เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 886 มีข่าวมาแล้ว
เจียงอี้หยุดเข้าสู่สันโดษหลังจากที่เขาฝึกฝนเป็นเวลาสองเดือน เขามีศิลาสวรรค์เหลืออยู่ไม่มากและเหลือเพียงสามพันกว่าล้านก้อนเท่านั้น หากเขายังต้องฝึกฝนต่อไปอีกเดือน เขาคิดว่าคงจะมีไม่พอขึ้นเรือลิขิตสวรรค์ไปยังเมืองจักรพรรดิอรหังเป็นแน่
เมื่อเจียงอี้กลับมาที่ห้องโดยสาร เสี่ยวหยีก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งขณะที่นางรบเร้าให้เจียงอี้เล่นกับนางทั้งวัน ถานไถชี่เองก็มีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจเพราะนางรู้สึกสบายมากเมื่อมีเจียงอี้อยู่ใกล้ๆ
หลังจากที่เจียงอี้เล่นกับเสี่ยวหยีมาสองวัน เขาก็เข้าไปในห้องเพื่อเข้าสู่สันโดษอีกครั้ง เจียงอี้นั้นคุ้นเคยกับความเร็วในการฝึกฝนที่เร็วขึ้นพันเท่าและตอนนี้เขาก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่มีความเร็วในการฝึกฝนช้าเช่นนี้ แต่มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยและวัตถุประสงค์หลักของเจียงอี้ก็ไม่ใช่แค่ฝึกฝนแต่เพื่อเข้าถึงศาสตร์เวทย์ และในเวลาเดียวกัน เขาก็ต้องการคิดหาทางที่จะเข้าถึงรูปแบบเต๋าของผู้อาวุโสธาตุลมให้ได้ซึ่งเขาจะปัดเป่าลมดาราไปได้
เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และผ่านไปหนึ่งเดือน เจียงอี้ถูกซ่งจงปลุกให้ตื่นขณะที่พวกเขากำลังจะมาถึงเมืองมังกรสวรรค์และเปลี่ยนเรือลิขิตสวรรค์ไปยังเมืองเพลิงสวรรค์
“ไปกันเถอะ”
หลังจากที่นั่งอยู่ในห้องโถงของห้องโดยสารเป็นเวลาราวๆสองชั่วโมง เจียงอี้ก็เห็นว่าเรือลิขิตสวรรค์หยุดลงและม่านพลังก็เปิดออก มีเมืองใหญ่ๆอยู่ที่ด้านหลัง เขายืนขึ้นและกล่าวว่า “เรามาถึงเมืองมังกรสวรรค์แล้ว เข้าไปในเมืองกันก่อนเถอะ”
ฟรึ่บ!
ทุกคนเตรียมพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว ส่วนสาวใช้ทั้งสองก็อุ้มเด็กไว้คนละคนและทุกคนก็บินออกจากเรือลิขิตสวรรค์ ซ่งจงนำรถม้าศึกออกมาและเชิญถานไถชี่, เจียงอี้ และสาวใช้ทั้งสองเข้าไปข้างใน
กร็อบ กร็อบ กร็อบ!
ซ่งจงนั่งควบรถอยู่ด้านหน้า และหลังจากจ่ายค่าผ่านทางเข้าเมืองแล้ว พวกเขาก็มุ่งตรงไปยังจัตุรัสใจกลางเมืองเพื่อหาโรงเตี๊ยมทันที จากนั้นพวกเขาก็จะไปหาโถงสาขาของตระกูลถังและนั่งเรือลิขิตสวรรค์ที่ไปยังเมืองเพลิงสวรรค์ต่อ
เมืองมังกรสวรรค์แห่งนี้ควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นเมืองขนาดกลางเนื่องจากมันใหญ่กว่าเมืองเขี้ยวหมาป่ามาก เมืองของทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นแบ่งเป็นเมืองหลัก, เมืองขนาดใหญ่, เมืองขนาดกลางและขนาดเล็ก และแน่นอนว่ายังมีหมู่บ้านเล็กๆแยกออกไปอีก
ทุกอาณาเขตนั้นจะมีเมืองหลักเพียงสิบเมือง และตามปกติแล้วทั้งหมดนี้จะถูกควบคุมโดยตระกูลประมุขอาณาเขต หากตระกูลใหญ่มากพอ พวกเขาก็จะคอยควบคุมเมืองขนาดใหญ่ด้วยขณะที่เมืองขนาดกลางและขนาดเล็กจะถูกกระจายไปยังเหล่าตระกูลต่างๆ
ตามที่ซ่งจงกล่าวไว้ ประมุขอาณาเขตหลายคนไม่สนใจเมืองขนาดกลางและขนาดเล็ก จึงทำให้เกิดสงครามวุ่นวายอย่างไม่รู้จบ ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนเจ้าเมืองตลอดซึ่งอาจมากถึงห้าครั้งในสองสัปดาห์
ผู้ที่ปกครองเขตแดนสวรรค์คือตระกูลหลัว และพวกเขาได้รับแต่งตั้งมาเป็นเวลานับแสนปี ซ่งจงบอกว่าตระกูลหลัวเคยควบคุมสองอาณาเขตในสมัยนั้น แต่หลังจากที่พวกเขาถูกกลุ่มตระกูลพันธมิตรโจมตี พวกเขาก็อพยพตระกูลของพวกเขาและซ่อนตัวอยู่ในเขตแดนสวรรค์หลายหมื่นปีก่อนจะฟื้นตระกูลขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อสองหมื่นปีก่อน พวกเขาก็สยบตระกูลประมุขอาณาเขตคนเดิมและครอบครองเขตแดนสวรรค์
ตระกูลสามีของถานไถชี่เป็นผู้บัญชาการทหารองครักษ์ของตระกูลหลัวในตอนนั้น และพวกเขาก็ได้มอบเมืองเพลิงสวรรค์ให้ หลังจากที่รับใช้มาหลายชั่วอายุคนและมีความภักดีต่อตระกูลหลัว ทำให้ตระกูลถานไถมีอำนาจเด็ดขาดในเมืองเพลิงสวรรค์ ตระกูลใหญ่และตระกูลรองมากมายในเมืองต่างก็ยึดมั่นในตระกูลถานไถ ขณะที่ไม่มีโจรใดกล้าโจมตีเมืองเพลิงสวรรค์เนื่องจากตระกูลหลัวเป็นผู้หนุนหลังตระกูลถานไถ
เจียงอี้ได้หาความรู้เกี่ยวกับทวีปจักรพรรดิบูรพามา ที่นี่มีตระกูลที่ยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วนและตระกูลดังกล่าวนั้นไม่ได้มีอำนาจเพียงเพราะความแข็งแกร่งของตระกูลพวกเขาเอง แต่เพราะพวกเขามีตระกูลที่เป็นข้าราชบริพารนับไม่ถ้วน พวกเขาจึงเป็นเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่มีรากนับไม่ถ้วนและครอบครองทั่วทั้งแผ่นดิน หากใครต้องการโค่นไม้ใหญ่นี้ พวกเขาจะต้องตัดรากถอนโคนทั้งหมด ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะต้องเตรียมถูกรายล้อมไปด้วยยอดฝีมือที่นับไม่ถ้วน
“ฮู ฮู…”
เมื่อนึกถึงจุดนี้ ใบหน้าของเจียงอี้ก็เต็มไปด้วยความหนักอึ้ง เมื่อเขาออกจากทวีปเทียนชิงในตอนแรก เขาคิดว่าเขาสามารถใช้ความพากเพียรเพื่อเป็นยอดฝีมือได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็จะสลายตระกูลหวู่ได้เช่นเดียวกับที่เขาทำลายโถงวรยุทธสาขาที่ทวีปเทียนชิงได้
ในตอนนี้ เมื่อมองย้อนกลับไป เขานั้นไร้เดียงสาจริงๆ หลังจากที่มีความเข้าใจมากขึ้น เจียงอี้ก็ยิ่งมีความกลัวต่อเก้าตระกูลจักรพรรดิมากขึ้น พวกเขาอยู่บนทวีปนี้มานานกว่าเจ็ดแสนปี แล้วพวกเขาจะมีข้าราชบริพารกี่ตระกูลที่อยู่ใต้การปกครองของพวกเขา? พวกเขาจะระดมยอดฝีมือได้กี่คน? แล้วจริงๆแล้วอะไรคือจุดแข็งของรากฐานของพวกเขากัน?
ยอดฝีมือไม่ได้คงกระพัน!
เช่นเดียวกับเจียงอี้ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครในขอบเขตเทียนจุนเทียบเขาได้เนื่องจากวิชาเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์และอัสนีพิโรธ หากไม่พูดถึงขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดที่มีภูมิคุ้มกันทักษะเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์, เหล่าผู้ที่เข้าใจความสามารถอันทรงพลัง และเหล่ายอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้ถึงระดับสี่ดาวหรือห้าดาวอีก แม้ว่าเจียงอี้จะสังหารขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดได้โดยไม่คำนึงถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา แล้วเจียงอี้จะสังหารได้กี่คนกัน?
แก่นแท้พลังของจอมยุทธ ความแข็งแกร่ง และพลังงานดวงจิตนั้นล้วนมีจำกัด
หากตระกูลของจักรพรรดิอุดรระดมขอบเขตเทียนจุนเป็นหมื่น เป็นแสนหรือเป็นล้านคนมาล้อมเขา แล้วเขาจะสังหารคนเหล่านั้นได้หมดจริงๆหรือ? ตระกูลรองธรรมดานั้นยังสามารถระดมขอบเขตเทียนจุนได้มาถึงหมื่นคน แล้วตระกูลข้าราชบริพารทั้งตระกูลใหญ่และตระกูลรองของเก้าตระกูลจักรพรรดินั้นมีกี่ตระกูลกัน?
หากจักรพรรดิอุดรหวู่ซางออกคำสั่งลงมา เขาสามารถระดมขอบเขตเทียนจุนร้อยล้านคนเพื่อล้อมและโจมตีเจียงอี้ ซึ่งมันคงทำให้เขาตายไปเพราะความเหนื่อยล้าได้เลย
ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ ข้าจะต้องเอาราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับมาให้ได้!
เจียงอี้คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดและค้นพบว่า นอกเหนือจากการได้ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ, สมบัติของจักรพรรดิลี้ลับและสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างกระบี่ลี้ลับและเกราะลี้ลับ เขาก็ไม่มีทางอื่นที่จะทำลายตระกูลหวู่ได้เลย มันคงไร้ประโยชน์แม้ว่าเขาจะไปถึงขอบเขตกึ่งเทพแล้วก็ตาม เอ๋าหลูได้กล่าวไว้ว่า จักรพรรดิอุดรหวู่ซางนั้นเป็นยอดฝีมือเก้าดาว!
เหลยป้านเซียนก็น่าทึ่งด้วยใช่ไหม?
ห้วงย้อนเวลานั้นเป็นความสามารถที่ท้าทายสวรรค์ แต่เอ๋าหลูบอกว่าเขาเป็นเพียงยอดฝีมือแปดดาว นั่นก็หมายความว่า หวู่ซางเหนือกว่าเหลยป้านเซียนมาก แม้ว่าเจียงอี้จะฝึกฝนจนได้ขึ้นเป็นขอบเขตกึ่งเทพ แต่เขาจะมั่นใจว่าตัวเองจะแข็งแกร่งกว่าเหลยป้านเซียนหรือไม่? เขาจะแข็งแกร่งกว่าหวู่ซางได้หรือไม่?
จักรพรรดิลี้ลับ!
เขาเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดและได้ทิ้งราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ, กระบี่ลี้ลับ, เกราะลี้ลับและสมบัติล้ำค่าเอาไว้มากมาย เขาทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้เบื้องหลังเพราะเขาต้องการให้เหล่าชนชั้นสูงได้ครองสมบัติของเขาและปกป้องมนุษยชาติเอาไว้ ดังนั้น เจียงอี้จึงต้องครอบครองราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับให้ได้ เขาอาจไม่สามารถเป็นจักรพรรดิลี้ลับคนที่สองได้ แต่ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นมากแน่นอน และไปถึงระดับที่น่ากลัวได้
“ใต้เท้าเสวี่ย เราถึงโรงเตี๊ยมแล้วขอรับ”
ในขณะที่เจียงอี้กำลังครุ่นคิดอยู่ ซ่งจงก็ส่งข้อความเสียงเข้ามา จึงทำให้เจียงอี้สลัดความคิดทิ้งไปและเดินออกไปพร้อมถานไถชี่และคนอื่นๆ เขาสังเกตเห็นว่าพวกเขาอยู่ในลานด้านในของโรงเตี๊ยม จากนั้นก็กวักมือเรียกซ่งจงให้ไปหาข้อมูลของเรือลิขิตสวรรค์ที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเพลิงสวรรค์ขณะที่เจียงอี้เข้าไปในห้องอย่างเงียบๆเพื่อพักผ่อน
อันที่จริง เมืองเพลิงสวรรค์ไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่จะไปสู่เมืองจักรพรรดิอรหัง เขาจะต้องใช้ทางอ้อมราวสองสามวัน แต่เนื่องจากเขาสัญญากับเสี่ยวหยีไปแล้ว เจียงอี้จึงจะพาพวกเขาไปส่งที่เมืองเพลิงสวรรค์ ผู้ชายต้องรักษาคำพูดและเจียงอี้ไม่ค่อยให้สัญญาใดๆ แต่เมื่อเขาให้สัญญาแล้ว เขาจะทำทุกอย่างเพื่อมันให้ได้ อย่างที่เขาจะช่วยซูรั่วเสวี่ยและล้างแค้นให้เจียงเปี๋ยหลี!
หลังจากรอมาหกชั่วโมง ท้องฟ้าก็ค่อยๆมืดลง แต่ซ่งจงก็ยังไม่กลับมา และไข่มุกบนร่างของเจียงอี้เองก็สว่างขึ้นแทน
“หืม?”
เจียงอี้ตกใจมาก นี่เป็นไข่มุกจากจักรพรรดิเงาและเขาได้ปฏิบัติตามที่จักรพรรดิเงาบอกไว้ว่าจะไม่เก็บไข่มุกไว้ในแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณและใส่ไว้ในกระเป๋าของเขา เขาไม่เคยสังเกตและไม่คิดว่ามันจะสว่างขึ้นในตอนนี้
“มีข่าวมาแล้ว!”
เจียงอี้ยืนขึ้นและรีบเดินออกจากโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าเขาก็จ้องไปที่บุคคลภายนอกโรงเตี๊ยมซึ่งเป็นจอมยุทธวัยกลางคนที่ดูธรรมดาและอยู่ขอบเขตเทียนจุน ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ด้อยหรือแข็งแกร่งเกินไป และรูปร่างของเขาก็ไม่ได้พิเศษอะไรเช่นกัน เจียงอี้มองไปที่ดวงตาของบุคคลผู้นี้และดวงตาของพวกเขาทั้งสองก็เป็นประกาย เจียงอี้ได้ใช้ไข่มุกนี้เพื่อให้สัมผัสได้ว่านี่เป็นลูกน้องของจักรพรรดิแห่งเงา
จอมยุทธวัยกลางคนป้องมือและพูดว่า “ท่านใต้เท้า ข้ามีนามว่าหนิวซาน ข้าเคยพบท่านที่ภัตตาคารฝนวายุ และท่านใต้เท้าได้มอบศิลาสวรรค์ให้ข้าน้อยถึงแสนก้อน”
“เจ้านี่เอง เข้ามาคุยกันก่อนสิ!” เจียงอี้พยักหน้าเบาๆ นี่เป็นสัญญาณลับที่จักรพรรดิเงาบอกเขาและมันก็ตรงกันทุกประการ นี่เป็นผู้ใต้บัญชาจักรพรรดิเงาและเขาก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจด้วย
หลังจากที่พาคนผู้นี้เข้ามาในห้องแล้ว เจียงอี้ก็เปิดอาคมยับยั้งและเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์เพื่อตรวจสอบทุกสิ่ง เขาพยักหน้าหลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ใดๆคอยสอดแนมเข้ามา บุคคลนั้นก็หยิบแหวนมิติออกมาแล้วยื่นมันให้เจียงอี้พร้อมกับกระซิบว่า “ท่านใต้เท้า ผู้บัญชาการขอให้ข้าส่งข้อมูลนี้ให้แก่ท่าน”
เจียงอี้หยิบแหวนและเทแก่นแท้พลังของเขาเข้าไปในนั้น จากนั้นก็มีชุดข้อมูลปรากฏขึ้นและหลังจากที่เขาเหลือบมองมัน ดวงตาของเจียงอี้ก็เย็นชาทันที
เมื่อเจียงอี้กลับมาที่ห้องโดยสาร เสี่ยวหยีก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งขณะที่นางรบเร้าให้เจียงอี้เล่นกับนางทั้งวัน ถานไถชี่เองก็มีความสุขจากก้นบึ้งของหัวใจเพราะนางรู้สึกสบายมากเมื่อมีเจียงอี้อยู่ใกล้ๆ
หลังจากที่เจียงอี้เล่นกับเสี่ยวหยีมาสองวัน เขาก็เข้าไปในห้องเพื่อเข้าสู่สันโดษอีกครั้ง เจียงอี้นั้นคุ้นเคยกับความเร็วในการฝึกฝนที่เร็วขึ้นพันเท่าและตอนนี้เขาก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่มีความเร็วในการฝึกฝนช้าเช่นนี้ แต่มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยและวัตถุประสงค์หลักของเจียงอี้ก็ไม่ใช่แค่ฝึกฝนแต่เพื่อเข้าถึงศาสตร์เวทย์ และในเวลาเดียวกัน เขาก็ต้องการคิดหาทางที่จะเข้าถึงรูปแบบเต๋าของผู้อาวุโสธาตุลมให้ได้ซึ่งเขาจะปัดเป่าลมดาราไปได้
เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และผ่านไปหนึ่งเดือน เจียงอี้ถูกซ่งจงปลุกให้ตื่นขณะที่พวกเขากำลังจะมาถึงเมืองมังกรสวรรค์และเปลี่ยนเรือลิขิตสวรรค์ไปยังเมืองเพลิงสวรรค์
“ไปกันเถอะ”
หลังจากที่นั่งอยู่ในห้องโถงของห้องโดยสารเป็นเวลาราวๆสองชั่วโมง เจียงอี้ก็เห็นว่าเรือลิขิตสวรรค์หยุดลงและม่านพลังก็เปิดออก มีเมืองใหญ่ๆอยู่ที่ด้านหลัง เขายืนขึ้นและกล่าวว่า “เรามาถึงเมืองมังกรสวรรค์แล้ว เข้าไปในเมืองกันก่อนเถอะ”
ฟรึ่บ!
ทุกคนเตรียมพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว ส่วนสาวใช้ทั้งสองก็อุ้มเด็กไว้คนละคนและทุกคนก็บินออกจากเรือลิขิตสวรรค์ ซ่งจงนำรถม้าศึกออกมาและเชิญถานไถชี่, เจียงอี้ และสาวใช้ทั้งสองเข้าไปข้างใน
กร็อบ กร็อบ กร็อบ!
ซ่งจงนั่งควบรถอยู่ด้านหน้า และหลังจากจ่ายค่าผ่านทางเข้าเมืองแล้ว พวกเขาก็มุ่งตรงไปยังจัตุรัสใจกลางเมืองเพื่อหาโรงเตี๊ยมทันที จากนั้นพวกเขาก็จะไปหาโถงสาขาของตระกูลถังและนั่งเรือลิขิตสวรรค์ที่ไปยังเมืองเพลิงสวรรค์ต่อ
เมืองมังกรสวรรค์แห่งนี้ควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นเมืองขนาดกลางเนื่องจากมันใหญ่กว่าเมืองเขี้ยวหมาป่ามาก เมืองของทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นแบ่งเป็นเมืองหลัก, เมืองขนาดใหญ่, เมืองขนาดกลางและขนาดเล็ก และแน่นอนว่ายังมีหมู่บ้านเล็กๆแยกออกไปอีก
ทุกอาณาเขตนั้นจะมีเมืองหลักเพียงสิบเมือง และตามปกติแล้วทั้งหมดนี้จะถูกควบคุมโดยตระกูลประมุขอาณาเขต หากตระกูลใหญ่มากพอ พวกเขาก็จะคอยควบคุมเมืองขนาดใหญ่ด้วยขณะที่เมืองขนาดกลางและขนาดเล็กจะถูกกระจายไปยังเหล่าตระกูลต่างๆ
ตามที่ซ่งจงกล่าวไว้ ประมุขอาณาเขตหลายคนไม่สนใจเมืองขนาดกลางและขนาดเล็ก จึงทำให้เกิดสงครามวุ่นวายอย่างไม่รู้จบ ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนเจ้าเมืองตลอดซึ่งอาจมากถึงห้าครั้งในสองสัปดาห์
ผู้ที่ปกครองเขตแดนสวรรค์คือตระกูลหลัว และพวกเขาได้รับแต่งตั้งมาเป็นเวลานับแสนปี ซ่งจงบอกว่าตระกูลหลัวเคยควบคุมสองอาณาเขตในสมัยนั้น แต่หลังจากที่พวกเขาถูกกลุ่มตระกูลพันธมิตรโจมตี พวกเขาก็อพยพตระกูลของพวกเขาและซ่อนตัวอยู่ในเขตแดนสวรรค์หลายหมื่นปีก่อนจะฟื้นตระกูลขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อสองหมื่นปีก่อน พวกเขาก็สยบตระกูลประมุขอาณาเขตคนเดิมและครอบครองเขตแดนสวรรค์
ตระกูลสามีของถานไถชี่เป็นผู้บัญชาการทหารองครักษ์ของตระกูลหลัวในตอนนั้น และพวกเขาก็ได้มอบเมืองเพลิงสวรรค์ให้ หลังจากที่รับใช้มาหลายชั่วอายุคนและมีความภักดีต่อตระกูลหลัว ทำให้ตระกูลถานไถมีอำนาจเด็ดขาดในเมืองเพลิงสวรรค์ ตระกูลใหญ่และตระกูลรองมากมายในเมืองต่างก็ยึดมั่นในตระกูลถานไถ ขณะที่ไม่มีโจรใดกล้าโจมตีเมืองเพลิงสวรรค์เนื่องจากตระกูลหลัวเป็นผู้หนุนหลังตระกูลถานไถ
เจียงอี้ได้หาความรู้เกี่ยวกับทวีปจักรพรรดิบูรพามา ที่นี่มีตระกูลที่ยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วนและตระกูลดังกล่าวนั้นไม่ได้มีอำนาจเพียงเพราะความแข็งแกร่งของตระกูลพวกเขาเอง แต่เพราะพวกเขามีตระกูลที่เป็นข้าราชบริพารนับไม่ถ้วน พวกเขาจึงเป็นเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่มีรากนับไม่ถ้วนและครอบครองทั่วทั้งแผ่นดิน หากใครต้องการโค่นไม้ใหญ่นี้ พวกเขาจะต้องตัดรากถอนโคนทั้งหมด ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะต้องเตรียมถูกรายล้อมไปด้วยยอดฝีมือที่นับไม่ถ้วน
“ฮู ฮู…”
เมื่อนึกถึงจุดนี้ ใบหน้าของเจียงอี้ก็เต็มไปด้วยความหนักอึ้ง เมื่อเขาออกจากทวีปเทียนชิงในตอนแรก เขาคิดว่าเขาสามารถใช้ความพากเพียรเพื่อเป็นยอดฝีมือได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็จะสลายตระกูลหวู่ได้เช่นเดียวกับที่เขาทำลายโถงวรยุทธสาขาที่ทวีปเทียนชิงได้
ในตอนนี้ เมื่อมองย้อนกลับไป เขานั้นไร้เดียงสาจริงๆ หลังจากที่มีความเข้าใจมากขึ้น เจียงอี้ก็ยิ่งมีความกลัวต่อเก้าตระกูลจักรพรรดิมากขึ้น พวกเขาอยู่บนทวีปนี้มานานกว่าเจ็ดแสนปี แล้วพวกเขาจะมีข้าราชบริพารกี่ตระกูลที่อยู่ใต้การปกครองของพวกเขา? พวกเขาจะระดมยอดฝีมือได้กี่คน? แล้วจริงๆแล้วอะไรคือจุดแข็งของรากฐานของพวกเขากัน?
ยอดฝีมือไม่ได้คงกระพัน!
เช่นเดียวกับเจียงอี้ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครในขอบเขตเทียนจุนเทียบเขาได้เนื่องจากวิชาเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์และอัสนีพิโรธ หากไม่พูดถึงขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดที่มีภูมิคุ้มกันทักษะเสียงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์, เหล่าผู้ที่เข้าใจความสามารถอันทรงพลัง และเหล่ายอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้ถึงระดับสี่ดาวหรือห้าดาวอีก แม้ว่าเจียงอี้จะสังหารขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดได้โดยไม่คำนึงถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา แล้วเจียงอี้จะสังหารได้กี่คนกัน?
แก่นแท้พลังของจอมยุทธ ความแข็งแกร่ง และพลังงานดวงจิตนั้นล้วนมีจำกัด
หากตระกูลของจักรพรรดิอุดรระดมขอบเขตเทียนจุนเป็นหมื่น เป็นแสนหรือเป็นล้านคนมาล้อมเขา แล้วเขาจะสังหารคนเหล่านั้นได้หมดจริงๆหรือ? ตระกูลรองธรรมดานั้นยังสามารถระดมขอบเขตเทียนจุนได้มาถึงหมื่นคน แล้วตระกูลข้าราชบริพารทั้งตระกูลใหญ่และตระกูลรองของเก้าตระกูลจักรพรรดินั้นมีกี่ตระกูลกัน?
หากจักรพรรดิอุดรหวู่ซางออกคำสั่งลงมา เขาสามารถระดมขอบเขตเทียนจุนร้อยล้านคนเพื่อล้อมและโจมตีเจียงอี้ ซึ่งมันคงทำให้เขาตายไปเพราะความเหนื่อยล้าได้เลย
ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ ข้าจะต้องเอาราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับมาให้ได้!
เจียงอี้คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดและค้นพบว่า นอกเหนือจากการได้ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ, สมบัติของจักรพรรดิลี้ลับและสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างกระบี่ลี้ลับและเกราะลี้ลับ เขาก็ไม่มีทางอื่นที่จะทำลายตระกูลหวู่ได้เลย มันคงไร้ประโยชน์แม้ว่าเขาจะไปถึงขอบเขตกึ่งเทพแล้วก็ตาม เอ๋าหลูได้กล่าวไว้ว่า จักรพรรดิอุดรหวู่ซางนั้นเป็นยอดฝีมือเก้าดาว!
เหลยป้านเซียนก็น่าทึ่งด้วยใช่ไหม?
ห้วงย้อนเวลานั้นเป็นความสามารถที่ท้าทายสวรรค์ แต่เอ๋าหลูบอกว่าเขาเป็นเพียงยอดฝีมือแปดดาว นั่นก็หมายความว่า หวู่ซางเหนือกว่าเหลยป้านเซียนมาก แม้ว่าเจียงอี้จะฝึกฝนจนได้ขึ้นเป็นขอบเขตกึ่งเทพ แต่เขาจะมั่นใจว่าตัวเองจะแข็งแกร่งกว่าเหลยป้านเซียนหรือไม่? เขาจะแข็งแกร่งกว่าหวู่ซางได้หรือไม่?
จักรพรรดิลี้ลับ!
เขาเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดและได้ทิ้งราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ, กระบี่ลี้ลับ, เกราะลี้ลับและสมบัติล้ำค่าเอาไว้มากมาย เขาทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้เบื้องหลังเพราะเขาต้องการให้เหล่าชนชั้นสูงได้ครองสมบัติของเขาและปกป้องมนุษยชาติเอาไว้ ดังนั้น เจียงอี้จึงต้องครอบครองราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับให้ได้ เขาอาจไม่สามารถเป็นจักรพรรดิลี้ลับคนที่สองได้ แต่ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นมากแน่นอน และไปถึงระดับที่น่ากลัวได้
“ใต้เท้าเสวี่ย เราถึงโรงเตี๊ยมแล้วขอรับ”
ในขณะที่เจียงอี้กำลังครุ่นคิดอยู่ ซ่งจงก็ส่งข้อความเสียงเข้ามา จึงทำให้เจียงอี้สลัดความคิดทิ้งไปและเดินออกไปพร้อมถานไถชี่และคนอื่นๆ เขาสังเกตเห็นว่าพวกเขาอยู่ในลานด้านในของโรงเตี๊ยม จากนั้นก็กวักมือเรียกซ่งจงให้ไปหาข้อมูลของเรือลิขิตสวรรค์ที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเพลิงสวรรค์ขณะที่เจียงอี้เข้าไปในห้องอย่างเงียบๆเพื่อพักผ่อน
อันที่จริง เมืองเพลิงสวรรค์ไม่ได้อยู่บนเส้นทางที่จะไปสู่เมืองจักรพรรดิอรหัง เขาจะต้องใช้ทางอ้อมราวสองสามวัน แต่เนื่องจากเขาสัญญากับเสี่ยวหยีไปแล้ว เจียงอี้จึงจะพาพวกเขาไปส่งที่เมืองเพลิงสวรรค์ ผู้ชายต้องรักษาคำพูดและเจียงอี้ไม่ค่อยให้สัญญาใดๆ แต่เมื่อเขาให้สัญญาแล้ว เขาจะทำทุกอย่างเพื่อมันให้ได้ อย่างที่เขาจะช่วยซูรั่วเสวี่ยและล้างแค้นให้เจียงเปี๋ยหลี!
หลังจากรอมาหกชั่วโมง ท้องฟ้าก็ค่อยๆมืดลง แต่ซ่งจงก็ยังไม่กลับมา และไข่มุกบนร่างของเจียงอี้เองก็สว่างขึ้นแทน
“หืม?”
เจียงอี้ตกใจมาก นี่เป็นไข่มุกจากจักรพรรดิเงาและเขาได้ปฏิบัติตามที่จักรพรรดิเงาบอกไว้ว่าจะไม่เก็บไข่มุกไว้ในแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณและใส่ไว้ในกระเป๋าของเขา เขาไม่เคยสังเกตและไม่คิดว่ามันจะสว่างขึ้นในตอนนี้
“มีข่าวมาแล้ว!”
เจียงอี้ยืนขึ้นและรีบเดินออกจากโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าเขาก็จ้องไปที่บุคคลภายนอกโรงเตี๊ยมซึ่งเป็นจอมยุทธวัยกลางคนที่ดูธรรมดาและอยู่ขอบเขตเทียนจุน ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ด้อยหรือแข็งแกร่งเกินไป และรูปร่างของเขาก็ไม่ได้พิเศษอะไรเช่นกัน เจียงอี้มองไปที่ดวงตาของบุคคลผู้นี้และดวงตาของพวกเขาทั้งสองก็เป็นประกาย เจียงอี้ได้ใช้ไข่มุกนี้เพื่อให้สัมผัสได้ว่านี่เป็นลูกน้องของจักรพรรดิแห่งเงา
จอมยุทธวัยกลางคนป้องมือและพูดว่า “ท่านใต้เท้า ข้ามีนามว่าหนิวซาน ข้าเคยพบท่านที่ภัตตาคารฝนวายุ และท่านใต้เท้าได้มอบศิลาสวรรค์ให้ข้าน้อยถึงแสนก้อน”
“เจ้านี่เอง เข้ามาคุยกันก่อนสิ!” เจียงอี้พยักหน้าเบาๆ นี่เป็นสัญญาณลับที่จักรพรรดิเงาบอกเขาและมันก็ตรงกันทุกประการ นี่เป็นผู้ใต้บัญชาจักรพรรดิเงาและเขาก็เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจด้วย
หลังจากที่พาคนผู้นี้เข้ามาในห้องแล้ว เจียงอี้ก็เปิดอาคมยับยั้งและเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์เพื่อตรวจสอบทุกสิ่ง เขาพยักหน้าหลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ใดๆคอยสอดแนมเข้ามา บุคคลนั้นก็หยิบแหวนมิติออกมาแล้วยื่นมันให้เจียงอี้พร้อมกับกระซิบว่า “ท่านใต้เท้า ผู้บัญชาการขอให้ข้าส่งข้อมูลนี้ให้แก่ท่าน”
เจียงอี้หยิบแหวนและเทแก่นแท้พลังของเขาเข้าไปในนั้น จากนั้นก็มีชุดข้อมูลปรากฏขึ้นและหลังจากที่เขาเหลือบมองมัน ดวงตาของเจียงอี้ก็เย็นชาทันที