เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 900 ราชาอรหัง
เจียงอี้ไม่ได้เจอจีทิงยวี่มาหลายปีและนางก็ดูงดงามขึ้น หากในตอนนั้นนางเป็นกุหลาบสีเหลืองที่เบ่งบาน ตอนนี้นางคงเป็นดอกโบตั๋นที่บานเต็มที่ นางยืนอยู่ข้างหวู่นี่เงียบๆ กลิ่นอายของนางไม่ได้ทรงพลังมากนักแต่นางนั้นเป็นเหมือนไข่มุกที่สดใสและดึงดูดผู้ชายนับไม่ถ้วนซึ่งไม่ด้อยไปกว่าอีฉานและหยิ่นรั่วปิงเลย
สิ่งที่น่าดึงดูดที่สุดคือดวงตาที่งดงามราวกับอัญมณีของนาง ดวงตานั้นสีดำสนิทและไม่มีสีอื่นปนเลย ดวงตาของนางเต็มไปด้วยสติปัญญาและล้ำลึกราวกับทะเล ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีเพียงเหล่าผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญเท่านั้นที่มีดวงตาเช่นนี้ มันแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของนางและทำให้ผู้คนจ้องมองนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ
หวู่นี่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เขาไม่ได้เดินเตร่ไปมากับสาวใช้ที่น่ารักของเขาอีกต่อไปแต่กลับมาพร้อมกับผู้อาวุโสสองคน แทน หลังของเขาตรงเด่และมีรอยยิ้มจางๆอยู่บนใบหน้าของเขาตลอดเวลาเหมือนดั่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิและมีท่าทางที่สง่างามเป็นพิเศษ
นอกจากจีทิงยวี่แล้ว ผู้ที่ถูกดึงดูดใจมากที่สุดคืออีฉานและหยิ่นรั่วปิง
อีฉานอยู่ในชุดม่วงและมีผมสีม่วง นางยังสวมหน้ากากราชาภูติผีด้วย ซึ่งผู้ใดก็ตามที่สวมหน้ากากนี้จะดูน่ากลัวมาก แต่นางกลับดูลึกลับและดูมีเสน่ห์ นางมีกลิ่นอายที่พิเศษราวกับพระโพธิสัตว์โดยมีแสงส่องอยู่ที่ด้านหลังของนางซึ่งมันดึงดูดผู้คนให้มอง กลิ่นอายนี้ทำให้นางดูเหมือนเทพธิดาจากเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าและไม่ได้อยู่บนโลกแห่งนี้
นางเป็นหมือนดอกไม้พิษ ผู้คนสามารถชื่นชมนางได้จากระยะไกลแต่ไม่สามารถเข้าใกล้นางได้ แต่ผู้ชายมากมายต่างก็หวังที่จะปลดหน้ากากของนางและมองดูใบหน้าที่งดงามของนางและได้สัมผัสกับรอยยิ้มที่ชายอื่นไม่ได้เห็น
สิ่งที่เกินเอื้อมมักเป็นสิ่งที่เลอค่าที่สุด ชายทุกคนมักชอบยุ่งกับผู้ที่ไม่สนใจที่จะพูดคุยกับพวกเขา และเหล่านายน้อยที่ยิ้มแย้มอยู่ข้างๆอีฉานนั้นก็เป็นเช่นนี้ ในทางกลับกัน อีฉานกลับนิ่งเฉยและไม่พูดคุยกับใครขณะที่มองไปยังหุบเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป
ส่วนหยิ่นรั่วปิงที่อยู่ข้างๆอีฉานเองก็ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นางสวมชุดสีขาวราวกับดอกบัวบนภูเขาน้ำแข็งซึ่งแผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ออกมา นางเป็นคนที่แปลกมากและมักจะไม่สวมรองเท้าอยู่เสมอ ซึ่งผู้ชายหลายคนต่างหลงเสน่ห์ในเท้าของนาง
นางไม่ได้เย็นชาเหมือนอีฉานและทักทายนายน้อยรอบข้างด้วยรอยยิ้ม แต่แม้ว่านางกำลังยิ้มอยู่ แต่ความเฉยเมยก็หลั่งไหลออกมาจากกระดูกของนางราวกับว่านางถูกผนึกด้วยภูเขาที่เต็มไปด้วยหิมะและจะไม่มีชายใดละลายมันได้
ช่างงดงามอะไรเช่นนี้! นี่คือความคิดที่ผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ด้านล่างมีต่ออีฉาน, หยิ่นรั่วปิงและจีทิงยวี่ นายน้อยจำนวนมากเดินออกมาจากกระโจมและมองพวกนางอย่างหลงใหล
หวู่นี่และเยี่ยอิงผู้ที่เป็นนายน้อยอันดับหนึ่งของตระกูลเยี่ยซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าตระกูลจักรพรรดิหน้าซีดอยู่ข้างๆพวกนาง หวู่นี่ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า ทุกคน มาจัดการสิ่งต่างๆกันก่อนเถอะ ยังเหลือเวลาอีกสิบว่าก่อนที่ซากปรักหักพังสลายบาปจะเปิดขึ้น
เยี่ยอิงพยักหน้าและหยิ่นรั่วปิงก็บินลงมาเช่นกัน มีเพียงอีฉานเท่านั้นที่ยังยืนอยู่กลางอากาศพร้อมกับหลับตาลง ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่
เจียงอี้มองพวกนางด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรเสีย สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของคนอื่นก็เต็มไปหมดและเขาเปลี่ยนกลิ่นอายดวงจิตไปแล้วจะมีคนตรวจจับกลิ่นอายของเขาได้อย่างไร? และเมื่อเขาเห็นอีฉานหยุดอยู่กลางอากาศ เขาก็เพ่งไปที่นางอย่างลังเล และร่างของเขาก็สั่นสะท้านไปพร้อมกับสิ่งที่เขาค้นพบ!
มันเป็นเพราะสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้จับจ้องไปยังอีฉาน และนางก็ลืมตาขึ้นในทันใดก่อนจะมองไปยังกระโจมของเขา ดวงตาที่สงบนิ่งของนางสว่างขึ้นเล็กน้อยซึ่งมันทำให้เจียงอี้รู้สึกว่านางจะมองทะลุทักษะวิชาของเขา
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
เจียงอี้เก็บสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาทันทีและเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจ เขามั่นใจว่าวิชาเทพพลางตาจะหลอกกึ่งเทพธรรมดาๆได้ และไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีฉานเลย
เมื่อเขาไปยังเมืองเทพประทานและไปยังตระกูลซือถู เจียงอี้ยังใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้กับเหล่ากึ่งเทพแต่ก็ไม่มีใครสงสัย แล้วอีฉานค้นพบมันได้เช่นไร? หรือมันเป็นเพียงอุบัติเหตุ
คุณหนู มีอะไรหรือขอรับ? เหนือท้องฟ้า ยอดฝีมือของตระกูลอีถามด้วยความสงสัยหลังจากที่มองดูกระโจมรอบๆเจียงอี้หลายสิบรอบแต่ไม่พบอะไร
ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ
อีฉานตอบอย่างเฉยเมยและบินตรงลงไปพร้อมกับทหาร กระโจมจำนวนมากถูกตั้งไว้แล้ว และเมื่ออีฉานเข้าไปในกระโจม นางก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย
ส่วนหวู่นี่และเยี่ยอิงก็พูดคุยกับเสียเฟย, ถูหลงและคนอื่นๆเล็กน้อย ด้านหยิ่นรั่วปิงก็คอยดูแลฝูงชนพร้อมกับยิ้มกว้าง มีนายน้อยและคุณหนูมากมายอยู่ข้างกายพวกเขา และเหล่านายน้อยและคุณหนูจากตระกูลเก่าแก่ก็ออกมาด้วยเช่นกันซึ่งทำให้ที่นั่นดูวุ่นวาย
เจียงอี้มองไปรอบๆและถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมา อย่างแรกคือเพราะนายน้อยเหล่านี้เพียงแค่ชื่นชมกันอย่างไประโยชน์ ส่วนอย่างที่สองนั้นเป็นเพราะเขากลัวจะควบคุมกลิ่นอายสังหารไม่ได้และจะทำให้ศัตรูแตกตื่น
ทั้งหวู่นี่และจีทิงยวี่ก็อยู่ที่นี่ ตอนนี้มันเหลือเพียงว่าพวกเขาจะเข้าไปในซากปรักหักพังหรือไม่ มันมีโอกาสสูงที่หวู่นี่จะเข้าไป แต่เจียงอี้เกรงว่าจีทิงยวี่จะอยู่ข้างนอก
มียอดฝีมือจากตระกูลต่างๆมากมายอยู่แถวนี้ เก้าตระกูลจักรพรรดินั้นทำหน้าที่เป็นหนึ่งเดียว เมื่อเกิดเรื่องใดๆขึ้น พวกเขาจะผนึกกำลังกัน แม้แต่ฉีเทียนเฉินเองก็ไม่สามารถจัดการจอมยุทธจำนวนมากได้ ดังนั้นโอกาสเดียวของเจียงอี้ก็คือการโค่นหวู่นี่และจีทิงยวี่ในซากปรักหักพังนั้น หากไม่เช่นนั้น เขาจะต้องหาทางจัดการพวกนั้นให้ได้ในระหว่างการเดินทางกลับเมืองจักรพรรดิอุดร
ปัญหาคือคราวนี้หวู่นี่พาคนมากับเขามากมาย บางที ก่อนที่เจียงอี้จะทันได้เข้าใกล้พวกนั้น เขาก็อาจจะถูกโจมตีจากยอดฝีมือนับพันคนจนตายไปก่อนก็ได้ ดังนั้น หากเขาทำลายพวกนั้นลงในซากปรักหักพังได้ มันคงจะสมบูรณ์แบบมาก
ฝึกฝน!
เจียงอี้นั่งขัดสมาธิและหยุดคิด หากเขาจะลงมือทำสิ่งใดในตอนนี้ มันอาจจะทำให้เกิดความสงสัยได้ง่าย เขาควรฝึกฝนอยู่ในกระโจมนิ่งๆและรอซากปรักหักพังเปิดขึ้นมา ตราบใดที่เขาเข้าไปในนั้นได้ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น
เวลาค่อยๆผ่านไป เสียเฟย, หวู่นี่และกลุ่มของพวกเขาเรียกประชุมกันทุกวัน แน่นอนว่ามีนายน้อยและคุณหนูเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปในกระโจมของพวกเขา ส่วนอีฉานและจีทิงยวี่ไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลย
ฟรึ่บ!
สิบวันต่อมา เสียงแหลมดังขึ้นจากทิศตะวันออก มีเรือลิขิตสวรรค์ชั้นสูงมาถึงที่นี่ เจียงอี้ได้หยุดฝึกฝนมาพักใหญ่แล้วและรอซากปรักหักพังเปิดออกอย่างใจจดใจจ่อ ตอนนี้เขาได้ปลดปล่อยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปโดยไม่รู้ตัว
บรึฟ!
เรือลิขิตสวรรค์หายลับไปกลางอากาศ ชายหัวโล้นในชุดสีขาวยืนอยู่กับกลุ่มคนบนท้องฟ้า เขาไม่ได้มีร่างที่แข็งแกร่งและไม่ได้ดูดีมากและยังไม่มีแม้แต่ร่องรอยของท่าทีเย่อหยิ่งของเหล่าผู้ปกครองเลย แต่เขากลับมีเสน่ห์เฉพาะตัวมาก เขาดูเป็นมิตร หากเพียงใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ชำเลืองมอง คนอื่นก็จะเห็นว่าเขาดูใจดี ซื่อสัตย์และน่าเชื่อถือและเป็นผู้ที่เป็นมิตรที่ดี
คารวะราชาอรหัง!
ทันทีที่ชายวัยกลางคนปรากฏตัว จอมยุทธตระกูลอีหลายหมื่นคนก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน เจียงอี้จึงตระหนักได้ว่าชายผู้นี้เป็นหัวหน้าครอบครัวของอีฉาน บิดาของอีฉาน หรือก็คือราชาอรหัง
ใจของเขาเต้นรัวเช่นกัน การมาถึงของราชาอรหังนั้นหมายความว่าซากปรักหักพังสลายบาปกำลังจะเปิดขึ้นแล้ว