดิมทีเขาอยากจะถามถึงการเชื่อมดวงจิตกับสิ่งประดิษฐ์ด้วย แต่เขาก็ตัดสินใจไม่ถามมัน เขาเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “ผู้อาวุโส ข้าเตรียมจะเดินทางไปเยี่ยมเสี่ยวเฟยที่ทวีปจิ้งจอกสวรรค์ก่อนที่จะแอบเข้าไปในเผ่าเทพประทาน แล้วจากนั้นข้าจะมุ่งหน้าไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพา มันไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้วนอกจากเสี่ยวนู๋”
“ฮึฮึ!”
เอ๋าหลูส่ายมือและพูดว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ปล่อยเจ้าหนูนั่นให้ข้าจัดการเถอะ ข้าจะให้เชียนเชียนพูดกับนางและข้ารับประกันได้เลยว่านางจะไม่ตามเจ้าไป!”