เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 875 ลมดารา
สองวันข้างหน้า เรือลิขิตสวรรค์ก็แล่นไปได้อย่างราบรื่น แต่ทิศทางก็ถูกเปลี่ยนไปตลอดเวลา พวกเขาจะบินไปทางตะวันออกเฉียงเหนือบ้าง ส่วนบางครั้งก็จะบินไปทางตะวันออกเฉียงใต้ บางครั้งก็หันหลังกลับและบางครั้งก็บินไปทางทะเลแห่งบาป ซึ่งมันทำให้ซ่งจงและคนอื่นๆสับสนไปจนสิ้น ในช่วงสองวันมานี้ เรือลิขิตสวรรค์ไม่พบกองโจรเลยซึ่งมันทำให้ซ่งจงและคนอื่นๆมั่นใจมากขึ้นขณะที่พวกเขาชื่นชมความสามารถอันน่าทึ่งของเจียงอี้
ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้นั้นสอดแนมไปได้ทุกการเคลื่อนไหวในระยะสิบล้านกิโลเมตร ทันทีที่มีกองโจรปรากฏขึ้น เขาจะรู้ได้ทันที จึงทำให้พวกเขาหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย
กองทัพเพลิงทมิฬเองก็พยายามไล่ล่าพวกเขามานานกว่าวันครึ่งแล้ว แต่เจียงอี้ก็หนีจากพวกเขาได้ ในทะเลอันกว้างใหญ่นี้ กองทัพเพลิงทมิฬคงหาพวกเขาไม่เจอแม้ว่าจะมีญาณทิพย์ก็ตาม
ในช่วงสองวันนี้ นอกจากการสอดแนมแล้ว เจียงอี้จะเล่นกับเสี่ยวหยีหรือไม่ก็ถามซ่งจงเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดในทวีปจักรพรรดิบูรพา เขาไม่เคยทานมื้ออื่นร่วมกับถานไถชี่อีก อันที่จริงแล้ว พวกเขาคุยกันไม่ถึงห้าประโยคด้วยซ้ำ และถานไถชี่ก็มีไหวพริบมากในเรื่องนี้ วันนี้นางจึงไม่เผยตัวออกมาเลย
เจียงอี้ไม่ได้ไร้หัวใจ แต่เขามีเรื่องที่ต้องทำมากเกินไปและเขาจะต้องไม่เป็นที่จับตามากเกินไป หากตัวตนเขาถูกเปิดเผย เขาจะต้องทนทุกข์กับการถูกไล่ล่าจากตระกูลใหญ่ๆทั้งหลาย ความสามารถของวิชาเทพพลางตาเองก็น่าเหลือเชื่อ แต่ใครจะรับประกันได้ว่าเก้าตระกูลจักรพรรดิจะไม่มีคนที่มีความสามารถพิเศษ ใครจะรับประกันได้ว่าเผ่าพันธุ์พิเศษนับหมื่นจะไม่มีความสามารถในการทำลายวิชาเทพพรางตา?
ขณะที่เรือลิขิตสวรรค์เดินทางต่อไป พวกเขาก็ใกล้ทวีปจักรพรรดิบูรพามากขึ้นเรื่อยๆ ใจของเจียงอี้นั้นไม่สามารถสงบนิ่งได้เลยเพราะหญิงที่เขารักที่สุดและแม่ของเขาอยู่ในทวีปนี้
หนึ่งวันต่อมา ในที่สุดร่างสีดำก็ปรากฏขึ้นมาขณะที่ทุกคนโผล่ออกมาจากห้องของตัวเอง ถานไถชี่สวมชุดสีดำและนางมีผ้าคลุมหน้าสีดำเพื่อเลี่ยงไม่ให้ความงามของนางสร้างปัญหามากขึ้น
เจียงอี้ลูบหัวของเสี่ยวหยีและเข้าไปในห้องโดยสารก่อนที่จะปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาครั้งสุดท้ายและตรวจสอบให้มั่นใจว่าสภาพแวดล้อมรอบๆปลอดภัย
เขาสำรวจทวีปที่ไร้ขอบเขตนี้และชายทะเลก็ไม่ใช่หาดทรายแต่เป็นแนวเขาที่เขียวชอุ่มแทน มีสัตว์อสูรอยู่บนเขามากมาย แต่พวกมันเป็นสัตว์อสูรระดับต่ำ นอกจากนี้ยังมีระลอกคลื่นอาคมเล็กน้อยจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นฐานของกองโจร เจียงอี้ใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์สำรวจเป็นล้านกิโลเมตรแต่ไม่พบเมืองใดเลยจริงๆหรือนี่
“ทวีปจักรพรรดิบูรพานี่กว้างใหญ่เพียงใดกันนะ?”
เจียงอี้ตะลึงอยู่เงียบๆ ทวีปจักรพรรดิบูรพาต้องมีเมืองมากมายนับไม่ถ้วน แต่หากเขาหาเมืองไม่เจอแม้แต่เมืองเดียวในระยะล้านกิโลเมตรนี้ นั่นก็หมายความว่าทวีปนี้มีขนาดใหญ่มาก เจียงอี้ยังคงแผ่ญาณศักดิ์สิทธิ์ออกไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็พบเมืองเล็กๆที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปกว่าสองล้านกิโลเมตร
“เมืองเขี้ยวหมาป่า?”
เจียงอี้ถอนญาณศักดิ์สิทธิ์กลับมาและหยิบแผนที่ออกมาจากแหวนมิติเพื่อมองดูใกล้ๆ และในที่สุดเขาก็ยืนยันภูมิภาคที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ได้แล้ว พวกเขาอยู่ทางตะวันตกกลางของภูมิภาคเขตแดนริมน้ำ ทางเหนือจะเป็นเขตแดนสวรรค์ และเมื่อเลยไปอีกก็จะเป็นเขตแดนแสงอรหังซึ่งเป็นเขตแดนของตระกูลอี เขาจะต้องเดินทางผ่านเขตแดนแสงอรหังไปเพื่อที่เขตแดงอรหังที่อยู่ทางทิศตะวันออกและไปถึงเมืองอรหังในที่สุด
“ข้าจะไปที่เมืองเขี้ยวหมาป่าก่อนที่ข้าจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อจากไป”
เจียงอี้ไม่อยากเสียเวลาเดินทาง เนื่องจากเขตแดนนี้เพียงเขตเดียวก็ใหญ่เท่าเผ่าเทพประทานแล้ว หากเขาต้องเดินทางข้ามเขตแดน เขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าหกเดือนแม้จะไม่เจออันตรายใดๆ และหากเขาต้องเดินทางข้ามหลายเขตแดน เขาอาจจะต้องใช้เวลาถึงสองสามปี
เจียงอี้เดินออกมาจากห้องและมองไปที่ซ่งจง “เราใกล้ถึงฝั่งแล้ว เราจะเดินทางกันยังไง? เราจะบินไปหรือใช้เรือลิขิตสวรรค์ต่อ?”
“ใช้เรือลิขิตสวรรค์?”
ซ่งจงส่ายหัวและพูดว่า “มีโจรในทวีปมากกว่าในทะเลราวๆร้อยเท่าพันเท่า แม้แต่ตระกูลขนาดกลางก็ยังไม่กล้าใช้เรือลิขิตสวรรค์เลยเพราะมันจะกลายเป็นเป้าใหญ่เกินไป ข้างหน้าจะต้องมีโจรที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขานับไม่ถ้วนแน่นอนและตอนนี้อาจมีหน่วยสอดแนมอยู่ที่ชายฝั่งแล้ว ดังนั้น หากเราสามารถไปถึงเมืองได้อย่างปลอดภัย เราก็ไม่มีทางอื่นเลยนอกจากบินไปแบบปกปิดตัวตนขอรับ”
“เข้าใจแล้ว!”
เจียงอี้พยักหน้าและแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปเพื่อตรวจสอบหุบเขาที่ชายฝั่ง ไม่นานนัก ดวงตาของเขาก็เย็นชาขณะที่เขาพยักหน้าและพูดว่า “อย่างที่คาดไว้ มีหน่วยสอดแนมซ่อนอยู่ที่นั่น เก็บเรือลิขิตสวรรค์และบินไป”
บรึฟ!
ทุกคนยืนอยู่ข้างในขณะที่ซ่งจงเปิดม่านพลังของเรือลิขิตสวรรค์ แหวนในมือของเขาส่องประกายก่อนที่เรือจะหายไป แหวนของเขาเปล่งประกายอีกครั้ง จากนั้นรถม้าหรูหราสองคันก็ปรากฏขึ้นมา ซ่งจงป้องกำปั้นและพูดด้วยความเคารพว่า “นายหญิง คุณหนู, นายน้อย โปรดขึ้นรถม้าเถอะขอรับ”
ถานไถชี่อุ้มเสี่ยวหยีและเสี่ยวเทียนเข้าไปในรถม้าขณะที่สาวใช้ก็เดินตามไปด้วย ส่วนซ่งจงก็ชี้ไปที่รถม้าอีกคันและพูดว่า “ท่านใต้เท้า โปรดขึ้นรถม้าขอรับ”
เจียงอี้พุ่งเข้าไปในรถม้าทันที ภายในนั้นกว้างขวางมากและสามารถจุคนได้มากถึงสิบคน แต่ซ่งจงและคนอื่นๆมีมากกว่าห้าสิบคน ดังนั้นจึงมีที่ไม่พอ
ซ่งจงและคนอื่นๆไม่มีความตั้งใจที่จะขึ้นรถม้าอยู่แล้วขณะที่มีหนึ่งในนั้นขึ้นไปนั่งข้างหน้ารถม้าและควบรถม้าเพื่อเดินหน้าไป ส่วนคนที่เหลือก็คอยล้อมรถม้าทั้งสองคันไว้
“ซ่งจง มีหน่วยสอดแนมสองคนอยู่ที่หน้าผาหินทางซ้าย สังหารพวกมันซะ!”
ดวงตาของเจียงอี้ส่องประกายความเย็นชาออกมาขณะที่เขาตะโกนออกไป จากนั้นซ่งจงก็กลายเป็นลำแสงและบินไปทางซ้ายและพบหน่วยสอดแนมที่ซ่อนอยู่อย่างรวดเร็ว ธนูสีทองปรากฏขึ้นในมือของเขาขณะที่เขาง้างธนูออกมาจนสุดพร้อมกับศรเหล็กแล้วยิงไปที่ถ้ำบนหน้าผา
ตูม!
ถ้ำเล็กๆบนหน้าผาระเบิดออกมา หน่วยสอดแนมขอบเขตเทียนจุนทั้งสองเพิ่งเปิดใช้งานโล่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา แต่มันก็แตกสลายไปทันทีและร่างของพวกเขาก็กลายเป็นหมอกโลหิตไป เจียงอี้เหลือบมองและพยักหน้าอยู่เงียบๆ ความแข็งแกร่งของซ่งจงนี้น่าจะเทียบได้กับหยางตงและถือว่าใช้ได้
“ไปกันเถอะ!”
เจียงอี้ตะโกนออกมาขณะที่รถม้าทั้งสองคันบินข้ามท้องฟ้าไป ซ่งจงและคนอื่นๆคอยล้อมรถม้าเอาไว้และพุ่งไปทางทิวเขาอันเขียวชอุ่ม พวกเขาไม่กล้าบินสูงเกินไปและค่อยๆข้ามภูเขาไป ความเร็วนั้นช้ากว่าเรือลิขิตสวรรค์ แต่มันก็ปลอดภัยกว่ามากเนื่องจากเรือที่ยาวกว่าสามร้อยเมตรเด่นชัดเกินไป
“เปลี่ยนทิศทาง ไปทางขวา!” “เปลี่ยนทิศ ไปทางซ้าย!”
เจียงอี้ออกคำสั่งของเขาเรื่อยๆขณะที่ซ่งจงและคนอื่นๆจะเปลี่ยนทิศอย่างไม่ลังเล หลังจากบินมาทั้งวัน ซ่งจงและคนอื่นๆพากันตกตะลึงและรู้สึกยินดี….เพราะวันนี้พวกเขาไม่พบกองโจรแม้แต่คนเดียวเลย ทุกคนเริ่มสงสัยว่านี่คือทวีปจักรพรรดิบูรพาจริงๆหรือเปล่า
ที่นี่คือทวีปจักรพรรดิบูรพาจริงๆ แต่ทำไมพวกเขาไม่พบโจรเลยหลังจากที่บินมาทั้งวัน? มันสามารถอธิบายได้อย่างเดียวเลยคือดวงตาสวรรค์ของเจียงอี้ หรืออาจเป็นเพราะสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสะพรึงของเจียงอี้ที่สามารถสำรวจไปได้หลายล้านกิโลเมตร
ไม่ว่าจะเป็นอะไร ความปลอดภัยนั้นเป็นเรื่องดี เมื่อเริ่มมืด ซ่งจงก็บินไปข้างรถม้าของเจียงอี้และพูดว่า “ท่านใต้เท้า เราต้องหาที่ค้างคืนขอรับ ในยามราตรีของแถบนี้ค่อนข้างน่ากลัวเพราะจะมีลมดาราขอรับ”
“ลมดารา?” นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงอี้ได้ยินเรื่องนี้ เขาถามอย่าสงสัยว่า “ลมดาราคืออะไรกัน? เราสามารถบินต่ำกว่านี้และเดินทางช้าลงได้ไหม?”
“ไร้ประโยชน์ขอรับ!”
ซ่งจงฝืนยิ้มและอธิบายว่า “ลมดารานั้นเงียบสงัด มันไม่มีตัวตน มันเร็วมากและมีพลังโจมตีที่ดุร้าย นอกจากเราจะเดินทางด้วยเท้า แต่นั่นก็จะทำให้การเดินทางของเราช้ามาก บางคนอาจใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจจับลมดาราได้ลางๆแต่ก็ยังอันตรายเกินไป เราตั้งค่ายกันเพื่อพักค้างคืนแล้วเดินทางใหม่พรุ่งนี้เช้าจะดีกว่าขอรับ”
“เข้าใจแล้ว ไปหาที่ตั้งค่ายเถอะ”
เจียงอี้ตอบกลับอย่างเฉยเมยและรู้สึกสงสัยมาก ทำไมถึงมีลมดาราประหลาดอยู่บนทวีปจักรพรรดิบูรพา? แล้วลมดาราพวกนี้ก่อตัวขึ้นได้ยังไงกัน?
ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้นั้นสอดแนมไปได้ทุกการเคลื่อนไหวในระยะสิบล้านกิโลเมตร ทันทีที่มีกองโจรปรากฏขึ้น เขาจะรู้ได้ทันที จึงทำให้พวกเขาหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย
กองทัพเพลิงทมิฬเองก็พยายามไล่ล่าพวกเขามานานกว่าวันครึ่งแล้ว แต่เจียงอี้ก็หนีจากพวกเขาได้ ในทะเลอันกว้างใหญ่นี้ กองทัพเพลิงทมิฬคงหาพวกเขาไม่เจอแม้ว่าจะมีญาณทิพย์ก็ตาม
ในช่วงสองวันนี้ นอกจากการสอดแนมแล้ว เจียงอี้จะเล่นกับเสี่ยวหยีหรือไม่ก็ถามซ่งจงเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดในทวีปจักรพรรดิบูรพา เขาไม่เคยทานมื้ออื่นร่วมกับถานไถชี่อีก อันที่จริงแล้ว พวกเขาคุยกันไม่ถึงห้าประโยคด้วยซ้ำ และถานไถชี่ก็มีไหวพริบมากในเรื่องนี้ วันนี้นางจึงไม่เผยตัวออกมาเลย
เจียงอี้ไม่ได้ไร้หัวใจ แต่เขามีเรื่องที่ต้องทำมากเกินไปและเขาจะต้องไม่เป็นที่จับตามากเกินไป หากตัวตนเขาถูกเปิดเผย เขาจะต้องทนทุกข์กับการถูกไล่ล่าจากตระกูลใหญ่ๆทั้งหลาย ความสามารถของวิชาเทพพลางตาเองก็น่าเหลือเชื่อ แต่ใครจะรับประกันได้ว่าเก้าตระกูลจักรพรรดิจะไม่มีคนที่มีความสามารถพิเศษ ใครจะรับประกันได้ว่าเผ่าพันธุ์พิเศษนับหมื่นจะไม่มีความสามารถในการทำลายวิชาเทพพรางตา?
ขณะที่เรือลิขิตสวรรค์เดินทางต่อไป พวกเขาก็ใกล้ทวีปจักรพรรดิบูรพามากขึ้นเรื่อยๆ ใจของเจียงอี้นั้นไม่สามารถสงบนิ่งได้เลยเพราะหญิงที่เขารักที่สุดและแม่ของเขาอยู่ในทวีปนี้
หนึ่งวันต่อมา ในที่สุดร่างสีดำก็ปรากฏขึ้นมาขณะที่ทุกคนโผล่ออกมาจากห้องของตัวเอง ถานไถชี่สวมชุดสีดำและนางมีผ้าคลุมหน้าสีดำเพื่อเลี่ยงไม่ให้ความงามของนางสร้างปัญหามากขึ้น
เจียงอี้ลูบหัวของเสี่ยวหยีและเข้าไปในห้องโดยสารก่อนที่จะปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาครั้งสุดท้ายและตรวจสอบให้มั่นใจว่าสภาพแวดล้อมรอบๆปลอดภัย
เขาสำรวจทวีปที่ไร้ขอบเขตนี้และชายทะเลก็ไม่ใช่หาดทรายแต่เป็นแนวเขาที่เขียวชอุ่มแทน มีสัตว์อสูรอยู่บนเขามากมาย แต่พวกมันเป็นสัตว์อสูรระดับต่ำ นอกจากนี้ยังมีระลอกคลื่นอาคมเล็กน้อยจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นฐานของกองโจร เจียงอี้ใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์สำรวจเป็นล้านกิโลเมตรแต่ไม่พบเมืองใดเลยจริงๆหรือนี่
“ทวีปจักรพรรดิบูรพานี่กว้างใหญ่เพียงใดกันนะ?”
เจียงอี้ตะลึงอยู่เงียบๆ ทวีปจักรพรรดิบูรพาต้องมีเมืองมากมายนับไม่ถ้วน แต่หากเขาหาเมืองไม่เจอแม้แต่เมืองเดียวในระยะล้านกิโลเมตรนี้ นั่นก็หมายความว่าทวีปนี้มีขนาดใหญ่มาก เจียงอี้ยังคงแผ่ญาณศักดิ์สิทธิ์ออกไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็พบเมืองเล็กๆที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปกว่าสองล้านกิโลเมตร
“เมืองเขี้ยวหมาป่า?”
เจียงอี้ถอนญาณศักดิ์สิทธิ์กลับมาและหยิบแผนที่ออกมาจากแหวนมิติเพื่อมองดูใกล้ๆ และในที่สุดเขาก็ยืนยันภูมิภาคที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ได้แล้ว พวกเขาอยู่ทางตะวันตกกลางของภูมิภาคเขตแดนริมน้ำ ทางเหนือจะเป็นเขตแดนสวรรค์ และเมื่อเลยไปอีกก็จะเป็นเขตแดนแสงอรหังซึ่งเป็นเขตแดนของตระกูลอี เขาจะต้องเดินทางผ่านเขตแดนแสงอรหังไปเพื่อที่เขตแดงอรหังที่อยู่ทางทิศตะวันออกและไปถึงเมืองอรหังในที่สุด
“ข้าจะไปที่เมืองเขี้ยวหมาป่าก่อนที่ข้าจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อจากไป”
เจียงอี้ไม่อยากเสียเวลาเดินทาง เนื่องจากเขตแดนนี้เพียงเขตเดียวก็ใหญ่เท่าเผ่าเทพประทานแล้ว หากเขาต้องเดินทางข้ามเขตแดน เขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าหกเดือนแม้จะไม่เจออันตรายใดๆ และหากเขาต้องเดินทางข้ามหลายเขตแดน เขาอาจจะต้องใช้เวลาถึงสองสามปี
เจียงอี้เดินออกมาจากห้องและมองไปที่ซ่งจง “เราใกล้ถึงฝั่งแล้ว เราจะเดินทางกันยังไง? เราจะบินไปหรือใช้เรือลิขิตสวรรค์ต่อ?”
“ใช้เรือลิขิตสวรรค์?”
ซ่งจงส่ายหัวและพูดว่า “มีโจรในทวีปมากกว่าในทะเลราวๆร้อยเท่าพันเท่า แม้แต่ตระกูลขนาดกลางก็ยังไม่กล้าใช้เรือลิขิตสวรรค์เลยเพราะมันจะกลายเป็นเป้าใหญ่เกินไป ข้างหน้าจะต้องมีโจรที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขานับไม่ถ้วนแน่นอนและตอนนี้อาจมีหน่วยสอดแนมอยู่ที่ชายฝั่งแล้ว ดังนั้น หากเราสามารถไปถึงเมืองได้อย่างปลอดภัย เราก็ไม่มีทางอื่นเลยนอกจากบินไปแบบปกปิดตัวตนขอรับ”
“เข้าใจแล้ว!”
เจียงอี้พยักหน้าและแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปเพื่อตรวจสอบหุบเขาที่ชายฝั่ง ไม่นานนัก ดวงตาของเขาก็เย็นชาขณะที่เขาพยักหน้าและพูดว่า “อย่างที่คาดไว้ มีหน่วยสอดแนมซ่อนอยู่ที่นั่น เก็บเรือลิขิตสวรรค์และบินไป”
บรึฟ!
ทุกคนยืนอยู่ข้างในขณะที่ซ่งจงเปิดม่านพลังของเรือลิขิตสวรรค์ แหวนในมือของเขาส่องประกายก่อนที่เรือจะหายไป แหวนของเขาเปล่งประกายอีกครั้ง จากนั้นรถม้าหรูหราสองคันก็ปรากฏขึ้นมา ซ่งจงป้องกำปั้นและพูดด้วยความเคารพว่า “นายหญิง คุณหนู, นายน้อย โปรดขึ้นรถม้าเถอะขอรับ”
ถานไถชี่อุ้มเสี่ยวหยีและเสี่ยวเทียนเข้าไปในรถม้าขณะที่สาวใช้ก็เดินตามไปด้วย ส่วนซ่งจงก็ชี้ไปที่รถม้าอีกคันและพูดว่า “ท่านใต้เท้า โปรดขึ้นรถม้าขอรับ”
เจียงอี้พุ่งเข้าไปในรถม้าทันที ภายในนั้นกว้างขวางมากและสามารถจุคนได้มากถึงสิบคน แต่ซ่งจงและคนอื่นๆมีมากกว่าห้าสิบคน ดังนั้นจึงมีที่ไม่พอ
ซ่งจงและคนอื่นๆไม่มีความตั้งใจที่จะขึ้นรถม้าอยู่แล้วขณะที่มีหนึ่งในนั้นขึ้นไปนั่งข้างหน้ารถม้าและควบรถม้าเพื่อเดินหน้าไป ส่วนคนที่เหลือก็คอยล้อมรถม้าทั้งสองคันไว้
“ซ่งจง มีหน่วยสอดแนมสองคนอยู่ที่หน้าผาหินทางซ้าย สังหารพวกมันซะ!”
ดวงตาของเจียงอี้ส่องประกายความเย็นชาออกมาขณะที่เขาตะโกนออกไป จากนั้นซ่งจงก็กลายเป็นลำแสงและบินไปทางซ้ายและพบหน่วยสอดแนมที่ซ่อนอยู่อย่างรวดเร็ว ธนูสีทองปรากฏขึ้นในมือของเขาขณะที่เขาง้างธนูออกมาจนสุดพร้อมกับศรเหล็กแล้วยิงไปที่ถ้ำบนหน้าผา
ตูม!
ถ้ำเล็กๆบนหน้าผาระเบิดออกมา หน่วยสอดแนมขอบเขตเทียนจุนทั้งสองเพิ่งเปิดใช้งานโล่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา แต่มันก็แตกสลายไปทันทีและร่างของพวกเขาก็กลายเป็นหมอกโลหิตไป เจียงอี้เหลือบมองและพยักหน้าอยู่เงียบๆ ความแข็งแกร่งของซ่งจงนี้น่าจะเทียบได้กับหยางตงและถือว่าใช้ได้
“ไปกันเถอะ!”
เจียงอี้ตะโกนออกมาขณะที่รถม้าทั้งสองคันบินข้ามท้องฟ้าไป ซ่งจงและคนอื่นๆคอยล้อมรถม้าเอาไว้และพุ่งไปทางทิวเขาอันเขียวชอุ่ม พวกเขาไม่กล้าบินสูงเกินไปและค่อยๆข้ามภูเขาไป ความเร็วนั้นช้ากว่าเรือลิขิตสวรรค์ แต่มันก็ปลอดภัยกว่ามากเนื่องจากเรือที่ยาวกว่าสามร้อยเมตรเด่นชัดเกินไป
“เปลี่ยนทิศทาง ไปทางขวา!” “เปลี่ยนทิศ ไปทางซ้าย!”
เจียงอี้ออกคำสั่งของเขาเรื่อยๆขณะที่ซ่งจงและคนอื่นๆจะเปลี่ยนทิศอย่างไม่ลังเล หลังจากบินมาทั้งวัน ซ่งจงและคนอื่นๆพากันตกตะลึงและรู้สึกยินดี….เพราะวันนี้พวกเขาไม่พบกองโจรแม้แต่คนเดียวเลย ทุกคนเริ่มสงสัยว่านี่คือทวีปจักรพรรดิบูรพาจริงๆหรือเปล่า
ที่นี่คือทวีปจักรพรรดิบูรพาจริงๆ แต่ทำไมพวกเขาไม่พบโจรเลยหลังจากที่บินมาทั้งวัน? มันสามารถอธิบายได้อย่างเดียวเลยคือดวงตาสวรรค์ของเจียงอี้ หรืออาจเป็นเพราะสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสะพรึงของเจียงอี้ที่สามารถสำรวจไปได้หลายล้านกิโลเมตร
ไม่ว่าจะเป็นอะไร ความปลอดภัยนั้นเป็นเรื่องดี เมื่อเริ่มมืด ซ่งจงก็บินไปข้างรถม้าของเจียงอี้และพูดว่า “ท่านใต้เท้า เราต้องหาที่ค้างคืนขอรับ ในยามราตรีของแถบนี้ค่อนข้างน่ากลัวเพราะจะมีลมดาราขอรับ”
“ลมดารา?” นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงอี้ได้ยินเรื่องนี้ เขาถามอย่าสงสัยว่า “ลมดาราคืออะไรกัน? เราสามารถบินต่ำกว่านี้และเดินทางช้าลงได้ไหม?”
“ไร้ประโยชน์ขอรับ!”
ซ่งจงฝืนยิ้มและอธิบายว่า “ลมดารานั้นเงียบสงัด มันไม่มีตัวตน มันเร็วมากและมีพลังโจมตีที่ดุร้าย นอกจากเราจะเดินทางด้วยเท้า แต่นั่นก็จะทำให้การเดินทางของเราช้ามาก บางคนอาจใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจจับลมดาราได้ลางๆแต่ก็ยังอันตรายเกินไป เราตั้งค่ายกันเพื่อพักค้างคืนแล้วเดินทางใหม่พรุ่งนี้เช้าจะดีกว่าขอรับ”
“เข้าใจแล้ว ไปหาที่ตั้งค่ายเถอะ”
เจียงอี้ตอบกลับอย่างเฉยเมยและรู้สึกสงสัยมาก ทำไมถึงมีลมดาราประหลาดอยู่บนทวีปจักรพรรดิบูรพา? แล้วลมดาราพวกนี้ก่อตัวขึ้นได้ยังไงกัน?