เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 880 วิกฤติ
“ไม่สามารถจ่ายค่าค่ายกลเคลื่อนย้ายไหว?”
เจียงอี้เหลือบมองซ่งจงอย่างสงสัยและกล่าวว่า “ค่าใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแพงมากเลยหรือ?”
“มันยิ่งกว่าแพงอีกขอรับ มันแพงเกินกว่าที่จะยอมรับได้!”
ซ่งจงยิ้มอย่างขมขื่นและส่งข้อความเสียงต่อ “หากมีป้ายคำสั่งที่ออกโดยเก้าตระกูลจักรพรรดิ บางที ประมุขตระกูลธรรมดาอาจจะพอจ่ายไหว เมื่อมีป้ายของเก้าตระกูลจักรพรรดิ จะลดราคาได้ครึ่งหนึ่งในหลายๆอาณาเขต บางที่ก็หนึ่งในสิบส่วน หรือบางที่ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเลยขอรับ ป้ายของพวกเขามีค่ามาก อย่างในเขตแดนสวรรค์ของเรา มีเพียงประมุขอาณาเขตเท่านั้นที่มีป้ายนี้ หากไม่มีป้ายเก้าตระกูลจักรพรรดิ แต่เมื่อมีป้ายที่ออกให้โดยประมุขอาณาเขตก็จะดีกว่าเล็กน้อย คนผู้นั้นจะจ่ายเพียงครึ่งราคาเท่านั้น แต่เราไม่มีป้ายใดๆเลย ป้ายของนายหญิงนั้น เราไม่สามารถแม้แต่จะเคลื่อนย้ายออกจากอาณาเขตแดนสวรรค์ได้เลยขอรับ”
เจียงอี้รู้สึกสับสนกับคำพูดของเขา เขามีความอดทนเพียงเล็กน้อยและส่งข้อความเสียงกลับไปว่า “ขยะทั้งนั้น เข้าเรื่องเถอะ! เจ้าต้องใช้ศิลาสวรรค์กี่ก้อนในการเคลื่อนย้ายหนึ่งครั้ง?”
“อืมม”
ซ่งจงตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ในเขตแดนสวรรค์มันน่าจะใช้ศิลาสวรรค์อย่างต่ำแสนก้อนขอรับ”
เจียงอี้เลิกคิ้วและไม่ได้จริงจังกับมันเท่าใดนัก ศิลาสวรรค์แสนก้อนไม่ได้มีค่าสำหรับเขา ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เฉียนว่านก้วนได้มอบศิลาสวรรค์ให้เขามาหมื่นล้านก้อน
ซ่งจงเห็นว่าเจียงอี้ไม่ได้แปลกใจและรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “ท่านใต้เท้า นี่ไม่ใช่แค่การส่งผู้คนไปยังเมืองใดก็ได้ แต่มันไปได้แค่เมืองใกล้เคียงเท่านั้น เช่นนั้น จึงต้องทำการเดินทางไปที่จุดหมายทีละเมือง และจากที่นี่ไปยังเขตแดนสวรรค์ ข้าคิดว่าน่าจะมีการเคลื่อนย้ายอย่างน้อยหนึ่งพันครั้งขอรับ แน่นอน….หากเรามีป้ายคำสั่ง การเคลื่อนย้ายไปทางไกลก็เป็นไปได้ขอรับ”
“พันครั้ง?”
เจียงอี้ มันไม่มีปัญหามากเกินไปหรือ? แต่เขาก็ไม่ได้กังวล แม้มันจะมีราคาแพงแต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เขายังรับได้ แม้ว่าจะต้องใช้ศิลาสวรรค์ไม่กี่พันล้านก้อน แต่เขาก็คงไม่แม้แต่จะกระพริบตา ท้ายที่สุดแล้ว ภาพวาดหนึ่งภาพของเขาก็ขายได้ศิลาสวรรค์แสนล้านก้อน
“ก็ได้ ข้าจะช่วยเจ้าแล้วกัน ยังไงเสียข้าก็ต้องไปทางเหนือ ข้าจะพาไปยังเขตแดนสวรรค์แล้วกัน”
เจียงอี้โบกมือของเขา เขาจะไปเมืองจักรพรรดิอรหังและต้องผ่านเขตแดนสวรรค์อยู่แล้ว และเมื่อราคาของคนหนึ่งกลุ่มกับหนึ่งคนนั้นเท่ากัน เขาก็แค่พาคนพวกนี้ไปด้วยก็พอ
“ขอบคุณท่านใต้เท้ามากขอรับ”
ซ่งจงมีความสุขมากเนื่องจากเจียงอี้ได้ให้คำมั่นแล้ว และเขาก็ไม่ได้ขาดศิลาสวรรค์ ในเวลาเดียวกัน ซ่งจงก็รู้สึกละอายเล็กน้อย เขาต้องให้เจียงอี้คอยปกป้องตลอดทางและยังพึ่งพาศิลาสวรรค์ของเจียงอี้เพื่อใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายอีก
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว พวกเขามาถึงเมืองเล็กๆ หลังจากที่ซ่งจงมอบศิลาสวรรค์ไม่กี่ก้อนที่ประตู พวกเขาก็เดินเข้าไป
ในเมืองเล็กๆนั้นมีผู้คนไม่มากนัก แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าคนส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา แต่แน่นอนว่ามีจอมยุทธหลายคนและมีขอบเขตเทียนจุนบางคน ซ่งจงพาทุกคนไปยังโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุด จากนั้นก็ลากรถม้าเข้าไปที่สวนข้างหลังและทหารยามทั้งหมดก็อยู่ที่ห้องพักด้านหน้า ส่วนเจียงอี้, ถานไถชี่และคนอื่นๆก็แยกกันอยู่คนละลานตำหนัก
เจียงอี้ตรวจสอบแล้วว่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเป็นเพียงขอบเขตเทียนจุนธรรมดาและไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ เมื่อมีซ่งจงและคนอื่นๆ เขาก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป เขาตรงเข้าไปในห้องและผล็อยหลับไป
เมื่อรุ่งสาง ซ่งจงก็ให้คนส่งอาหารเช้าเข้ามาให้ จากนั้นพวกเขาก็ออกจากเมืองไปยังเมืองเขี้ยวหมาป่า แต่พวกเขาก็ทำตัวติดดินไว้และไม่ได้ขึ้นรถม้าศึกแต่ซื้อเป็นรถม้าธรรมดาสองคันแทน
“หยุด ตรวจค้น!”
เมื่อพวกเขาเข้าไปในประตูเมืองก็เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย ทหารกลุ่มหนึ่งกำลังทำการตรวจค้นตามปกติและผู้บัญชาการตัวน้อยก็หลงเสน่ห์ถานไถชี่ โชคดีที่เจียงอี้ปล่อยร่องรอยของกลิ่นอายออกมาเล็กน้อย ไม่เช่นนั้น ผู้บัญชาการผู้นี้อาจผลีผลามทันที
เจียงอี้ปล่อยกลิ่นอายขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดออกมา ซึ่งแน่นอนว่าผู้บัญชาการตัวน้อยคนนี้ไม่กล้ายั่วยุพวกเขา ท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะถูกสังหาร แต่เมืองเขี้ยวหมาป่าก็จะไม่รุกรานยอดฝีมือที่ทรงพลังเพื่อเขา
ทั้งกลุ่มเข้าเมืองมาได้สำเร็จ เจียงอี้เองก็ไม่ได้ต้องการสร้างปัญหาใดๆและให้ซ่งจงตรงไปยังจัตุรัสในเมืองทันที เขากำลังจะเคลื่อนย้ายทุกคนไป
ด้านซ่งจงก็ส่งข้อความเสียงไปยังถานไถชี่แล้วและบอกนางเกี่ยวกับแผนการของเจียงอี้ที่จะส่งพวกเขาไปยังเขตแดนสวรรค์ ถานไถชี่เองก็รู้วิธีปฏิบัติตัวเป็นอย่างดี นางมอบศิลาสวรรค์นับสิบล้านก้อนให้ซ่งจงและบอกให้เขาใช้เงินนางก่อน
เมื่อซ่งจงมาถึงจัตุรัสของเมือง เขาก็พูดกับทหารยามที่อยู่ข้างค่ายกลเคลื่อนย้ายทันที เขายื่นศิลาสวรรค์ก่อนจะรายงานแบบกระซิบว่า “ท่านใต้เท้าเสวี่ย ท่านหญิง ค่ายกลเคลื่อนย้ายพร้อมแล้วขอรับ”
พวกเขาลงจากรถม้าไปและถานไถชี่ก็ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมสีดำ ซึ่งมันไม่มีทางเห็นใบหน้าของนางได้ชัดนัก แต่เรือนร่างอันเย้ายวนของนางก็ดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากเช่นกัน เจียงอี้, ซ่งจงและคนอื่นๆมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งมาก ไม่เช่นนั้นบางคนอาจจะเกิดความคิดชั่วร้ายได้
หลังจากเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้ว ซ่งจงก็มองผู้บัญชาการข้างค่ายกลเคลื่อนย้ายซึ่งโบกมือและพูดว่า “เปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้าย!”
บรึฟ!
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนสิบกว่าคนปล่อยแก่นแท้พลังออกไปและเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายพร้อมกัน แสงสว่างเริ่มส่องเข้ามาและพื้นที่รอบๆเจียงอี้ก็ยังคงสั่นไหว ลำแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและการเคลื่อนย้ายก็เริ่มต้นขึ้น
“ไม่ใช่แบบนี้สิ!”
ในขณะนี้ เจียงอี้มีสีหน้าเปลี่ยนไป ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นี่ต่างจากเกาะแห่งบาป ไม่เพียงแต่ห้วงอากาศที่เปลี่ยนแต่ดวงจิตของเขาก็ผันผวนไปด้วย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ดวงจิตของเขาจะสั่นเทา แต่เขาตระหนักได้ว่าวิชาเทพพลางตาของเขาถูกลบไปเองด้วย
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือระหว่างการเคลื่อนย้าย เขาจะกลับสู่รูปลักษณ์เดิมพร้อมกับกลิ่นอายดวงจิตของเขาด้วย
บรึฟ!
ค่ายกลเคลื่อนย้ายเรืองรองด้วยแสงสีขาวจ้า เจียงอี้และคนอื่นๆหายไปจากค่ายกล และการสั่นของห้วงมิติก็ทำให้เจียงอี้รู้สึกวิงเวียนชั่วขณะ
เมื่อเจียงอี้รู้สึกว่าขาของเขาแตะพื้นแล้ว เขาก็เปลี่ยนกลิ่นอายวิญญาณทันที แต่เขาไม่กล้าเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาด้วยวิชาเทพพลางตาและรีบก้มหน้าลงแทน
สิ่งที่ทำให้เจียงอี้ตกใจได้เกิดขึ้น หลังจากที่พวกเขาถูกย้ายมา สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เคลื่อนผ่านมายังพวกเขาทันที หลังจากที่มองดูไม่กี่รอบ สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็หยุดอยู่ที่ถานไถชี่
เจียงอี้ถอนหายใจอย่างโล่งอกและแอบเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาเล็กน้อยโดยใช้วิชาเทพพลางตา ในเวลาเดียวกัน เขาก็ส่งข้อความเสียงไปทุกคนรอบตัวเขา “ออกไปทางจัตุรัส อย่าเพิ่งย้ายเมืองและอย่ามองมาทางข้า!”
ซ่งจงและกลุ่มของเขาไม่กล้าขัดคำสั่งและเดินออกจากค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังจัตุรัสเมืองอย่างเชื่อฟัง เด็กทั้งสองที่ถูกสาวใช้อุ้มอยู่ก็ค่อนข้างหน้ามืดหลังจากเคลื่อนย้ายเมืองและฟื้นตัวในเวลาไม่นาน เสี่ยวหยีเหลือบมองเจียงอี้และร้องออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านอา ทำไมท่านถึงหล่อเหลาขึ้นเพียงนี้?”
ถานไถชี่ไม่เสี่ยงมองไปที่เจียงอี้ แต่นางก็แอบมองเขาโดยไม่รู้ตัว และนางก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าเจียงอี้เปลี่ยนจากชายผิวดำที่มีกล้ามเป็นมัดกลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม
เจียงอี้รู้สึกประหม่ามากเมื่อพบว่ามีคนมากมายมองมาที่เขา ผู้บัญชาการทั้งสองคนเผยหน้าตาเย็นชา แต่เจียงอี้ก็ยิ้มและบีบหน้าเสี่ยวหยีและพูดว่า “นี่ เสี่ยวหยี เมื่อคืนนี้อาชำระร่างกายมา ใบหน้าข้าไม่สกปรกแล้ว ข้าก็เลยหล่อเหลาขึ้น!”
ถานไถชี่หันมามองและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวหยี เดี๋ยวเราไปซื้อเสื้อผ้าดีๆให้ท่านอาและทำให้เขาหล่อเหลาขึ้นกันนะ!”
เจียงอี้รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อเห็นความตื่นตัวจางหายไปท่ามกลางทหารที่อยู่ใกล้ๆ ถานไถชี่ออกคำสั่งว่า “ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ ข้าหิวแล้ว”
พวกเขารีบออกไปอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังของเจียงอี้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่เย็นเยียบ โชคดีที่นี่เป็นเมืองเล็กๆและไม่มีใครจำเขาได้ หากเขาถูกส่งไปเมืองใหญ่และสมาชิกตระกูลใหญ่ที่มีข้อมูลของเขา ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยทันที
ระหว่างทาง จิตใจของเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัยและแปลกใจ เหตุใดค่ายกลเคลื่อนย้ายบนทวีปจักรพรรดิบูรพาจึงเป็นเช่นนี้? มันเขย่าดวงจิตได้ หากค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งหมดเป็นแบบนี้ เขาคงไม่สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้อีกต่อไปและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบินไปที่เมืองจักรพรรดิอรหัง
��
เจียงอี้เหลือบมองซ่งจงอย่างสงสัยและกล่าวว่า “ค่าใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแพงมากเลยหรือ?”
“มันยิ่งกว่าแพงอีกขอรับ มันแพงเกินกว่าที่จะยอมรับได้!”
ซ่งจงยิ้มอย่างขมขื่นและส่งข้อความเสียงต่อ “หากมีป้ายคำสั่งที่ออกโดยเก้าตระกูลจักรพรรดิ บางที ประมุขตระกูลธรรมดาอาจจะพอจ่ายไหว เมื่อมีป้ายของเก้าตระกูลจักรพรรดิ จะลดราคาได้ครึ่งหนึ่งในหลายๆอาณาเขต บางที่ก็หนึ่งในสิบส่วน หรือบางที่ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเลยขอรับ ป้ายของพวกเขามีค่ามาก อย่างในเขตแดนสวรรค์ของเรา มีเพียงประมุขอาณาเขตเท่านั้นที่มีป้ายนี้ หากไม่มีป้ายเก้าตระกูลจักรพรรดิ แต่เมื่อมีป้ายที่ออกให้โดยประมุขอาณาเขตก็จะดีกว่าเล็กน้อย คนผู้นั้นจะจ่ายเพียงครึ่งราคาเท่านั้น แต่เราไม่มีป้ายใดๆเลย ป้ายของนายหญิงนั้น เราไม่สามารถแม้แต่จะเคลื่อนย้ายออกจากอาณาเขตแดนสวรรค์ได้เลยขอรับ”
เจียงอี้รู้สึกสับสนกับคำพูดของเขา เขามีความอดทนเพียงเล็กน้อยและส่งข้อความเสียงกลับไปว่า “ขยะทั้งนั้น เข้าเรื่องเถอะ! เจ้าต้องใช้ศิลาสวรรค์กี่ก้อนในการเคลื่อนย้ายหนึ่งครั้ง?”
“อืมม”
ซ่งจงตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ในเขตแดนสวรรค์มันน่าจะใช้ศิลาสวรรค์อย่างต่ำแสนก้อนขอรับ”
เจียงอี้เลิกคิ้วและไม่ได้จริงจังกับมันเท่าใดนัก ศิลาสวรรค์แสนก้อนไม่ได้มีค่าสำหรับเขา ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เฉียนว่านก้วนได้มอบศิลาสวรรค์ให้เขามาหมื่นล้านก้อน
ซ่งจงเห็นว่าเจียงอี้ไม่ได้แปลกใจและรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “ท่านใต้เท้า นี่ไม่ใช่แค่การส่งผู้คนไปยังเมืองใดก็ได้ แต่มันไปได้แค่เมืองใกล้เคียงเท่านั้น เช่นนั้น จึงต้องทำการเดินทางไปที่จุดหมายทีละเมือง และจากที่นี่ไปยังเขตแดนสวรรค์ ข้าคิดว่าน่าจะมีการเคลื่อนย้ายอย่างน้อยหนึ่งพันครั้งขอรับ แน่นอน….หากเรามีป้ายคำสั่ง การเคลื่อนย้ายไปทางไกลก็เป็นไปได้ขอรับ”
“พันครั้ง?”
เจียงอี้ มันไม่มีปัญหามากเกินไปหรือ? แต่เขาก็ไม่ได้กังวล แม้มันจะมีราคาแพงแต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เขายังรับได้ แม้ว่าจะต้องใช้ศิลาสวรรค์ไม่กี่พันล้านก้อน แต่เขาก็คงไม่แม้แต่จะกระพริบตา ท้ายที่สุดแล้ว ภาพวาดหนึ่งภาพของเขาก็ขายได้ศิลาสวรรค์แสนล้านก้อน
“ก็ได้ ข้าจะช่วยเจ้าแล้วกัน ยังไงเสียข้าก็ต้องไปทางเหนือ ข้าจะพาไปยังเขตแดนสวรรค์แล้วกัน”
เจียงอี้โบกมือของเขา เขาจะไปเมืองจักรพรรดิอรหังและต้องผ่านเขตแดนสวรรค์อยู่แล้ว และเมื่อราคาของคนหนึ่งกลุ่มกับหนึ่งคนนั้นเท่ากัน เขาก็แค่พาคนพวกนี้ไปด้วยก็พอ
“ขอบคุณท่านใต้เท้ามากขอรับ”
ซ่งจงมีความสุขมากเนื่องจากเจียงอี้ได้ให้คำมั่นแล้ว และเขาก็ไม่ได้ขาดศิลาสวรรค์ ในเวลาเดียวกัน ซ่งจงก็รู้สึกละอายเล็กน้อย เขาต้องให้เจียงอี้คอยปกป้องตลอดทางและยังพึ่งพาศิลาสวรรค์ของเจียงอี้เพื่อใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายอีก
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว พวกเขามาถึงเมืองเล็กๆ หลังจากที่ซ่งจงมอบศิลาสวรรค์ไม่กี่ก้อนที่ประตู พวกเขาก็เดินเข้าไป
ในเมืองเล็กๆนั้นมีผู้คนไม่มากนัก แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าคนส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา แต่แน่นอนว่ามีจอมยุทธหลายคนและมีขอบเขตเทียนจุนบางคน ซ่งจงพาทุกคนไปยังโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุด จากนั้นก็ลากรถม้าเข้าไปที่สวนข้างหลังและทหารยามทั้งหมดก็อยู่ที่ห้องพักด้านหน้า ส่วนเจียงอี้, ถานไถชี่และคนอื่นๆก็แยกกันอยู่คนละลานตำหนัก
เจียงอี้ตรวจสอบแล้วว่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเป็นเพียงขอบเขตเทียนจุนธรรมดาและไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ เมื่อมีซ่งจงและคนอื่นๆ เขาก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป เขาตรงเข้าไปในห้องและผล็อยหลับไป
เมื่อรุ่งสาง ซ่งจงก็ให้คนส่งอาหารเช้าเข้ามาให้ จากนั้นพวกเขาก็ออกจากเมืองไปยังเมืองเขี้ยวหมาป่า แต่พวกเขาก็ทำตัวติดดินไว้และไม่ได้ขึ้นรถม้าศึกแต่ซื้อเป็นรถม้าธรรมดาสองคันแทน
“หยุด ตรวจค้น!”
เมื่อพวกเขาเข้าไปในประตูเมืองก็เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย ทหารกลุ่มหนึ่งกำลังทำการตรวจค้นตามปกติและผู้บัญชาการตัวน้อยก็หลงเสน่ห์ถานไถชี่ โชคดีที่เจียงอี้ปล่อยร่องรอยของกลิ่นอายออกมาเล็กน้อย ไม่เช่นนั้น ผู้บัญชาการผู้นี้อาจผลีผลามทันที
เจียงอี้ปล่อยกลิ่นอายขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดออกมา ซึ่งแน่นอนว่าผู้บัญชาการตัวน้อยคนนี้ไม่กล้ายั่วยุพวกเขา ท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะถูกสังหาร แต่เมืองเขี้ยวหมาป่าก็จะไม่รุกรานยอดฝีมือที่ทรงพลังเพื่อเขา
ทั้งกลุ่มเข้าเมืองมาได้สำเร็จ เจียงอี้เองก็ไม่ได้ต้องการสร้างปัญหาใดๆและให้ซ่งจงตรงไปยังจัตุรัสในเมืองทันที เขากำลังจะเคลื่อนย้ายทุกคนไป
ด้านซ่งจงก็ส่งข้อความเสียงไปยังถานไถชี่แล้วและบอกนางเกี่ยวกับแผนการของเจียงอี้ที่จะส่งพวกเขาไปยังเขตแดนสวรรค์ ถานไถชี่เองก็รู้วิธีปฏิบัติตัวเป็นอย่างดี นางมอบศิลาสวรรค์นับสิบล้านก้อนให้ซ่งจงและบอกให้เขาใช้เงินนางก่อน
เมื่อซ่งจงมาถึงจัตุรัสของเมือง เขาก็พูดกับทหารยามที่อยู่ข้างค่ายกลเคลื่อนย้ายทันที เขายื่นศิลาสวรรค์ก่อนจะรายงานแบบกระซิบว่า “ท่านใต้เท้าเสวี่ย ท่านหญิง ค่ายกลเคลื่อนย้ายพร้อมแล้วขอรับ”
พวกเขาลงจากรถม้าไปและถานไถชี่ก็ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมสีดำ ซึ่งมันไม่มีทางเห็นใบหน้าของนางได้ชัดนัก แต่เรือนร่างอันเย้ายวนของนางก็ดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากเช่นกัน เจียงอี้, ซ่งจงและคนอื่นๆมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งมาก ไม่เช่นนั้นบางคนอาจจะเกิดความคิดชั่วร้ายได้
หลังจากเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายแล้ว ซ่งจงก็มองผู้บัญชาการข้างค่ายกลเคลื่อนย้ายซึ่งโบกมือและพูดว่า “เปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้าย!”
บรึฟ!
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนสิบกว่าคนปล่อยแก่นแท้พลังออกไปและเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายพร้อมกัน แสงสว่างเริ่มส่องเข้ามาและพื้นที่รอบๆเจียงอี้ก็ยังคงสั่นไหว ลำแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและการเคลื่อนย้ายก็เริ่มต้นขึ้น
“ไม่ใช่แบบนี้สิ!”
ในขณะนี้ เจียงอี้มีสีหน้าเปลี่ยนไป ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นี่ต่างจากเกาะแห่งบาป ไม่เพียงแต่ห้วงอากาศที่เปลี่ยนแต่ดวงจิตของเขาก็ผันผวนไปด้วย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ดวงจิตของเขาจะสั่นเทา แต่เขาตระหนักได้ว่าวิชาเทพพลางตาของเขาถูกลบไปเองด้วย
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือระหว่างการเคลื่อนย้าย เขาจะกลับสู่รูปลักษณ์เดิมพร้อมกับกลิ่นอายดวงจิตของเขาด้วย
บรึฟ!
ค่ายกลเคลื่อนย้ายเรืองรองด้วยแสงสีขาวจ้า เจียงอี้และคนอื่นๆหายไปจากค่ายกล และการสั่นของห้วงมิติก็ทำให้เจียงอี้รู้สึกวิงเวียนชั่วขณะ
เมื่อเจียงอี้รู้สึกว่าขาของเขาแตะพื้นแล้ว เขาก็เปลี่ยนกลิ่นอายวิญญาณทันที แต่เขาไม่กล้าเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาด้วยวิชาเทพพลางตาและรีบก้มหน้าลงแทน
สิ่งที่ทำให้เจียงอี้ตกใจได้เกิดขึ้น หลังจากที่พวกเขาถูกย้ายมา สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เคลื่อนผ่านมายังพวกเขาทันที หลังจากที่มองดูไม่กี่รอบ สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็หยุดอยู่ที่ถานไถชี่
เจียงอี้ถอนหายใจอย่างโล่งอกและแอบเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาเล็กน้อยโดยใช้วิชาเทพพลางตา ในเวลาเดียวกัน เขาก็ส่งข้อความเสียงไปทุกคนรอบตัวเขา “ออกไปทางจัตุรัส อย่าเพิ่งย้ายเมืองและอย่ามองมาทางข้า!”
ซ่งจงและกลุ่มของเขาไม่กล้าขัดคำสั่งและเดินออกจากค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังจัตุรัสเมืองอย่างเชื่อฟัง เด็กทั้งสองที่ถูกสาวใช้อุ้มอยู่ก็ค่อนข้างหน้ามืดหลังจากเคลื่อนย้ายเมืองและฟื้นตัวในเวลาไม่นาน เสี่ยวหยีเหลือบมองเจียงอี้และร้องออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านอา ทำไมท่านถึงหล่อเหลาขึ้นเพียงนี้?”
ถานไถชี่ไม่เสี่ยงมองไปที่เจียงอี้ แต่นางก็แอบมองเขาโดยไม่รู้ตัว และนางก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าเจียงอี้เปลี่ยนจากชายผิวดำที่มีกล้ามเป็นมัดกลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม
เจียงอี้รู้สึกประหม่ามากเมื่อพบว่ามีคนมากมายมองมาที่เขา ผู้บัญชาการทั้งสองคนเผยหน้าตาเย็นชา แต่เจียงอี้ก็ยิ้มและบีบหน้าเสี่ยวหยีและพูดว่า “นี่ เสี่ยวหยี เมื่อคืนนี้อาชำระร่างกายมา ใบหน้าข้าไม่สกปรกแล้ว ข้าก็เลยหล่อเหลาขึ้น!”
ถานไถชี่หันมามองและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวหยี เดี๋ยวเราไปซื้อเสื้อผ้าดีๆให้ท่านอาและทำให้เขาหล่อเหลาขึ้นกันนะ!”
เจียงอี้รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อเห็นความตื่นตัวจางหายไปท่ามกลางทหารที่อยู่ใกล้ๆ ถานไถชี่ออกคำสั่งว่า “ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ ข้าหิวแล้ว”
พวกเขารีบออกไปอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังของเจียงอี้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่เย็นเยียบ โชคดีที่นี่เป็นเมืองเล็กๆและไม่มีใครจำเขาได้ หากเขาถูกส่งไปเมืองใหญ่และสมาชิกตระกูลใหญ่ที่มีข้อมูลของเขา ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยทันที
ระหว่างทาง จิตใจของเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัยและแปลกใจ เหตุใดค่ายกลเคลื่อนย้ายบนทวีปจักรพรรดิบูรพาจึงเป็นเช่นนี้? มันเขย่าดวงจิตได้ หากค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งหมดเป็นแบบนี้ เขาคงไม่สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้อีกต่อไปและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบินไปที่เมืองจักรพรรดิอรหัง
��