เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 390-421
ตอนที่ 390 ให้กำเนิด 7
น่าหลันฉิงได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ามาถึงแล้ว หลังจากป้อนนมให้กุยอวิ๋นอิ่มแล้วก็รีบอุ้มเขาไปหา เมื่อเข้ามาเห็นฮูหยินผู้เฒ่านั่งเงียบขรึม พลันรู้สึกทำตัวไม่ถูก
ฮูหยินผู้เฒ่ามองแวบเดียวก็ดูออกว่านางคือน่าหลันฉิง พระสนมฝ่ายในแห่งตำหนักหรงฉ่งหกตำหนัก สุดท้ายถูกสั่งขังไว้ในพระตำหนักเย็นคนนั้น สมัยก่อนนางรู้สึกชื่นชมและนับถือน่าหลันฉิงมาก อย่างไรแล้วการที่ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถมาถึงตำแหน่งเช่นนางได้เช่นนี้ ต่อให้พึ่งพาวงศ์ตระกูลก็ยังเป็นเรื่องยาก ฮูหยินผู้เฒ่าไม่คิดว่าฮ่องเต้ไม่ทรงมีพระทัยให้นาง หากว่าไม่ทรงมีพระทัย ก็ไม่มีทางทรงทำอะไรให้คนทั้งแผ่นดินเข้าใจว่าพระองค์ไร้เยื่อใยต่อน่าหลันฉิง ทรงกระทำอะไรได้ถึงขั้นนี้
ทว่าหลังจากที่เฟิงหลีเลี่ยและมู่หรงชูอวิ๋นคบหากันแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็เกิดอคติขึ้นมา พลันรู้สึกว่าหลานสาวสุดที่รักของนางน่าสงสารเหมือนกับเฟิงหลีเลี่ย มู่หรงชูอวิ๋นถูกฉินอวิ๋นซินทอดทิ้ง ส่วนเฟิงหลีเลี่ยก็ถูกน่าหลันฉิงทอดทิ้ง ทั้งยังถูกฮ่องเต้ทิ้งขว้างมาหลายปีเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าไม่ค่อยดีกับน่าหลันฉิง อย่างไรเสียการที่คนเป็นแม่ใจร้ายสามารถทอดทิ้งลูกของตัวเองได้ ไม่คิดจะเหลียวแลบ้างเลย มู่หรงชูอวิ๋นยังถือว่าโชคดีกว่าเฟิงหลีเลี่ย อย่างน้อยทุกคนในตระกูลมู่หรงก็รักและทะนุถนอมนางไว้ในอุ้งมือ แต่เฟิงหลีเลี่ยกลับต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดมาเพียงลำพังตลอดเวลาหลายปี ตอนนี้เฟิงหลีเลี่ยถือว่าเป็นญาติคนหนึ่งของนาง มีศักดิ์เป็นหลานเขยของนาง แน่นอนว่าจะให้คนอื่นมารังแกไม่ได้ จะรังแกใครก็รังแกไปแต่หากมารังแกคนของนาง ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีทางอ่อนข้อให้แน่ เจอคนร้ายใส่ก็ต้องร้ายตอบ
รับกุยอวิ๋นทารกน้อยตัวอ่อนนุ่มในอ้อมอกของน่าหลันฉิงมา ได้เห็นดวงตาดำขลับสุกใสราวกับไข่มุกเปล่งประกายดูงดงามเป็นพิเศษ เส้มผมอ่อนนุ่มละเอียดอ่อนยิ่งกว่าเส้นไหมหลายส่วน หน้าตาละหม้ายคล้ายกับเฟิงหลีเลี่ย นอกจากดวงตาที่เหมือนกับมู่หรงชูอวิ๋นราวกับแกะสลักแล้ว ส่วนอื่นๆ บนใบหน้าก็เหมือนกับเฟิงหลีเลี่ย เมื่อทารกน้อยมาอยู่ในอ้อมอกของฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวตกใจเลยแม้แต่น้อย ดวงตาที่กระพริบอยู่พลันหลับลงอย่างสบายใจ “เลี้ยงง่ายเสียจริง” นี่ก็คือเหลนชายของนาง ต้องเฝ้ารอมานานกว่าที่เขาจะมาเกิด เห็นเขาแล้วใจก็อ่อนระทวย ก้มริมฝีปากแนบลงบนกระหม่อมอวบอิ่มของทารกน้อย
ครั้งแรกที่เฟิงเยี่ยนเฉิงได้เห็นทารกน้อยเกิดมา ได้แอบถามเสียงกระซิบ “เสด็จแม่อุ้มมาผิดคนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” แม้ว่าเฟิงหลีเลี่ยและมู่หรงชูอวิ๋นจะไม่ได้หน้าตาดีเท่ากับเขา แต่ก็ไม่ได้ขี้เหล่ เหตุใดจึงให้กำเนิดเด็กน้อยเฒ่า ผิวหนังเ**่ยวย่น ตัวแดงเหมือนแก้มลิง ดวงตาหลับสนิทอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ร้อง “อุแว๊” เสียงดัง
กุยอวิ๋นก็ให้ความร่วมมืออย่างมาก ร้องไห้ขึ้นมาทันที เฟิงเยี่ยนเฉิงยกมือที่เปียก หันมองน่าหลันฉิงด้วยสายตาที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
น่าหลันฉิงชายตามองเขา “แม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่ก็ฟังเข้าใจว่าคำพูดของคนอื่นหมายความว่าอย่างไร? ระวังตัวไว้เถิดอีกหน่อยเขาจะไม่ยอมให้เจ้าอุ้ม เมื่อครู่เขาคงจะเข้าใจว่าเจ้าพูดว่าเขาดูไม่ดีกระมัง” น่าหลันฉิงมองพิจารณาอยู่นาน ให้ดูอย่างไรก็ดูดี ไหนเลยจะเหมือนตอนที่นางคลอดเฟิงเยี่ยนเฉิงออกมา ตอนนั้นนางยังนึกสงสัยว่าเฟิงหรงสวี่ไปสลับตัวเด็กกับคนอื่นมาผิดคนหรือไม่
เฟิงเยี่ยนเฉิงก้มมองรอยเปียกเป็นวงพร้อมกลิ่นสาบเด็ก ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจ เขาชอบเสื้อผ้าตัวนี้เป็นที่สุด ปกติจะทะนุถนอมเป็นพิเศษ
เฟิงหรงสวี่ยิ้มอย่างจริงใจ สมัยก่อนลูกชายของเขาก็ปัสสาวะรดใส่เขา มาถึงวันนี้หลานชายก็ปัสสาวะใส่ลูกชายของเขา ช่างเป็นโชคชะตาจริงๆ ทำอะไรไว้ก็ต้องได้อย่างนั้น
ฉินอวิ๋นซินอดใจไม่อยู่รีบเข้ามาดู “ช่างน่าเกลียดน่าชัง หน้าตาเหมือนอวิ๋นเอ๋อร์มากจริงๆ” อดไม่อยู่เอามือลูบไล้ใบหน้ารูปไข่ของทารกน้อย ผิวนุ่มเหมือนมู่หรงชูอวิ๋นเหลือเกิน ทันใดนั้นน้ำตาพลันเอ่อล้นขึ้นมาที่ขอบตาของนาง
น่าหลันฉิงสีหน้าไม่ค่อยชอบใจเท่าใดนัก หน้าตาเหมือนกับลูกชายของนางอย่างเห็นได้ชัก ไม่ว่าคนฉลาดมีตาคนไหนล้วนแต่ดูออกกันทั้งนั้น ถึงวันนี้มู่หรงชูอวิ๋นต้องมามีสภาพเช่นนี้ก็เพื่อให้กำเนิดบุตรชาย นางเองก็รู้สึกสงสารจับใจ
ช่วงนี้เฟิงหยี่ยนเฉิงตามติดอยู่ข้างน่าหลันฉิง ช่วยดูแลมู่หรงชูอวิ๋นโดยตลอด บางครั้งก็จะทำหน้าเคร่งขรึมแล้วสั่งทารกน้อยตัวอ่อนนุ่มที่ขี้เกียจจะลืมตา “เรียกข้าเสด็จอาสิ”
ตอนที่ 391 หลอกลวง 1
ทารกน้อยในผ้าอ้อมไหนเลยจะฟังความหมายที่เขาบอกได้เข้าใจ ทารกน้อยหาวฟอดใหญ่แล้วผล็อยหลับไปอีกคร้ัง เฟิงเยี่ยนเฉิงทั้งโมโหทั้งหงุดหงิด เหตุใดทุกครั้งที่เขาอุ้มทารกน้อยก็จะหลับเสมอ เขาแทบอยากจะหยิกพวงแก้มของทารกน้อยแรงๆ เสียเหลือเกิน ทว่าเขาไม่กล้า เพราะยังมีอีกหลายคนที่กำลังจ้องพร้อมตะคลุบเป็นพญาเสืออยู่ด้านข้าง
เดิมทีตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าและฉินอวิ๋นซินยังไม่มา เจ้านายก็มีไม่กี่คนเท่านั้น ทารกน้อยมีเพียงคนเดียวทว่าก็พอจะแบ่งกันอุ้มเล่นได้ ถึงตอนนี้พวกนางมาทีเดียวพร้อมกันสองคน อีกทั้งยังโปรดปรานทารกน้อยคนนี้มาก บางครั้งพวกนางเอาทารกน้อยไปอุ้มนานครึ่งวันเวียนมาไม่ถึงเฟิงเยี่ยนเฉิงสักที เขายังอุ้มเล่นได้ไม่เท่าไร แม่นมก็มาอุ้มทารกน้อยไปป้อนนมเสียแล้ว
ช่วงหลายวันนี้มู่หรงสิงติดตามคอยช่วยงานอยู่กับเฟิงหรงสวี่ ตั้งแต่มู่หรงชูอวิ๋นเกิดเรื่องเฟิงหลีเลี่ยก็ไม่ได้มาทำงานอีกเลย เฟิงหรงสวี่ได้แต่ยุ่งหัวหมุนตั้งแต่ฟ้าสางยันฟ้าสลัวคนเดียว การมาของมู่หรงสิงทำให้เขามองเห็นแสงสว่าง ไหนเลยที่จะปล่อยไปได้ง่ายๆ จะต้องเรียกให้มาช่วยงานอย่างสุดชีวิต นอกจากวันแรกที่มู่หรงสิงได้เห็นทารกน้อย วันอื่นๆ เขาก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับภาระงาน แม้แต่โอกาสได้พักหายใจยังไม่มี แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยบ่น อย่างไรแล้วในอนาคตเมื่อเฟิงหรงสวี่ได้ขึ้นครองราชย์ ก็จะเป็นเจ้าเหนือหัวของเขาแล้ว
“สิงเอ๋อร์ วิธีของเจ้าไม่เลว” เฟิงหรงสวี่เอ่ยชมอย่างใจกว้าง ทั้งผืนแผ่นดินเป็นสีขาวเงินดูสะอาดสะอ้าน เกล็ดหิมะยังคงเบาเหมือนปุยขาวของเมล็ดหลิว ดั่งปุยฝ้าย ดั่งขนห่านที่ลอยไปตามลมเต็มม่านฟ้า
มู่หรงสวี่ไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็น มีเพียงแรงปรารถนาอันแรงกล้า ในสายตาของเฟิงหรงสวี่แล้วมู่หรงสิงเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง แม้ว่าพวกเขาจะอายุห่างกันไม่มาก ทว่าเฟิงหรงสวี่ก็คือลูกศิษย์ของมู่หรงจาง
“ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว กระหม่อมเพียงแต่พูดความคิดในจินตนาการของตัวเองออกไปก็เท่านั้น ต้องขอบพระทัยที่ท่านอ๋องไม่ถือสาพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาเฉี่ยวดั่งเฟิงหวงของมู่หรงสิงบังเอิญเหลือบมองไปยังที่ที่หนึ่ง จึงรีบกล่าวกับเฟิงหรงสวี่ “ท่านอ๋อง กระหม่อมยังมีเรื่องต้องไปทำ ต้องขอตัวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้รับอนุญาตจากเฟิงหรงสวี่แล้ว ก็รีบเร่งไปยังที่ที่หนึ่งด้วยความรีบร้อน ฝีเท้าว่องไวราวกับเหาะ มือข้างหนึ่งจับหัวไหล่ของคนทางด้านหน้าไว้ เมื่อนางหันกลับมาจึงได้พบกับใบหน้าอันคุ้นเคย ไร้ซึ่งความยินดีที่ได้พบหน้ากันอีกคร้ัง มีเพียงน้ำเสียงที่ซ่อนความโกรธเคือง “เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?” หากฟังให้ละเอียดจะได้ยินว่าเป็นน้ำเสียงที่รอดผ่านช่องฟันออกมา
แววตาของคนผู้นั้นตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่นานก็กลับสู่สภาพปกติ พลางตอบมู่หรงสิงด้วยท่าทีให้ความเคารพ “เกรงว่าคุณชายมู่หรงคงจำคนผิดแล้วเจ้าค่ะ ข้าน้อยเป็นเพียงสาวรับใช้ของท่านอ๋อง หาใช่เพื่อนของท่านไม่เจ้าค่ะ” พูดจบเตรียมจะขอตัวลา ทว่าไหนเลยที่มู่หรงสิงจะยอมปล่อยนางไปง่ายๆ
มือที่จับหัวไหล่ของนางไว้กระชับแน่นทั้งทิ้งน้ำหนักขึ้นอีก ราวกับจะบีบให้แหลกสลายเสียเขาถึงจะพอใจ ดวงตาดำขลับคู่นั้นลึกล้ำและเปล่งประกายดุจดั่งดวงดาราพิศวงสองดวง เปี่ยมด้วยความโมโหอย่างที่สุด นัยน์ตามีเลือดคลั่งตามเส้นเลือดฝอยและดูหม่นหมองลงมาก บางครั้งดูคล้ายกับดวงตาของร่างไร้วิญญาณ เห็นแล้วน่าตกใจเป็นที่สุด
“เยียนหรูเสวี่ย เจ้าช่างเล่นลิ้นเก่งเสียจริง ถึงว่าข้าพลิกแผ่นดินตามหาเจ้าอย่างไรก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ที่แท้ก็มาหลบอยู่ข้างกายข้านี่เอง” ข้าก็ยังโง่ไปตามหา ไม่ยอมละทิ้งความพยายามเลยสักครั้ง ผ่านไปนานยังรู้สึกเป็นกังวลว่าหากตัวเองทำตามมู่หรงจางยอมสวามิภักดิ์ต่อเฟิงหรงสวี่แล้ว นางจะดูถูกตนหรือไม่ใครจะรู้ได้
เยียนหรูเสวี่ยก้มหน้าราวกับสาวใช้ที่เชื่อฟัง ไม่เหมือนกับทุกครั้งเวลาที่มู่หรงสิงได้พบนาง จะมีประกายรังสีเยียบเย็นเสียดแทงกระดูกที่เกิดมาพร้อมกับนาง อีกทั้งสายตาต่อต้านในยามที่นางปฏิเสธเขา
“หากว่าเจ้าไม่ใช่จริงๆ เช่นนั้นก็ไปพิสูจน์ต่อหน้าเฟิงหลีเลี่ยด้วยกันว่าเจ้าไม่ใช่เยียนหรูเสวี่ย” นาทีนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาไม่ได้เจอกับคนที่ทำให้เขาเป็นห่วงกังวลคนนั้น เช่นนั้นแล้วนางจะยังมีชีวิตอยู่ในความฝันของเขา ให้เขาสามารถลิ้มรสความรู้สึกเช่นนั้นได้เป็นปกติ หาใช่เพื่อมาบอกกับเขาว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขานั้นถูกหลอก ถูกคนล้อเล่นกับความรู้สึกของเขา …
ตอนที่ 392 หลอกลวง 2
เมื่อสามปีก่อนครั้งที่มู่หรงสิงออกไปล่าสัตว์นอกเมือง ได้ช่วยชีวิตเยียนหรูเสวี่ยที่ถูกคนไล่สังหารเอาไว้ มู่หรงสิงเห็นนางถูกศรปักคายังคงท่าทีสงบนิ่งเป็นอย่างมาก พลันเกิดความรู้สึกอยากจะช่วยเหลือนางขึ้นมา ครั้นถึงเวลาที่เยียนหรูเสวี่ยต้องจากไป ไม่ได้กล่าวขอบคุณซาบซึ้งอะไร และไม่ได้บอกชื่อของตัวเองกับเขาด้วย
ต่อมาทุกครั้งที่เขาได้พบเยียนหรูเสวี่ย ส่วนใหญ่จะเป็นเวลาที่นางถูกคนไล่สังหาร นานวันเข้าคนทั้งสองจึงได้รู้จักคุ้นเคยกัน มู่หรงสิงรู้สึกว่านี่คือโชคชะตา ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ก็ได้มาพบพาน
เขาเคยเอ่ยถามเยียนหรูเสวี่ยไปด้วยความใคร่รู้ เหตุใดจะต้องมีคราบเลือดท่วมตัวทุกครั้งไป
เยียนหรูเสวี่ยไม่อยากวุ่นวาย จึงแต่งเรื่องขึ้นเรื่องหนึ่ง บอกว่านางช่วยแก้แค้นให้พ่อกับแม่ ถึงได้ถูกคนไล่สังหาร
มู่หรงสิงสงสารนาง และถูกนางดึงดูดเข้าอย่างลึกซึ้งโดยไม่รู้ตัว กระทั่งเขาคิดอยากจะสารภาพความในใจ นางกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนกับระเหยหายไปจากโลกมนุษย์เสียอย่างนั้น ไม่ว่าเขาจะตามหานางด้วยวิธีการใดก็เปล่าประโยชน์
“ข้าน้อยนามว่าฮ่วนอู๋ ไม่ได้ชื่อเยียนหรูเสวี่ยอะไรนั่นเจ้าค่ะ คุณชายมู่หรงจำคนผิดแล้วจริงๆ” นางไม่อยากให้เฟิงหลีเลี่ยรู้ว่าพวกเขาสองคนรู้จักกัน ด้วยกฎขององครักษ์เงาแล้ว นางเป็นเงาที่ไม่อาจปรากฎตัวต่อฝูงชนได้ ไม่เช่นนั้นจะมีจุดจบทางเดียวคือความตาย และมู่หรงสิงก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
มู่หรงสิงตกใจผงะถอยหลังไปหลายก้าว “แม้แต่ชื่อก็ยังปลอม” คิดถึงความว้าวุ่นใจในความฝันของตนเอง ละเม้อเพ้อพกเรียกชื่อที่สร้างขึ้นมาแต่ไม่ได้มีอยู่จริง เขาแทบอยากจะบีบคอเรียวของนางให้หักไปเลย เผื่อจะคลายความคับแค้นใจลงได้บ้าง การหลอกลวง ความอัปยศผุดขึ้นมาเต็มหัวของเขาไปหมด
ความเงียบอันยาวนาน ในที่สุดมู่หรงสิงก็คลายมือที่จับหัวไหล่ของนางออก กลับคืนสู่สภาพคุณชายผู้สง่างาม ราวกับอาการตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาช่ัวครู่เท่านั้น “เจ้าไปเสียเถิด” ห่างไปให้ไกลๆ เขาไม่อยากจะเห็นหน้าคนที่หลอกลวงเขาคนนั้นอีกต่อไป คิดเสียว่านางได้หนีจากการไล่สังหารในครั้งหนึ่งไปแล้ว ส่วนเยียนหรูเสวี่ยคนนั้นยังคงอยู่ในหัวใจของเขาตลอดไป เป็นเพราะเขาคิดถึงนางมากเกินไปจึงจำคนผิดเอง
เยียนหรูเสวี่ยชะงักอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันกายเดินจากไป ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากลาเลยสักนิด
นางไม่ทันสังเกตเห็นว่าฝ่ามือของเฟิงหลีเลี่่ยนั้นกำแน่น จนเส้นเลือดดำปูดขึ้นพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
มู่หรงสิงเข้าไปเยี่ยมมู่หรงชูอวิ๋น ก็ได้พบกับเยียนหรูเสวี่ยที่เพิ่งจะแยกกับเขาเมื่อครู่ เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่มีอาการตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
แต่เป็นเยียนหรูเสวี่ยที่ชะงักอึ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อมู่เยี่ยนเอ่ยถามนางจึงส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เป็นอันใด จากนั้นก็รายงานสถานการณ์ให้เฟิงหลีเลี่ยฟังต่อ
ครั้นเมื่อเยียนหรูเสวี่ยกลับมาถึงห้องตัวเอง ก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น สายตาเลื่อนลอยว่างเปล่า คล้ายกับไร้จิตวิญญาณ
มู่เยี่ยนผลักประตูเข้ามาเห็นสภาพของนางที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงเอ่ยเสียงเย็นชา “พวกเราเป็นคนของนายท่าน ไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็เป็นได้เพียงเงา อย่าได้คิดถึงเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย”
เขาเข้าใจเรื่องนี้แต่แรกแล้ว หากว่าหลานเอ๋อร์ไม่ใช่คนสนิทของมู่หรงชูอวิ๋น การที่มู่เหยียนคิดจะขอนางมาเป็นภรรยา เห็นทีจะเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น ตั้งแต่วันที่พวกเขาก้าวเข้ามายังตำแหน่งนั้น ก็ไม่มีความคิดเฉกเช่นคนทั่วไปอีกต่อไปแล้ว ในชีวิตมีเพียงความคิดเดียวนั้นก็คือ ปกป้องนายท่าน ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
เยียนหรูเสวี่ยรู้ว่าเขากำลังเตือนสติตนอยู่ ปรับสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “ข้ารู้”
ก็เป็นเพราะเข้าใจกระจ่างชัดแจ้ง นางจึงอดไม่ได้ที่อยากจะมีความปรารถนานั้น ทว่านางไร้ซึ่งคุณสมบัติ คนสกปรกต่ำต้อยเหมือนมดอย่างนาง จะไปคู่ควรกับความรักอันสูงส่งเลิศล้ำของเขาได้อย่างไร ทุกอย่างเป็นเพียงความคิดเพ้อเจ้ออันโง่เขลาเท่านั้น
มู่เยี่ยนเห็นว่านางไม่ใช่คนที่คิดไม่ได้ เมื่อพูดจบก็จากไป อย่างไรแล้วพวกเขาก็เติบโตมาด้วยกัน จึงไม่อยากเห็นในอนาคตนางเลือกเดินบนเส้นทางที่ไม่มีทางย้อนกลับได้
ตัวเขาเองก็อยู่บนถนนเส้นนั้น เป็นเส้นทางอันล่องลอยไม่มีทางย้อนกลับ มองไม่เห็นปลายทาง หาทางออกไม่เจอ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหลานเอ๋อร์ได้ให้กำเนิดลูกน้อย ซึ่งมู่เยี่ยนก็ได้ไปเยี่ยมแล้ว เด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนมู่เหยียนราวกับแกะออกมา ครั้งแรกก็สามารถมองเห็นความปิติยินดีของการเป็นพ่อแม่คนจากตัวของพวกเขาทั้งสองได้ เหมือนกับภัยพิบัติของทุกช่วงเวลาได้ผ่านพ้นไปหมดสิ้น เป็นความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง เขาอยู่เยี่ยมเพียงครู่เดียวก็ขอตัวออกมา
ตอนที่ 393 ส่งนางไปเถิด
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ” ฉินอวิ๋นซินกัดริมฝีปาก มองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างทรมานใจ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยอมรับนาง นางจึงไม่กล้าเรียกฮูหยินผู้เฒ่าว่าท่านแม่ จึงใช้สรรพนามฮูหยินผู้เฒ่าเรียกแทนเหมือนกับคนอื่นๆ
“เขาว่าอย่างไร?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยน้ำเสียงเคร่งขรึมราบเรียบ สายตาเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็ง สัมผัสถึงความอบอุ่นใดๆ ไม่ได้เลย
ฉินอวิ๋นซินใจสั่นโครมคราม “เขาต้องการให้พวกเราส่งตัวอวิ๋นเอ๋อร์และกุยอวิ๋นไปให้ ไม่เช่นนั้น…”
“จะไม่ช่วยใช่หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าหยักมุมปากขึ้นด้วยรอยยิ้มเสียดสี นางเดาออกแต่แรกแล้วว่าท่าทีของพวกเขาคืออะไร วางยาพิษทำร้ายหลานสาวของนาง ยังคิดเอาเองว่าพวกนางจะยอมส่งเหยื่อไปยังปากถ้ำเสือ เห็นพวกนางไร้ความสามารถ ทั้งอวดตัวเองมากเกินไปเสียแล้ว นางผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปี ไหนเลยจะเกรงกลัวกับเด็กเมื่อวานซืนคนเดียวได้
สมัยก่อนมู่หรงจางถูกลอบวางยาพิษ นางได้ผูกผมแต่งชุดจอมพล นำทัพบุกทลายรังข้าศึก เหล่ากองทัพข้าศึกต่างตกใจยอมมอบยาถอนพิษให้อย่างว่าง่าย
ก็แค่พิษชนิดหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ ย่อมต้องมีวิธีการถอนพิษอย่างแน่นอน นางไม่เชื่อว่าท่านหมอ ทั้งท่านหมอเทพจะเอาชนะพิษของสกุลฉินไม่ได้
ฉินอวิ๋นซินเม้มริมฝีปาก
น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยพอใจ “เจ้าออกไปได้ อีกอย่างหากเจ้าคิดจะมาพูดจาหว่านล้อมให้ข้ายอม อย่ามาตำหนิที่ข้าไม่เห็นแก่หน้าของไป๋เอ๋อร์ก็แล้วกัน” ตอนนี้นางเห็นหน้าคนสกุลฉินอารมณ์โมโหก็จะปะทุขึ้นมา การที่นางยอมให้ฉินอวิ๋นซินได้เจอหน้ามู่หรงชูอวิ๋นก็ถือว่าใจกว้างมากแล้ว ไม่เช่นนั้นแม้แต่หน้าประตูก็อย่าหวังเลยว่าจะอนุญาตให้นางเข้ามาได้
ฉินอวิ๋นซินมองดูมู่หรงชูอวิ๋นที่นอนไร้สิ้นเสียงอยู่บนเตียง ใบหน้าทุกข์ตรมระคนทุกข์ใจ ตอนที่นางไปหาฉินสุยนั้น เขาได้ยื่นคำขาดหากไม่ยอมส่งตัวมู่หรงชูอวิ๋นและลูกมาให้ พวกเขาจะไม่ยอมช่วยถอนพิษโดยเด็ดขาด ต่อให้นางจะคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้เขาใจอ่อนได้เลยแม้เพียงสักนิด นางเป็นมารดาของมู่หรงชูอวิ๋น ย่อมต้องหวังให้มู่หรงชูอวิ๋นปลอดภัยยิ่งกว่าใครๆ เหตุการณ์มาถึงทุกวันนี้สิ่งที่นางปรารถนาดูจะเพ้อฝันเกินไปเสียแล้ว
หมอเทพช่วยจับชีพจรให้มู่หรงชูอวิ๋น นั่งตัวตรงแน่วแน่อยู่ทางด้านข้าง
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยังคงเหมือนเดิมขอรับ” เมื่อครู่เขานำยาเม็ดถอนพิษที่ปรุงขึ้นมาเองให้มู่หรงชูอวิ๋นได้ลองกิน ทว่านางกลับไม่มีปฏิกิริยาใดแม้สักเล็กน้อย ต้องโทษตัวเขาในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ได้แต่มัวเมาอยู่กับการจะถอนพิษบุปผาหงส์ไฟอย่างไร แทนที่จะศึกษาพิษของสกุลฉิน หากทำเช่นนั้นบางทีตอนนี้เขาคงไม่ต้องมามืดแปดด้านถึงเพียงนี้ “ฮูหยินผู้เฒ่า เหตุใดจึงไม่ส่งแม่นางไปที่สกุลฉิน บางทีอาจจะพอมีความหวังอยู่บ้าง” ดูจากการติดตามมู่หรงชูอวิ๋นของคนสกุลฉินแล้ว คิดว่าพวกเขาไม่น่าจะเอาเปรียบนางแต่อย่างใด อีกอย่างเด็กที่มู่หรงชูอวิ๋นให้กำเนิดยังเป็นบุตรชายที่มีปานรูปกิเลน ซึ่งก็คือความหวังของสกุลฉิน การส่งมู่หรงชูอวิ๋นไปแล้ว พวกเขาคงจะดูแลทะนุถนอมนาง หากว่าเดาไม่ผิดล่ะก็ พวกเขาจะต้องแต่งตั้งกุยอวิ๋นลูกน้อยที่มู่หรงชูอวิ๋นเพิ่งคลอดให้เป็นว่าที่ผู้นำเผ่ารุ่นต่อไปอย่างแน่นอน
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้อธิบายสาเหตุ แต่เอ่ยถามไปตรงๆ “ท่านผู้เฒ่ามีความมั่นใจกี่ส่วน เรื่องที่จะถอนพิษในตัวให้อวิ๋นเอ๋อร์ได้” ตระกูลมู่หรงทุกวันนี้ก็มีความสัมพันธ์อันคลุมเครือกับทางราชสำนัก ไม่อาจมีความสัมพันธ์กับยุทธจักรได้อีก อย่างไรแล้วเฟิงหลีเลี่ยชีวิตนี้ก็เจอเรื่องแย่ๆ มามากพอแล้ว กว่าจะได้มู่หรงชูอวิ๋นมาอยู่ข้างกายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
พวกเขาไม่อาจเห็นแก่ตัวถึงเพียงนั้น แม้จะหวังอยากให้มู่หรงชูอวิ๋นดีขึ้น แต่ก็ไม่อาจละเลยความรู้สึกของเฟิงหลีเลี่ยได้ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากให้เรื่องราวของลูกชายต้องเกิดกับหนุ่มสาวสองคนนี้อีก
หมอเทพชูสามนิ้วเป็นคำตอบ ยาพิษของสกุลฉินสร้างขึ้นมาจากส่วนประกอบแตกต่างกัน อีกทั้งคนที่ปรุงยาก็เป็นอีกคน ต่อให้หาตัวคนที่ปรุงพิษนี้ขึ้นมาได้ ก็ไม่อาจแน่ใจว่าคนผู้นั้นจะถอนพิษได้ ด้วยนี้จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมหมอเทพจึงเครียดอยู่เช่นนี้ เขาไม่กล้าผลีผลามถอนพิษ เพราะกลัวว่าพิษนั้นจะตีกันได้
“ท่านย่า ส่งอวิ๋นเอ๋อร์ไปเถิดขอรับ” ประตูใหญ่ปิดสนิทถูกผลักเปิดออก น้ำเสียงของเฟิงหลีเลี่ยแผ่วเบา แฝงด้วยรังสีเยียบเย็น “ให้อวิ๋นเอ๋อร์ไป อย่างน้อยอวิ๋นเอ๋อร์ก็รอดชีวิตนะขอรับ” เขาทนเห็นสภาพที่มู่หรงชูอวิ๋นนอนนิ่งเงียบอยู่บนเตียงมามากพอแล้ว เขากลัวว่าสักวันจะสัมผัสกับมือที่ไร้อุณหภูมิของมู่หรงชูอวิ๋นเข้า ทว่าเขาไม่รู้ว่ามือของนางไร้อุณหภูมิเช่นนี้มานานแล้ว เขาหวั่นกลัว เขายอมรับได้หากมู่หรงชูอวิ๋นจะมีชีวิตอยู่ในสถานที่ที่เขาไม่รู้จัก ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย เช่นนั้นต่อให้ในอนาคตมู่หรงชูอวิ๋นจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก แต่เขาก็ยังสามารถไปชิงตัวนางกลับมาได้
ดวงตาดำขลับของเฟิงหลีเลี่ยแน่วแน่ราวกับสายน้ำที่เงียบสงบ เมื่อประสานสายตากับเขาแล้ว จะถูกดูดจมลึกลงไปอย่างไม่รู้ตัว เวลานี้แสงจันทร์ลับเลือนลงไป เหลือไว้เพียงความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด เข้มข้นดั่งผืนน้ำหมึก เป็นแววตาที่ซ่อนไว้เพียงระลอกความแน่วแน่
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวใจกระตุกวาบ พูดเสียงตระกุกตระกัก “เลี่ยเอ๋อร์ เจ้า…”
นางไม่รู้ว่าเฟิงหลีเลี่ยเข้าใจหรือไม่ การส่งตัวมู่หรงชูอวิ๋นไปให้สกุลฉินหมายถึึงอะไร
เฟิงหลีเลี่ยมองคนที่นอนอยู่บนเตียง เอ่ยอย่างไม่ยอมถอย “ท่านย่า ไม่มีครั้งใดที่ข้าจะชัดเจนว่าตัวเองกำลังทำอะไรได้เท่ากับครั้งนี้อีกแล้ว”
ก้นบึ้งหัวใจของฮูหยินผู้เฒ่ามีระลอกคลื่นความขมขื่นเอ่อล้นขึ้นมา “เด็กดี หากอวิ๋นเอ๋อร์กล้าลืมเจ้า ย่าจะช่วยสั่งสอนนางให้เจ้าเอง ให้นางยอมรับการกระทำทั้งหมดให้ได้” นางก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นจะลืมนางด้วยหรือไม่ ความกลัวของนางก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเฟิงหลีเลี่ย
“ขอบคุณท่านย่าขอรับ”
ตอนที่ 394 ปกป้องนางให้ดี
เฟิงหลีเลี่ยอุ้มมู่หรงชูอวิ๋นไปนอนบนรถม้า ก่อนจะหันกลับมาพูดกับฉินอวิ๋นซิน “ท่านต้องปกป้องดูแลนางให้ดี ไม่เช่นนั้นข้าจะทำลายสกุลฉินให้ราบเป็นหน้ากอง” ทุกถ้อยคำที่เฟิงหลีเล่ียเปล่งออกมานั้นเยียบเย็นน่ากลัวราวกับวิญญาณ ทว่าก็กระจ่างชัดดั่งแสงจันทร์สาดส่อง เขาไม่ได้พูดเล่น หากมู่หรงชูอวิ๋นมีอันเป็นไป เขาไม่รังเกียจที่จะทำให้คนทั้งสกุลฉินฝังร่างลงสุสานไปพร้อมกัน อย่างไรเสียนางก็ไม่อยู่แล้ว การมีอยู่เหล่านั้นก็เป็นเพียงสิ่งย้ำเตือนว่ามู่หรงชูอวิ๋นจากไปอย่างไร
คิ้วโก่งงามของฉินอวิ๋นซินย่นขมวดบางๆ ใบหน้ารูปไข่อันละเอียดอ่อนของนางฉายแววความกังวลอยู่จางๆ เพิ่มความน่าหลงใหลให้กับโฉมหน้าที่งดงามโดดเด่น เห็นแล้วใจต้องหวั่นไหว “อวิ๋นเอ๋อร์เป็นลูกสาวของข้า ข้าย่อมใช้ชีวิตเพื่อปกป้องนางอยู่แล้ว”
สกุลฉินไม่อนุญาตให้คนอื่นเหยียบเข้ามาในอาณาเขตโดยง่าย ด้วยเหตุนี้ฉินสุยจึงสั่งให้คนมาอารักขามู่หรงชูอวิ๋นกลับไปตั้งแต่เช้าตรู่ ที่นี่มีเพียงฉินอวิ๋นซินที่เป็นคนของพวกเขา จึงมีเพียงนางที่จะไปเป็นเพื่อนมู่หรงชูอวิ๋นได้
เฟิงเยี่ยนเฉิงรีบพูดเสริมขึ้นมา “รวมถึงหลานชายของข้าด้วย หากข้ารู้ว่าพวกเจ้าดูแลเขาไม่ดี ข้าจะให้เสด็จพ่อส่งกองทัพใหญ่ไปสังหารพวกเจ้าให้หมดทุกคน” เมื่อคิดได้ว่าจะไม่ได้พบหน้าหลานชายตัวน้อยที่ชอบดูดนิ้ว แก้มยุ้ยเป็นพวงคนนี้แล้ว เขาก็รู้สึกเสียใจ เวลาที่เขาพักอยู่ในวังใหญ่บนภูเขากับเสด็จแม่ เฟิงเยี่ยนเฉิงเด็กสุดจึงไม่มีใครเล่นกับเขา กว่าจะได้เจอกับเด็กที่อายุน้อยกว่าตนทั้งยังมีวัยวุฒิต่ำกว่าตนด้วย ทว่าได้อยู่ด้วยกันไม่เท่าไรก็ต้องพลัดพรากกันเสียแล้ว
เฟิงหรงสวี่ที่ยืนดูเรื่องสนุกอยู่ทางด้านข้างพลันกลายมาเป็นเป้าล่อในทันที ลูบจมูกตัวเองพลางคิดในใจ คนที่ทำให้เดือดร้อนไม่มีที่ว่างเว้น แท้จริงแล้วเห็นจะมีแต่เจ้าลูกชายคนเดียวของเขาคนนี้เสียแล้ว หากใครไม่รู้เรื่องราวจะคิดว่าเขาเป็นพ่อเลี้ยงเสียเอง
“ส่งเด็กให้ข้าเถิดเจ้าค่ะ” ฉินอวิ๋นซินยื่นแขนไปทางน่าหลันฉิง
น่าหลันฉิงในมืออุ้มกุยอวิ๋นอยู่ก็เอียงหลบตัวไปโดยสัญชาตญาณ ไม่ยอมปล่อยมือ ตั้งแต่กุยอวิ๋นเกิดมาจนถึงวันนี้ก็มีแต่นางที่ดูแลเขามาตลอดสี่เดือนกว่า บัดนี้ต้องมาพลัดพรากจากกัน นางยังทำใจให้ชินไม่ได้ นางเห็นทารกน้อยเป็นเหมือนเฟิงหลีเลี่ยตอนเด็กไปเสียแล้ว ความรักที่มีให้คนทั้งสองรวมอยู่ด้วยกัน ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นเป็นพิเศษ แม้แต่เวลานอนยังวางทารกน้อยไว้ข้างกายถึงจะสบายใจได้ นางไล่ให้เฟิงหรงสวี่ไปนอนที่เก้าอี้นอนตัวเล็ก เพื่อป้องกันเผื่อเขาไม่ทันระวังอาจเผลอทับทารกน้อยได้ เฟิงหรงสวี่ได้แต่ทำหน้าน้อยใจ กุยอวิ๋นเกิดมานานเท่าไร เขาก็ไม่ได้แตะต้องภรรยาของตัวเองมานานเท่านั้น บางครั้งเขายังไม่ได้เข้าใกล้ กุยอวิ๋นก็ร้องไห้โฮเสียแล้ว น่าหลันฉิงตำหนิโทษเป็นเพราะเขา แม้แต่เด็กก็กล้ารังแกได้ ทว่าความจริงมือของเขายังไม่ทันได้ยกขึ้นมาทำสิ่งใดเลย อยากจะร้องไห้เปล่งน้ำตาของผู้บริสุทธิ์เหลือเกิน ต้องทำตัวเป็นคนดีถือศีลกินเจมาทุกวัน เขาแทบจะทนไม่ไหวอยากจะระเบิดน้ำตาออกมาอยู่แล้ว ทว่าเขาทำได้เพียงเก็บน้ำตาทุกหยดซ่อนไว้ในใจ เด็กน้อยโตเร็วแต่ละวันพัฒนาการก็ต่างไป อีกทั้งยังไม่ค่อยจดจำเรื่องราว ในอนาคตจะต้องลืมนางแน่ ไหนเลยจะยังจำได้ว่านางเป็นท่านย่าที่รักและตามใจเขาเป็นที่สุด
อย่างไรแล้วคนสกุลฉินกล้าลงมือกับหลานสาวแท้ๆ ของหัวหน้าเผ่าได้ นางจึงไม่กล้าเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรกับกุยอวิ๋น
จากกันวันนี้ไม่รู้เมื่อใดจะได้พบหน้า กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้ากันเป็นนานปี
หลังจากรถม้าแล่นไปไกล น่าหลันฉิงไม่อาจกลั้นความรู้สึกต่อไปได้อีก ซุกหน้าลงที่หน้าอกของเฟิงหรงสวี่ น้ำตาใสเป็นประกายหลั่งริน
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้มาส่ง นางไม่อยากส่งพวกเขาไปยังเส้นทางที่ไม่มีทางหวนกลับด้วยมือของตัวเอง
วันนั้นเฟิงหลีเลี่ยยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหนตลอดทั้งวัน สายตาของเขาทอดมองไปยังทิศทางเดียวกับรถม้าที่แล่นจากไป ทว่าทิศทางนั้นมีเพียงเกล็ดหิมะลอยล่องตามสายลม ไม่มีสิ่งใดนอกจากความว่างเปล่าแห่งสีขาวโพลนของหิมะทั้งผืน
เกล็ดหิมะขาวบริสุทธิ์เกาะกุมอยู่บนขนคิ้วขาวโพลน รองเท้าจมอยู่ในกองหิมะ น่าหลันฉิงเห็นแล้วก็ทรมานใจเป็นที่สุดไปห้ามเขาอยู่นาน แต่ก็ไม่อาจโน้มน้าวเขาได้เลย กระทั่งขอบฟ้าเริ่มเป็นสีขาว เฟิงหลีเลี่ยถึงได้ยอมกลับไป
ตอนที่ 395 ชิงบัลลังก์ 1
หลังจากที่มู่หรงชูอวิ๋นไปสู่สกุลฉินแล้ว เฟิงหลีเลี่ยก็เปล่ียนกลับมาเป็นคนเดิม เหมือนตอนที่โลกยังไม่มีมู่หรงชูอวิ๋นปรากฎตัว
เงียบไม่ส่งเสียงใดๆ ได้นานเป็นครึ่งวัน แต่ละวันจะช่วยเฟิงหรงสวี่วางแผนออกความคิดเห็น งานใดต้องทำก็จะทำสิ่งนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด ทุกคนต่างอดเป็นห่วงไม่ได้ ทว่าเฟิงหลีเลี่ยกลับทำตัวเหมือนว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
นอกจากบางครั้งที่เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกมู่เหยียน จะกระตุกคิ้วขึ้นบ้าง ส่วนเวลาอื่นจะทำตัวเย็นชาดั่งก้อนน้ำแข็ง
ก่อนหน้านี้เวลาล่าช้ามานานหลายเดือนยังไม่สามารถตีเมืองหลวงได้เสียที ทว่าบัดนี้ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งเดือนก็สามารถตีดินแดนใกล้เคียงกับเมืองหลวง รวมถึงยึดครองเมืองหลวงได้แล้ว
ในประตูท้องพระโรงอัดแน่นไปด้วยบุตรธิดาและเหล่าสตรีของฮ่องเต้ อีกทั้งเหล่าผู้นำแม่ทัพของฮ่องเต้ด้วย บรรยากาศโชยกลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจาย สีหน้าของนางสนมนางในจำนวนไม่น้อยต่างซีดขาว บ้างก็เป็นลมหมดสติไป
เฟิงหรงสวี่และเฟิงหลีเลี่ยสองคนจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
เฟิงหลีเย่มองคนทั้งสองที่ยืนตระหง่านอยู่ด้วยกัน แม้ว่าเขาจะเดาเรื่องราวออกแล้ว แต่เมื่อได้เห็นก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผวาใจ เขาพลันมีความรู้สึกไม่เข้าใจว่าเขาเป็นตัวอะไรในใจของเฟิงหลีเลี่ยกันแน่ บางทีอาจไม่ได้เป็นตัวอะไรเลยก็เป็นได้
“เสด็จน้องสิบแปด เราดีกับเจ้ามาโดยตลอด” สายพระเนตรของฮ่องเต้วาบไหวไปด้วยระลอกคลื่นเยียบเย็น
เฟิงหรงสวี่กล่าวด้วยถ้อยคำเสียดสี “เสด็จพี่ พระองค์กล้าตรัสสิ่งนี้กับเสด็จพ่อหรือไม่ ทุกคนต่างรู้ดีว่าในสายพระเนตรของเสด็จพ่อนั้นมีข้าเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์เพียงผู้เดียว แต่พระองค์นั้นไซร้ เพื่อบัลลังก์แห่งนี้แล้วถึงกับลอบวางยาพิษให้เสด็จพ่อ คิดว่าข้าจะเข้าใจและไม่เก็บมาใส่ใจเช่นนั้นหรือ พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าข้าเกลียดชังพระองค์มากเพียงใด ดังนั้นข้าต้องการทำให้เสด็จพ่อทรงเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ครอบครองได้ แต่หาจะรักษาไว้ได้ไม่”
“ไร้สาระสิ้นดี ราชโองการเขียนไว้อย่างชัด…”
“เขียนไว้อย่างชัดเจน” เฟิงหรงสวี่แค่นหัวเราะพร้อมกับเอ่ยสวนถ้อยคำที่เขาต้องการจะเอ่ย พลางรับราชโองการจากมือของมู่เยี่ยนมาเปิด “เสด็จพี่หมายถึงราชโองการฉบับนี้ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นอักษรสองตัว พร้อมกับลายพระหัตน์อันคุ้นเคย แววพระเนตรวาบไหวไปด้วยความลนลาน “มันเป็นแค่ของปลอม เจ้าคิดว่าจะนำมาหลอกคนทั้งใต้หล้าได้อย่างนั้นหรือ?” สิ่งที่พระองค์หวาดกลัวที่สุดก็คือสิ่งของของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ต่อให้เป็นเพียงอักษรเพียงตัวเดียวก็ตาม ดังนั้นทั่วทั้งแคว้นชังหมิงจึงไม่หลงเหลือสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ราชโองการสละราชบังลังก์ที่เลียนแบบลายพระหัตน์ของฮ่องเต้พระองค์ก่อนฉบับนั้นก็ยังถูกพระองค์เก็บซ่อนเอาไว้ การที่น่าหลันฉิงต้องพบกับภัยฆ่าล้างตระกูลก็เป็นเพราะมีคนไม่ทันระวังไปพบเรื่องราวนี้เข้า
“เสด็จพี่ เหตุใดพระองค์จึงยังไม่เข้าพระทัยเรื่องนี้อีก ราชโองการฉบับนี้ได้ท่านโหวมู่หรงผู้เฒ่าผู้เป็นอาจารย์ที่เคารพของข้าเก็บรักษาเอาไว้นานยี่สิบกว่าปี ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงหามันไม่พบนั่นเอง ก่อนที่เสด็จพ่อจะสิ้นพระชนม์ ได้ส่งมอบมันให้กับท่านอาจารย์ด้วยพระองค์เอง ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าต้องนอนบนฟืนกินดีขม[1] ซึ่งท่านอาจารย์ได้บอกให้ข้าอย่าแสดงความสามารถ เพราะเขากลัวว่าหากเผยความสามารถออกไป อาจนำมาซึ่งความตายได้”
“อ้อเกือบลืมไป ข้ามีอีกเรื่องที่อยากกราบทูลพระองค์ให้ทรงทราบ การตายของเฟิงหลีเฉิงนั้นเป็นเพราะเขาไปเจอกับสาเหตุของเรื่องนี้เข้า ทว่าในคืนนั้นเสด็จพี่แสนดีของข้า ผู้เป็นเสด็จพ่อที่ดีของเขากลับให้ความสนพระทัยสตรีที่เพิ่งจะพบหน้าและถูกพระทัย ไม่ยอมพบหน้าเขาสักนิด แต่ทรงไล่ให้เขากลับไปเสียก่อน หลานชายผู้น่าสงสารของข้า แม้ตายไปแล้วก็คงยังไม่เข้าใจเหตุผลของเรื่องนี้กระมัง”
หากไม่ใช่เพราะได้รู้ว่าเฟิงหรงสวี่เป็นคนสังหารเฟิงหลีเฉิงด้วยตัวเอง พระองค์คงจะยังทรงคิดว่าเฟิงหรงสวี่เศร้าเสียใจกับการจากไปของเฟิงหลีเฉิงจริงๆ ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มของเฟิงหรงสวี่สดใสมากเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งหวั่นกลัวมากเท่านั้น ต่างยืนตัวสั่นเทาอยู่ด้านข้าง
“เจ้ากล้า…” พระดัชนีสั่นระริกชี้ไปยังเขา ทว่าความเจ็บปวดพลันผุดขึ้นมาจุกพระอุระให้ทรงตรัสสิ่งใดไม่ออก
เฟิงหรงสวี่ได้เห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้แล้ว โค้งรอยยิ้มอย่างพอใจพลางกล่าว “เสด็จพี่ ความรู้สึกที่ท่วมทะลักขึ้นมาจากพระทัยคุ้นเคยดีหรือไม่ เป็นความรู้สึกเหมือนถูกแมลงเป็นหมื่นเป็นพันกัดกินพระทัยใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สีพระพักตร์เปลี่ยนไปถนัดตา แดงเทือกเสมือนอาทิตย์ลาลับฟ้า พระพักตร์เปี่ยมไปด้วยความโกรธกริ้ว “เจ้า…”
[1] นอนบนกองฟืนกินดีขม เป็นสุภาษิตจีน หมายถึงเข้มงวดกับตัวเองเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคและลบล้างการถูกหยามเกียรติ
ตอนที่ 396 ชิงบัลลังก์ 2
“ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ นี่ก็คือพิษที่เสด็จพ่อโดนสมัยนั้น เพื่อให้เสด็จพ่อจากไปอย่างสงบ ข้ามือสั่นไม่ทันระวังทำหกใส่ถ้วยชาของพระองค์ไปแล้ว” พิษที่ฝ่าบาทโดนเป็นพิษที่มาจากดินแดนตะวันตก ไร้สีไร้กลิ่น ขอเพียงถูกทำให้หงุดหงิดใจพิษก็จะออกฤทธิ์ ต่อให้พิษออกฤทธิ์ก็ไม่มีทางตรวจพบได้ เพื่อต้องการตรวจหาว่าสมัยนั้นเสด็จพ่อโดนพิษใดกันแน่ เขาได้เดินทางขึ้นเหนือลงใต้เป็นเวลาสิบกว่าปี ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าเสด็จพ่อถูกพิษใดกันแน่ หลังจากวันแต่งงานของเฟิงหลีเลี่ย ท่ามกลางพระตำหนักเสวียนหยางที่ถูกผู้คนจ้องมอง เฟิงหรงสวี่ก็ได้ลงมือแล้ว นอกจากเฟิงหลีเลี่ยก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
เหมือนจะคิดอะไรได้ เฟิงหรงสวี่ได้เอ่ยพูดกับคนที่ประคองฮ่องเต้อยู่ “หยางซุ่นเจ้ามาได้แล้ว”
ได้ยินเสียงของเฟิงหรงสวี่ หยางซุ่นก็ปล่อยมือที่ประคองฮ่องเต้ลง ก้าวเท้าขยับมาอยู่ข้างกายเฟิงหรงสวี่
สายตาสังหารพลันตกมาอยู่ที่ตัวของหยางซุ่น แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงไม่ยากจะเชื่อ
“หยางซุ่น” ฮ่องเต้กลั้นความกร้ิวโกรธเอาไว้ไม่อยู่ พ่นชื่อสองคำนี้ออกมาจากพระโอษฐ์
“กระหม่อมเป็นคนของข้างกายของฮ่องเต้มาโดยตลอด อดีตฮ่องเต้รับสั่งให้กระหม่อมรักษาบังลังก์แห่งนี้ไว้ให้กับท่านอ๋องสิบแปดพ่ะย่ะค่ะ” ไม่มีความรู้สึกเสียใจแต่อย่างใด สมัยก่อนนั้นเฟิงหรงสวี่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ต่อมาอดีตฮ่องเต้ได้ยกเขาให้เป็นคนของฮ่องเต้ ความจริงแล้วอดีตฮ่องเต้ทรงเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว ทรงช่วยปูทางให้กับเฟิงหรงสวี่เป็นอย่างดี วางคนของตนเองไว้ข้างกายองค์ชายทุกพระองค์ สมัยก่อนนั้นหยางซุ่นไม่ใช่ขันธีผู้รู้พระทัยฮ่องเต้ จึงไม่ทราบเรื่องแผนการลับของเขา
องค์รัชทายาทมองคนที่ยืนอยู่ข้างกายเฟิงหรงสวี่ด้วยท่าทางที่ไม่เป็นเดือดเป็นร้อน แต่พวกเขากลับเป็นคนพ่ายแพ้ต้องหดตัวหลบอยู่ด้านข้างไม่ต่างไปจากมด จึงตะโกนเสียงกร้าวอย่างโกรธเคือง “เฟิงหลีเลี่ย เขาเป็นโจรกบฎ เจ้ายืนอยู่กับเขาก็เป็นคนที่ไม่จงรักภักดีไร้คุณธรรม” มีสิทธิอันใด เขาเป็นองค์รัชทายาท ในอนาคตเป็นผู้ที่จะได้ขึ้นไปนั่งอย่างทรงเกียรติอยู่บนติ่งทองเก้าชั้น[1]
ฮ่องเต้ไม่ทรงขัดขวางเขา เพราะหากเฟิงหลีเลี่ยกลับมาจริงๆ เช่นนั้นตอนจบของเรื่องก็อาจเปลี่ยนแปลงได้
เฟิงหลีเลี่ยกลับทำเหมือนมองไม่เห็น สายตามองผ่านพวกเขาไปอีกทาง ราวกับคนที่ไร้จิตวิญญาณ มีเพียงร่างกายเท่านั้น
“เฟิงหลีเลี่ย” องค์รัชทายาทคิ้วสั่นราวกับส่งเสียงออกมา ดวงตาทั้งสองพ่นรังสีที่สามารถมองทะลุคนได้
“ซืดซืด องค์รัชทายาทใยต้องโกรธเคือง พระองค์ไม่ใช่ไม่ทรงรู้จักเลี่ยเอ๋อร์ เขาก็แค่ไม่ชอบพูดจาเท่านั้น ก็เหมือนกับสมัยก่อนที่รู้แก่ใจดีว่าพระองค์เป็นคนใช้มีดแทงเฟิงหลีเย่ เขาก็แค่ไม่เคยอธิบายเท่านั้น”
พระสนมเซียวหัวใจสั่นสะท้าน เอามือปิดปากตัวสั่นเทา สมัยนั้นนางคิดว่าเป็นฝีมือของเฟิงหลีเลี่ยมาโดยตลอด ไม่ว่าเฟิงหลีเย่จะอธิบายกับนางไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็ตาม ใครจะรู้ว่ามีความลับเช่นนี้อยู่จริง ความรู้สึกผิดฝังติดอยู่ในใจของนาง ที่แท้นางก็ไม่ใช่คนดีอะไร
เฟิงหรงสวี่เห็นสีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันไป ก็รู้สึกพอใจเป็นพิเศษ
“เจ้าต้องการทำสิ่งใดกันแน่?” ฮ่องเต้กำพระหัตน์ตรัสออกมาด้วยความโกรธ ขมับของพระองค์มีเส้นเลือดดำปูดขึ้นมา หนวดตั้งขึ้นเป็นเส้นๆ เหมือนเข็ม
“ฮ่ะ เสด็จพี่ช่างตลกนัก” เฟิงหรงสวี่กุมท้องหัวเราะเสียงดัง “ยังไม่ชัดเจนพอหรือพ่ะย่ะค่ะ? ผู้ชนะคือราชา ผู้แพ้คือกบฎ”
เงียบลงครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ใช่แล้ว เมื่อคืนเสด็จพ่อทรงมาเข้าฝันข้าด้วย ทรงตรัสว่าคิดถึงพระองค์มากเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ความเจ็บปวดที่ทรวงอกเพิ่มความหวาดกลัว ชี้หน้าเฟิงหรงสวี่ทว่าตรัสไม่ออกสักคำ
“พระองค์อย่าได้เป็นกังวลพระทัยเลย ข้าไม่ประหารท่านหรอก” เฟิงหรงสวี่โค้งมุมปากยิ้ม ถึงตอนนี้เขาได้แก้แค้น ก็ควรทวงสิ่งที่เป็นของตนเองกลับมา “ท่านอย่าเอาความหวังไปฝากไว้ที่พระมารดาของท่านเลย ก่อนหน้าเมื่อไม่นานมานี้พระนางได้เห็นภาพเหมือนของเสด็จพ่อ ตื่นเต้นมากจนเสียสติไปแล้ว”
เรื่องที่ฮ่องเฮาทรงทำไว้ในสมัยนั้น ยังคงติดอยู่ในใจมานานไม่อาจสงบใจได้ จึงไปที่วัดบรรพบุรุษเพื่อสวดมนต์ขอพร เพียงแต่พระนางไม่อาจผ่านพ้นด่านความรู้สึกผิดในใจไปได้ ทำกรรมเลวไว้มาก ก็จะร้อนตัวได้ง่าย เขาเพียงแต่ใช้แผนการเล็กน้อย พระนางก็เสียสติไปแล้ว ดังนั้นจะมาโทษเขาหาได้ไม่ ต้องโทษที่พวกเขาทำเรื่องชั่วช้ามามากเกินไป
“เราเป็นคนที่ทำอย่างที่เจ้ากล่าวหาไม่…” ฮ่องเต้กลั้นลมหายใจ กว่าจะตรัสถ้อยคำประโยคนั้นออกมาได้
เฟิงหรงสวี่ไม่มองพระองค์อีก สั่งการไปโดยตรง “สืบทอดบัลลังก์เป็นกษัตรย์ไม่ดี ทำร้ายพี่น้อง สังหารบิดา ด้วยเมตตาของเรา ให้นำตัวไปขังไว้…”
เฟิงหรงสวี่อ่านข้อความหยาวเหยียดจนจบ มีคนชอบย่อมมีคนชังเป็นธรรมดา เฟิงหลีเย่ไม่รู้ว่าความรู้สึกของตนเองเป็นอย่างไร มีเขาเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกสั่งขัง เขารู้ดีว่านั่นเป็นความโชคดีจากเฟิงหลีเลี่ย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาสงสัยของคนอื่น เขาพลันรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมาทันที
[1] ติ่งทองเก้าชั้น เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุดของวัฒนธรรมจีน
ตอนที่ 397 ชิงบัลลังก์ 3
ฮ่องเต้กวาดสายพระเนตรบางๆ มาที่เฟิงหลีเลี่ย ตรัสถาม “เหตุใดเจ้าถึงช่วยเขา? เราเป็นบิดาของเจ้า แค่กๆ…” ฮ่องเต้ทรงไออยู่นานถึงจะดีขึ้นมาได้ เฟิงหลีเลี่ยหยิบถ้วยน้ำชาส่งให้กับพระองค์ ทว่าถูกพระองค์ปัดทิ้งลงพื้นไปด้วยความโมโห แสร้งทำดีพระองค์ไม่เคยต้องการ
เฟิงหลีเลี่ยมองดูถ้วยน้ำชาที่กลิ้งไปกับพื้น สีหน้าเรียบเฉยไร้ความเปลี่ยนแปลง ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น มองดูคนที่หายใจไม่ออก ลมหายใจแทบจะขาดรอน
จึงลากเก้าอี้มาตัวหนึ่ง แล้วนั่งลงตรงหน้าของพระองค์ “เขาช่วยกระหม่อมไว้ และผู้หญิงคนนั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพูดอะไร?” ฮ่องเต้สองพระหัตถ์กำคอเสื้อของเฟิงหลีเลี่ยไว้แน่น รูม่านตาขยาย ถลึงตาด้วยความโกรธเกรี้ยว มีเส้นเลือดดำที่หน้าผากผุดขึ้นลงตามจังหวะลมหายใจหอบหืดจากความโกรธ “ผู้หญิงคนนั้นคือใคร?”
“พระองค์ทราบดีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ปล่อยคอเสื้อของเฟิงหลีเลี่ย ส่ายหน้าอย่างบ้าคลั่ง พึมพำ “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เห็นชัดว่า…”
“เห็นชัดว่าพระองค์สั่งให้แม่นมใบ้วางยา นางจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร” ฮ่องเต้ทรงตื่นตกใจทอดพระเนตรเฟิงหลีเลี่ยราวกับไม่เคยรู้จักเขามาก่อน
“ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่ทรงทราบตัวตนของกระหม่อม วันนั้นพระองค์รู้เพียงว่าเพื่อตำแหน่งของพระองค์แล้ว ต้องถอนรากถอนโคลนตระกูลน่าหลัน ทรงมองข้ามทุกสิ่ง เดิมทีทรงคิดว่าจะลืมทุกอย่างได้ ทว่าวันนั้นที่อุทยานลอยฟ้า พระองค์ได้พบกับผู้หญิงสติฟั่นเฟืองคนนั้น ในแววตาของนางเวลาที่มองพระองค์ไม่เหลือความรักอีกต่อไป แม้จะเสียสติไปแล้วแต่ก็ไม่อาจลบความเกลียดชังให้สิ้นได้ พระองค์หวาดกลัว ในพระทัยของพระองค์นั้นนางได้ตายจากไปนานแล้ว เมื่อทรงทำถึงเพียงนั้นแล้วจึงทำให้ถึงที่สุดโดยไม่สนพระทัยสิ่งใดทั้งสิ้น รับสั่งให้คนนำยาพิษและมีดไปวางตรงหน้าของแม่นมใบ้ ผู้หญิงใบ้น่าสงสารคนนั้นไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี สุดท้ายนางกลั้นใจทั้งน้ำตาให้ผู้หญิงบ้าคนนั้นดื่มยาพิษ ลำดับต่อไปก็คือเด็กคนนั้น สิ่งที่ทำให้พระองค์คิดไม่ถึงที่สุดก็คือ เหตุใดเด็กคนนั้นจึงยังมีชีวิตรอดมายืนตรงหน้าของพระองค์ คอยย้ำเตือนพระองค์อยู่ทุกวันว่าพระองค์เคยทำเรื่องดีอะไรบ้าง เสด็จพ่อผู้ประเสริฐ ลูกพูดสิ่งใดผิดไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์อย่างบ้าคลั่ง “ไม่ใช่ เราจะฆ่านางลงได้อย่างไร นางเป็นผู้หญิงที่เรารักที่สุด…”
“พระองค์ทรงอย่าได้เสแสร้งจริงใจอีกเลย ไม่มีผู้ใดจะมองเห็น อีกอย่างทรงอย่าตรัสว่ารักนางเลยพ่ะย่ะค่ะ น่าขยะแขยงเป็นที่สุด”
“เสด็จพ่อ พี่สี่พูดเรื่องจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เฟิงหลีเย่เดิมทีไม่ควรมาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ พลันไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิดหวังเป็นที่สุด เขาคิดมาตลอดเวลาว่าเสด็จพ่อเพียงแต่รังเกียจพี่สี่เท่านั้น แต่ไม่เคยคิดว่าพระองค์ต้องการจะฆ่าเขา เสือดุร้ายเพียงใดก็ไม่กินลูกตัวเอง แต่พวกเขาเป็นลูกชายแท้ๆ ของพระองค์ เป็นผู้หญิงที่พระองค์ทรงรักมากที่สุด ราวกับเฟิงหลีเลี่ยที่ตัวผอมแห้งราวกับฟืนถ่าน หวาดกลัวสุดขีดเมื่อเห็นผู้คนผู้ คนที่วิ่งมาชนเขาคนนั้นได้ปรากฎตัวต่อหน้าของเขาอีกคร้ั้ง
เฟิงหลีเย่กวาดตามองฮ่องเต้บางๆ ไม่มีคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ย
“เย่เอ๋อร์ ลูกอย่าไปเชื่อคำพูดเหลวไหลของเขา คนที่ฆ่าบิดาอย่างเขาไม่มีทางมีทายาทได้”
เดิมทีเฟิงหลีเลี่ยคิดจะออกไปแล้ว เมื่อได้ฟังถ้อยคำเช่นนี้ ผลิรอยยิ้มเย็นชาขึ้นมาอย่างสดใสแทรกซึมทุกสิ่งจนสิ้น ทุกคนต่างมองด้วยอาการตกตะลึง
“ลืมกราบทูลพระองค์ไปเรื่องหนึ่ง ลูกชายของกระหม่อมคลอดมาแล้วในช่วงน้ำค้างแข็ง เขาเป็นเด็กที่ฉลาดหลักแหลมมาก ดังนั้นเสด็จพ่อไม่ต้องทรงเป็นห่วงว่ากระหม่อมจะไม่มีทายาทพ่ะย่ะค่ะ” ได้เห็นพระพักตร์บูดบึ้งด้วยความโกรธกริ้วของฮ่องเต้ จึงกระซิบข้างพระกรรณ “น้องชายของกระหม่อมปีนี้สิบขวบแล้ว พระมารดาให้กำเนิดเองนะพ่ะย่ะค่ะ” มุมปากพลันหยักยิ้มขึ้นมา
เฟิงหลีเย่ได้ยินประโยคครึ่งแรกของเขาก็ตกใจ แววตาปกคลุมไปด้วยความโดดเดี่ยวเงียบเหงา แต่ประโยคท่อนหลังเฟิงหลีเลี่ยพูดเสียงกระซิบ เฟิงหลีเย่จึงฟังไม่ได้ยิน
พูดจบแล้วก็เดินจากไป สำหรับเฟิงหลีเย่นั้น เฟิงหลีเลี่ยเชื่อว่าฮ่องเต้ผู้ทรงรักหน้าตาไม่มีทางพูดเรื่องนี้ออกมาแน่ อย่างไรแล้วผู้หญิงที่พระองค์ตรัสว่ารักและทำร้ายนางมาตลอดหลายปี ได้ให้กำเนิดบุตรชายกับคนอื่น ทั้งยังโตมาขนาดนั้นด้วยแล้ว
“เสด็จพ่อ…”
เสียงอุทานตกใจของเฟิงหลีเย่ดังขึิ้นทางด้านหลังของเขา แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งฝีเท้าให้เดินจากไปของเฟิงหลีเลี่ยได้
ฮ่องเต้ทรงกระอักเลือดออกมา ก่อนจะหมดสติล้มลงไป
ตอนที่ 398 ชิงบัลลังก์ 4
พระสนมเซียวยืนหน้าประตูรออยู่นานกว่าจะเห็นเฟิงหลีเลี่ย รีบรุดขึ้นหน้าไปด้วยความตื่นตะหนก แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี นางตามเฟิงหลีเย่เข้ามา ทว่าเฟิงหลีเย่เข้าไปด้านในแต่นางไม่รู้ว่าควรจะมองหน้าเฟิงหลีเลี่ยอย่างไร จึงคอยหลบหน้าอยู่บ้าง
รู้สึกกระสับกระส่าย ใจเต้นตึกตัก จิตใจว้าวุ่นไม่อาจสงบจิตใจ ดั่งมีเกลียวคลื่นหมุนวนอยู่ในหัวใจ มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่น “เลี่ยเอ๋อร์”
เฟิงหลีเลี่ยชะงักฝีเท้า ลมหนาวเย็นเยือกพัดใบหน้าของนางแดงไปหมด เอ่ยอย่างไม่พอใจ “มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงตำหนิของเฟิงหลีเลี่ยทำให้พระสนมเซียวทำอะไรไม่ถูก คิดว่าเฟิงหลีเลี่ยไม่ชอบใจ จึงรีบอธิบาย “ข้าไม่รู้ว่าควรไปหาเจ้าที่ใด ได้ยินว่าเจ้ามาที่นี่จึงตามมา” ตั้งแต่ได้ยินเรื่องนั้นจากเฟิงหรงสวี่ นางก็รู้สึกกระสับกระส่ายไม่สบายใจ ตอนนั้นในสายตาของนางมีเพียงเฟิงหลีเย่ที่นอนหายใจรวยรินจากการถูกแทง จึงได้ละเลยเฟิงหลีเลี่ยที่บาดเจ็บเหมือนกัน กว่านางจะมาพบเฟิงหลีเลี่ยก็ขังตัวเองอยู่ในห้องหมดสติไปหลายชั่วยามแล้ว น้ำเสียงต้อยต่ำและระแวดระวัง ไม่มีบารมีของพระสนมเซียวอีกต่อไป
“พวกเจ้าทำอะไรกัน? ไม่เห็นหรือว่าเสด็จแม่หนาวจนแดงไปหมดแล้ว?”
ทุกถ้อยคำของเฟิงหลีเลี่ยแผ่ซ่านไปด้วยความเย็นเหยียบเหมือนดั่งวิญญาณ ทว่ายังมีรัศมีเปล่งปลั่งเหมือนแสงจันทราอันกระจ่างชัด ทำเอานางกำนัลที่คอยดูแลพระสนมเซียวหวาดกลัวเป็นที่สุด ทุกคนต่างคุกเข่าลงกับพื้นหิมะอันหนาวเย็น
“เลี่ยเอ๋อร์ข้า…”
“เสด็จแม่ พระองค์เลี้ยงดูข้ามาจนโต เป็นมารดาหนึ่งวันก็เป็นมารดาไปตลอดชีวิต เรื่องในอดีตผ่านไปแล้ว พวกเราลืมกันไปเสียเถิดนะพ่ะย่ะค่ะ”
ในตอนนั้นเป็นเพราะเขาโดดเดี่ยวเกินไป กลัวว่าตนเองจะถูกนำไปทิ้งในพระตำหนักเย็นอีกครั้ง แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือการพามู่หรงชูอวิ๋นกลับมา ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาไม่อยากคิดถึงอีก ถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้วที่เขาไม่ได้พบหน้านาง ไม่รู้ว่าลูกน้อยโตแล้วหรือยัง นางสบายดีหรือไม่ ส่วนเรื่องวุ่นวายอื่นๆ เขาไม่มีเรี่ยวแรงไปตรวจหาข้อเท็จจริงแล้ว ต่อให้เป็นคนที่เคยเหยียบเขาจมก้นหุบเขาก็ตามที
ช่วงเวลานี้นางวิตกกังวลอย่างมาก ใบหน้ากลัดกลุ้มเป็นทุกข์ คิ้วเรียวยาว ทว่าไม่อาจปกปิดความงดงามไว้ได้ รัศมีเปล่งปลั่งสะท้อนออกมา ความอบอุ่นที่พระสนมเซียวมอบให้ เขายังคงจดจำไว้ในใจไม่เคยลืม เมื่อเทียบกับน่าหลันฉิงแล้ว ความรู้สึกที่เขามีกับพระสนมเซียวลึกซึ้งมากเสียกว่า ต่อให้น่าหลันฉิงจะทำดีกับเขามากเพียงใด ก็ไม่เท่ากับภาพเหตุการณ์ที่เขาถูกสั่งโบย แล้วพระสนมเซียวช่วยเขาทายาทั้งน้ำตา ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสถึงคำว่ามารดา และเพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้เขาเก็บภาพความทรงจำอย่างลึกซึ้งในจิตใจ ดังนั้นต่อให้อนาคตจะเป็นเช่นไร เขาจะไม่มีวันทำร้ายนางเด็ดขาด
“เลี่ยเอ๋อร์ขอบใจเจ้ามาก”
ใบหน้าขาวกระจ่างของเฟิงหลีเลี่ย ขับเน้นความหล่อคมเข้ม ดวงตาดำขับลึกล้ำ ประกายเสน่ห์น่าหลงใหล เขาเอ่ยน้ำเสียงใจเย็น “ทานให้มากหน่อยพ่ะย่ะค่ะ วันข้างหน้ากุยอวิ๋นกลับมาต้องให้พระองค์ช่วยเลี้ยงนะพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบไม่รอให้นางมีตอบสนอง ก็หันกายเดินจากไป
พระสนมเซียวกุมมือของซูอิงไว้แน่น มองเฟิงหลีเลี่ยที่เหยียบหิมะเดินจากไป เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เมื่อครู่เลี่ยเอ๋อร์หมายความว่าอะไร?”
“พระชายาน่าจะให้กำเนิดแล้วเพคะ” ครุ่นคิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง พวกเขาห่างเมืองหลวงไปนานเพียงนั้น กาลเวลาก็มากพอควร แต่เรื่องในอนาคตจะมีเพิ่มมาอีกคนก็ไม่อาจรู้ได้
พระสนมเซียวมีรอยยิ้มอบอุ่นขึ้นมาหลายส่วน “เช่นนี้ก็ดี ขอเพียงเขามีความสุข เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญแล้ว” มิน่าเฟิงหลีเลี่ยกลับมาครั้งนี้ นางจึงรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปเหมือนไม่เคยรู้จัก น่าจะเพราะในใจคอยพะวงมู่หรงชูอวิ๋นห่างไปอยู่ที่อื่น นางเชื่อว่าเฟิงหลีเลี่ยจะต้องเป็นพ่อที่ดี อย่างไรแล้วเขาก็รักและทะนุถนอมมู่หรงชูอวิ๋นเป็นอย่างมาก ทุ่มเทให้มู่หรงชูอวิ๋นได้ทุกอย่าง เขาจะต้องถนอมนางไว้ในอุ้งมือเป็นแน่ ไม่รู้ว่าเด็กน้อยจะหน้าตาเหมือนใคร เพียงแต่นางก็หวังให้เหมือนกับมู่หรงชูอวิ๋นมากหน่อย เช่นนั้นจะได้มีความสุขมากยิ่งขึ้น
ตอนที่ 399 คู่หมั้น 1
หลังจากมู่หรงชูอวิ๋นมาถึงสกุลฉินแล้ว ฉินสุยก็ได้ถอนพิษให้นางทันที เพราะหากพิษสะสมนานวันก็ยิ่งมีอันตรายมากขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าเดาไว้ไม่ผิด พวกเขาลบความทรงจำของนางไปจริงๆ ไม่เหลือความทรงจำเดิมเลยแม้เพียงเล็กน้อย
แม้แต่กุยอวิ๋นก็ให้ภรรยาของฉินสุยเป็นผู้เลี้ยงดู ฉินอวิ๋นซินจะพบหน้าพวกเขาสองคนยากเสียยิ่งกว่ายาก ทุกวันต้องมีน้ำตาอาบหน้า ขอร้องอ้อนวอนฉินสุยอย่างเวทนาอยู่หน้าประตู ฉินสุยถึงจะอนุญาตให้นางได้พบหน้ากุยอวิ๋นหนึ่งวัน แต่สำหรับมู่หรงชูอวิ๋นนั้นฉินอวิ๋นซินไม่เคยได้พบหน้าเลย รู้เพียงว่านางไม่เป็นอันใดบัดนี้ได้สติฟื้นขึ้นมาแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ นางไม่รู้เลย นางรู้สึกว่าในตอนแรกตนเองคิดง่ายเกินไป ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเขาจะกล้าทำได้ถึงขั้นนี้ เห็นชัดว่าตอนแรกตกลงกันไว้อย่างดีไม่ใช่แบบนี้ นั่นเป็นลูกสาวแท้ๆ ของนาง เป็นเหมือนชีวิตของนาง ทว่าบัดนี้แม้แต่หน้าก็ยังไม่ได้พบ นางเหมือนกับเป็นคนนอกที่มาอ้อนวอนร้องขอ ทุกวันนางต้องถูกคนจำนวนนับไม่ถ้วนคอยเฝ้าสังเกตทั้งที่แจ้งและที่ลับ ไร้ซึ่งอิสระเสรี จึงไม่ต้องพูดถึงช่องว่างให้นางได้ขอร้องเลย
มู่หรงชูอวิ๋นนั่งอยู่บนม้านั่งหิน มือเท้าพวงแก้มมองดูผีเสื้อที่บินโฉบไปมา นุ่มนวลอ่อนโยน งดงามเกินคำบรรยาย ตอนที่นางฟื้นขึ้นมาทุกส่งอย่างที่ผุดขึ้นมาล้วนเป็นความว่างเปล่า ฉินสุยบอกว่านางชื่อฉินหุ้ยซิน เป็นบุตรสาวของเขา เมื่อครึ่งปีก่อนได้ผลัดตกหน้าผา สมองกระทบกระเทือนความทรงจำในอดีตถูกลบเลือนไปจนสิ้น มีบางครั้งที่นางฝันและตื่นขึ้นมากลางดึก แต่ว่ามู่หรงชูอวิ๋นจำความฝันไม่ได้ รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจอย่างมาก นางยื่นมือเข้าไปสัมผัสความว่างเปล่า ทว่าก็คิดไม่ออกเลยสักนิด
“เป็นอะไรหรือ? ยังคิดถึงเรื่องในอดีตอยู่เช่นนั้นหรือ?”
น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบและทุ้มต่ำ ระคนเสียงแหบแห้งอย่างเกียจคร้าน ทว่าทำให้รู้สึกมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง ราวกับว่าวินาทีที่เสียงนั้นดังขึ้น ท้องฟ้าพลันมืดลงไป
มู่หรงชูอวิ๋นหันหน้าไปมอง ท่ามกลางหุบเขาที่มีบุปผาร้อยชนิดบานสะพรั่ง มีชายหนุ่มในชุดขาวยืนเอามือไขว้หลัง รัศมีแสงเจิดจ้าสะท้อนมาจากทั่วสารทิศทำให้มองใบหน้าไม่ชัดเจน รูปร่างสูงโปร่งดุจดั่งต้นไผ่งาม เส้นผมดำขลับเล็กละเอียดดุจเส้นไหมรวบมัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ผูกด้วยผ้าสีฟ้าดูสบายๆ แต่เขายืนรับลม เสื้อผ้าปลิวไสว เรือนร่างหล่อเหลาดั่งหยกสลัก งดงามปานเทพบุตร ยามที่เขามองมู่หรงชูอวิ๋นรอยยิ้มแผ่ซ่านความอบอุ่นอย่างเป็นธรรมชาติ เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะหลงใหลราวกับตกลงไปในภวังค์ของเหวลึก หาทางออกไม่เจอ
ดวงตาสุกใสของมู่หรงชูอวิ๋นชำเลืองมองเขาอยู่เล็กน้อยพลางส่ายหน้า ความทรงจำในอดีตทั้งหมดนางจำไม่ได้เลย ให้นึกเท่าใดก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีระลอกความทรงจำใดๆ เลยสักนิด แม้แต่ชื่อของตัวเองยังแปลกหน้าจนนางรู้สึกกลัว ทุกครั้งเวลาที่คนอื่นเรียกชื่อนาง นางมักจะรู้สึกว่านั่นเป็นชื่อของคนอื่น
“ฉินเจา เจ้าบอกว่าพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนจริงหรือ? เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้เลยสักนิด”
ใบหน้าหล่อเหลาของฉินเจาพลันแข็งทื่อไปชั่วขณะ ทว่าไม่นานก็เปลี่ยนกลับมาสภาพเดิม ลูบเส้นผมของนางอย่างอ่อนโยน ทว่ามู่หรงชูอวิ๋นเอียงหลบโดยสัญชาตญาณ เห็นใบหน้าของมู่หรงชูอวิ๋นปรากฎความรู้สึกขอโทษขึ้นมากระทันหัน เขาก็ไม่ได้ติดใจอันใด อย่างไรแล้วมู่หรงชูอวิ๋นยังไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขา ไหนเลยจะยอมให้สัมผัสร่างกายได้ จึงเอ่ยว่า “รู้จักแน่นอน เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า จะไม่รู้จักได้อย่างไร” ฉินเจาเป็นลูกศิษย์ของฉินสุย เขาได้ทราบว่าคู่หมั้นของเขาเป็นผู้หญิงที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว ทั้งยังมีลูกแล้วด้วย เขาก็รู้สึกขยะแขยงต่อต้าน แทบอยากจะฆ่านางทิ้งเพื่อกู้ชื่อเสียงกลับมาไว้ให้กับภรรยาในอนาคตของเขา แต่เมื่อเขาได้มาพบหน้า ได้เห็นความงามเด่น จิตวิญญาณคล่องแคล่วปราดเปรื่อง ผิวพรรณละเอียดอ่อน การวางตัวสบายๆ ดวงตาสวยงาม พวงแก้มผลท้อประดับด้วยรอยยิ้ม พูดจาอ่อนหวานดังดอกกล้วยไม้ ช่างอ่อนโยนน่าภิรมย์เป็นที่สุด เมื่อได้มองต้องตะลึงอยู่นาน ฉะนั้นเขาจึงเปลี่ยนความคิดใหม่ รับปากตกลงกับฉินสุย ยินยอมที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่งดงามดั่งดอกกล้วยไม้ผู้นี้ ต่อให้นางจะเคยผ่านการแต่งงาน ทั้งลูกของนางก็ยังอยู่ในพระตำหนักใหญ่ก็ตามที
“แต่ว่าข้าคิดไม่ออกเลย คิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิด” มู่หรงชูอวิ๋นยังคงขมวดคิ้วอย่างทุกข์ทรมาน นางก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไป ต่อให้ทุกคนจะพากันบอกว่าฉินเจาคือคู่หมั้นของนาง แต่นางก็ยังอดสงสัยไม่ได้ แม้จะเป็นคำพูดของท่านพ่อท่านแม่ นางก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคย จะเรียกขานท่านพ่อท่านแม่ก็ยังพูดออกมาได้ยาก นางรู้สึกว่าตนเองลืมเรื่องสำคัญมากๆ ไป แม้แต่ไปสวดขอพร นางก็ยังต้องให้ผู้อื่นคอยเตือนถึงจะจำได้ว่าทำถึงขั้นไหนแล้ว ผู้อาวุโสที่ทำหน้าเคร่งขรึมคนนั้นเมื่อเห็นนางทำผิด ก็ไม่ได้กล่าวตำหนิแต่อย่างใด เพียงแต่บอกว่านางคงจะเหนื่อยแล้ว ทว่านางเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง เพียงแค่ก้าวผิดเพียงก้าวเดียว ก็ถูกลากตัวลงไปแล้ว ต่อมานางก็ไปไม่เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นอีก
นางไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงเป็นข้อยกเว้น
ฉินเจาเดิมทีคิดอยากจะกุมมืออันเยียบเย็นของนาง แต่ก็เป็นกังวลว่านางจะมีปฏิกิริยาหลบเลี่ยงเหมือนเมื่อครู่ จึงเบนสายตาออก “เมื่อถึงเวลา เจ้าก็จะนึกออกเอง อย่าใจร้อนไปเลย” เขาหวังให้นางจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ไปตลอดชีวิตยิ่งดี เขาเคยเห็นเด็กคนนั้น หน้าตาไม่เหมือนกับมู่หรงชูอวิ๋น ดูจากหน้าตาของเด็กน้อยแล้วเขารู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาไม่เลวเลย มู่หรงชูอวิ๋นจะคิดถึงเขาขึ้นมาบ้างเป็นครั้งครา ดูออกไม่ยากว่าพวกเขามีความรู้สึกที่ดีต่อกันมากเพียงใด ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงไม่ให้กำเนิกลูกน้อย วินาทีนั้นเขารู้สึกอิจฉาผู้ชายที่เขาไม่เคยพบหน้ามาก่อนขึ้นมา อิจฉาที่เขาเคยได้ตัวนาง ทั้งยังมีลูกน้อยด้วยกัน แต่เวลาที่เขาเข้าใกล้มู่หรงชูอวิ๋นนางกลับมีความรู้สึกต่อต้านอยู่มาก แม้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นจะปกปิดความรู้สึกต่อต้านได้ดี เขาก็ยังสัมผัสได้
มีอยู่ครั้งหนึ่งนางได้ยินเสียงพิณของฉินเจา ราวกับต้องมนต์ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าของเขา มองดูนิ้วทั้งสิบของเขาพริ้วไหว กระทั่งเขาดีดพิณจบลง นางก็ยังอดใจไม่ไหวขอให้เขาเปลี่ยนเพลงใหม่ ฉินเจาไม่ได้นึกสงสัยอะไร คิดว่านางชอบฟังเสียอีก เพื่อเป็นการแสดงความสามารถของตัวเองเขาจึงดีดพิณต่อไป จวบจนฉินเจาดีดพิณตั้งแต่ฟ้าสว่างถึงพลบค่ำ นิ้วทั้งสิบห้อเลือด มู่หรงชูอวิ๋นก็วิ่งโซเซออกไปไม่พูดอะไรสักคำ นางไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร นางอยากจะฟังบทเพลงที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจ ทว่านางหลงลืมไปเสียแล้ว รวมถึงใบหน้าเลือนลางของคนในชุดสีขาวที่นั่งดีดพิณอยู่ตรงหน้าของนาง กระทั่งฉินเจายิ่งดีดพิณไปนานเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าฉินเจาไม่ใช่คนคนนั้น นางพลันรู้สึกหวาดหวั่นและหวาดกลัว
ฉินเจาใช้ผ้าขาวพันแผลที่นิ้วของตนเอง ทอดมองมู่หรงชูอวิ๋นที่วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง เขาถึงเข้าใจว่ามู่หรงชูอวิ๋นกำลังตามหาความทรงจำในอดีต หลังจากนั้นเขาก็ทิ้งพิณไปไม่หยิบขึ้นมาดีดโดยง่าย มู่หรงชูอวิ๋นก็ไม่ขอให้เขาดีดพิณอีก เพียงแต่เขาเงียบอยู่นาน ราวกับถูกสูบความสนใจไปจนสิ้น ความกังวลเกาะกุมอยู่ที่แววตา ตนเองในกระจกยังคงซีดขาวเหมือนเก่า หนีจากอารมณ์ความรู้สึกความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไปไม่ได้เสียที ถึงตอนนี้สู้ให้เขาพยายามอย่างหนักเสียดีกว่า อย่างไรเสียนางก็ลืมอดีตไปหมดแล้ว ถือเสียว่าสวรรค์ได้มอบโอกาสให้กับเขาหนึ่งครั้ง เขาจะไม่มีวันยอมแพ้อย่างแน่นอน
ตอนที่ 400 คู่หมั้น 2
มู่หรงชูอวิ๋นผลักประตูห้องพักของฉินสุยเข้ามา ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยแว่วดังขึ้น และก็เสียงปลอบประโลมแผ่วเบาราวเสียงกระซิบของฮูหยินฉิน นางไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกคิดถึงอย่างมาก เจ็บปวดใจเหมือนกับมีคนมาขวักหัวใจของนางออกมา นางรู้สึกเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก กุมที่หัวใจด้วยความทรมาน เส้นด้ายของความเป็นห่วงกังวลเส้นหนึ่งได้ดึงให้นางขยับเท้าก้าวเข้าไปข้างในห้อง
ฮูหยินฉินที่อุ้มกุยอวิ๋นอยู่ได้หันหน้ากลับมากวาดตามอง พลันรู้สึกตกใจมากเมื่อได้เห็นมู่หรงชูอวิ๋นมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าอย่างกระทันหัน เกือบทำกุยอวิ๋นหลุดจากมือ ก่อนจะเอ่ยเสียงตะกุกตะกักเชิงตำหนิ “หุ้ยซิน เจ้ามาได้อย่างไร ไม่ให้คนมาแจ้งก่อนเล่า” ฝ่ามือของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ลนลานทำตัวไม่ถูก มือที่อุ้มกุยอวิ๋นอยู่พลันกระชับแน่นขึ้นอีก กุยอวิ๋นเดิมทีร้องไห้งอแงอยู่แล้วก็ยิ่งงอแงหนักเข้าไปอีก เบี่ยงหลบไปด้วยสัญชาตญาณอยู่หลายส่วน ฮูหยินฉินจึงไม่มีเวลามาสนใจมู่หรงชูอวิ๋น พยายามกล่อมกุยอวิ๋นอย่างสุดชีวิต
นางไม่รู้ว่าทางเผ่ามีแผนจะจัดการกับพวกนางอย่างไร แต่นางรู้ว่าไม่สามารถให้มู่หรงชูอวิ๋นพบหน้าเด็กคนนี้เป็นอันขาด เพราะกลัวว่านางจะจำเรื่องในอดีตขึ้นมาได้ อย่างไรแล้วหลังจากมีประกาศงานแต่งงานระหว่างมู่หรงชูอวิ๋นและฉินเจาเด็กที่นางเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต ก็ยิ่งไม่อาจให้มู่หรงชูอวิ๋นเห็นเด็กคนนี้อีก แม้ว่านางจะรู้สึกสงสารมู่หรงชูอวิ๋น แต่ก็ไม่อยากให้ฉินเจารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
ความจริงแล้วพวกเขาคิดมากเกินไป มู่หรงชูอวิ๋นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนี้เป็นชายหรือหญิง นางก็หมดสติไปเสียก่อน เมื่อหมดสติไปแล้วสิ่งเดียวที่นางรับรู้ได้ก็คือเบาและความว่างเปล่าที่ท้อง คล้ายกับถูกปล่อยลมออกไป
มู่หรงชูอวิ๋นไม่ได้ตอบฮูหยินฉิน สายตาของนางติดตรึงอยู่ที่ร่างของกุยอวิ๋นเท่านั้น เขาร้องไห้โฮราวกับได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างมาก ร้องไห้งอแงจนใบหน้ารูปไข่และลำคอแดงไปหมด เสียงร้องของเขาไม่ดังคล้ายกับเสียงลูกไก่จิกเมล็ดข้าว ทว่าน้ำเสียงมีพลังเจาะทะลุ ได้ยินแล้วทำให้รู้สึกสงสารจับใจ “ท่านแม่ ให้ข้าอุ้มได้หรือไม่เจ้าคะ?” มือยื่นออกไปด้วยความอยากลอง ไม่รู้ว่าเพราะความตื่นเต้นหรือความหวาดกลัวทำให้มือของนางนั้นสั่นเทาอยู่หลายส่วน
แม้ว่าฮูหยินฉินจะกลัวว่ามู่หรงชูอวิ๋นจะจำเรื่องราวได้ ทว่าความโศกเศร้าที่ใจถวิลหาแต่ไม่อาจเข้าใกล้ของมู่หรงชูอวิ๋นนั้นได้ทำให้ฮูหยินฉินซาบซึ้งขึ้นมาในทันที นางเองก็เป็นมารดา แม้ว่าลูกของนางจะจากไปหลายปีแล้ว ทว่าวินาทีนั้นสมองของนางมีเพียงความว่างเปล่า ไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น จึงค่อยๆ ส่งกุยอวิ๋นที่กำลังร้องไห้งอแงให้ไปอยู่ในอ้อมแขนของมู่หรงชูอวิ๋น พลางกำชับอย่างไม่วางใจ “ระวังหน่อยนะ”
ไม่รู้เป็นเพราะสายใยของแม่และลูกหรือไม่ กุยอวิ๋นที่ร้องไห้งอแงพลันสงบลงไปในทันที ฮูหยินฉินถอนใจโล่งอก ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวลอยู่มาก
กุยอวิ๋นกระพริบดวงตาดำขลับที่ใสเป็นประกาย มองมู่หรงชูอวิ๋นอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ดูดนิ้วโป้งพลางพ่นฟองน้ำลายฟองใหญ่ หัวใจที่หดหู่หงอยเหงาของมู่หรงชูอวิ๋นพลันถูกเติมเต็ม ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกอยากร้องไห้ วินาทีนั้นที่กุยอวิ๋นมานอนอยู่ในอ้อมแขน หัวใจอันว่างเปล่าของนางคล้ายกับค้นพบทิศทาง ไม่ล่องลอยเคว้งคว้าง เรื่องที่เป็นกังวลทุกข์ใจทั้งหมดพลันถูกโยนทิ้งไปทันที ในสายตาของนางมีเพียงกุยอวิ๋นที่อยู่ในอ้อมอกคนเดียวเท่านั้น
สองนิ้วมือขวาลูบไล้ไปบนพวงแก้มอวบอ้วนของเขาอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าลูบแรงเกินไป พลางอุทานไปว่า “เด็กคนนี้น่ารักน่าชังเหลือเกิน เหมือนกับเทวดาตัวน้อยเลยเจ้าค่ะ พ่อแม่ของเขาจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ” นางเกิดความรู้สึกอิจฉาแม่ของเด็กคนนี้ขึ้นมา ถึงได้ให้กำเนิดเด็กที่น่ารักมากขนาดนี้ได้ ทั้งยังดูฉลาดเลี้ยงง่ายอีกด้วย
พลันอดคาดหวังไม่ได้ว่าลูกของนางในอนาคตจะน่ารักถึงเพียงนี้ได้หรือไม่ จะหน้าตาเหมือนกับตนเองหรือว่าจะเหมือน… แววตาของนางพลันหม่นลงไป
“อืม!” คำพูดไม่ได้ตั้งใจประโยคนี้ทำให้ฮูหยินฉินเบือนหน้าหลบไปอีกทาง นางพลันรู้สึกว่าตนเองทำบาปใหญ่หลวง เพราะพวกเขาได้พรากกุยอวิ๋นจากแม่และพ่อของเขา ริดลอนโอกาสการเป็นพ่อและแแม่ของพวกเขา จึงเบือนหน้าหลบไปเพราะไม่อยากให้มู่หรงชูอวิ๋นเห็นความรู้สึกผิดของนาง
ตอนที่ 401 คู่หมั้น 3
มู่หรงชูอวิ๋นอุ้มกุยอวิ๋น เล่นกับเขาอยู่นานก็ยังตัดใจวางไม่ลง ไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าเลยสักนิด ฮูหยินฉินเป็นห่วงว่ามู่หรงชูอวิ๋นจะเหนื่อย ให้นางวางเขาลงบนเปลแล้วค่อยเล่นกับเขา กุยอวิ๋นก็ไม่ได้ทำหน้าบึ้งเป็นผู้เฒ่าน้อยเหมือนแต่ก่อน มู่หรงชูอวิ๋นแตะปลายจมูกของเขาเล่น เอ่ยเรียกอย่างเอ็นดู “เด็กดื้อ” เขาก็ทำปากนูนหัวเราะเสียงดังอย่างให้ความร่วมมือ นิ้วทั้งห้ากำนิ้วชี้ของมู่หรงชูอวิ๋นไว้ในฝ่ามือน้อย คนทั้งสองเล่นกันอย่างมีความสุขที่สุด
ฮูหยินฉินรู้สึกอิจฉาอยู่เล็กน้อย ช่วงที่ผ่านมานี้นางดูแลกุยอวิ๋นด้วยความรักสุดหัวใจ ก็ยังไม่เคยเห็นเขายิ้มเริงร่าให้กับตนได้ถึงเพียงนี้ มีแต่เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็จะร้องไห้งอแง นางกล่อมเท่าไรก็ไม่ยอมหยุด มู่หรงชูอวิ๋นอุ้มเขาเพียงครู่ก็หยุดร้องไห้เลิกงอแงเสียแล้ว มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
ฉินเจาเข้ามาเห็นภาพเช่นนี้ พลันยืนนิ่งจ้องมองอยู่ที่เดิม เขายอมรับว่าวินาทีนี้มู่หรงชูอวิ๋นงดงามเป็นพิเศษ บนกายมีรัศมีที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ใบหน้าอ่อนโยนและสง่างามประกายรอยยิ้มจางๆ ดวงตาโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์ ราวกับรัศมีแห่งจิตวิญญาณได้พรั่งพรูออกมา เป็นการแสดงออกระหว่างความกังวลและความสุข ทำให้ต้องสะดุดรัศมีความงดงามและมีเสน่ห์จนอดอุทานไม่ได้ นี่เป็นผู้หญิงที่เขาชอบ และเป็นผู้หญิงของเขาด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ายืนเอาฝ่ามือถูกันไปมาอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ควรทำอย่างไรดี “เจาเอ๋อร์ เจ้ามาแล้วหรือ” มีมู่หรงชูอวิ๋นมาคนหนึ่งก็พอแล้ว ตอนนี้ยังจะมีฉินเจาเข้ามาอีกคน
ปกติแม้ว่าฉินเจาจะไม่ได้พูดว่ารู้สึกเช่นไรกับกุยอวิ๋น แต่นางก็มองออกว่าเขาไม่ค่อยชอบกุยอวิ๋นเท่าไรนัก แต่สายตาแฝงไปด้วยความรักที่เขามีให้มู่หรงชูอวิ๋น ต่อให้จะซ่อนเร้นอย่างไรก็ดูออกได้ไม่ยาก
มู่หรงชูอวิ๋นได้ยินเสียง ก็หันหน้าไปมองเขาทีหนึ่ง แล้วก็หันกลับมาสนใจกุยอวิ๋นเช่นเดิม
“ไม่เป็นไรขอรับ ข้ามาเยี่ยมอาจารย์หญิงเท่านั้น” วันนี้เขาไปหามู่หรงชูอวิ๋น รออยู่นานก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง ทราบข่าวจากสาวใช้ที่คอยดูแลมู่หรงชูอวิ๋นว่านางมาที่นี่ เขาจึงตามมา
ภายใต้สายตาเป็นกังวลของฮูหยินฉิน ฉินเจาค่อยๆ เดินเข้ามาหามู่หรงชูอวิ๋น แล้วหยุดนิ่งอยู่ข้างกายนาง “เจ้าชอบเด็กใช่หรือไม่?”
“อืม!” น้ำเสียงของนางไพเราะดั่งน้ำพุในฤดูใบไม้ผลิ แทรกซึมเข้าไปถึงด้านในจิตใจ
“ถึงเวลาเจ้าต้องกล่อมให้ดีนะ”
มู่หรงชูอวิ๋นกระพริบตามองไปทางเขาอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าคำพูดไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของเขาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
ฮูหยินฉินเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ขัดแย้งกัน ดูเข้ากันได้ราวกับสองสามีภรรยากำลังเล่นกับลูกน้อยแสนซน พลันรู้สึกว่าตนเองอยู่เป็นก้างขวางคอ จึงกวักมือเรียกให้ทุกคนตามนางออกไป หลีกทางให้เด็กทั้งสองคนได้มีโอกาสสานความสัมพันธ์ นางเห็นฉินเจามาตั้งแต่ยังเด็ก ย่อมต้องมองออกถึงความรู้สึกของเขา ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่รู้สึกไม่รังเกียจที่มู่หรงชูอวิ๋นเคยแต่งงานและมีลูกมาก่อนแน่ ฉินเจาเป็นโรครักความสะอาดมาก เขาไม่เคยใช้จานร่วมกับใคร นับประสาอะไรกับผู้หญิงที่เคยผ่านผู้ชายมาแล้ว
ผู้หญิงคนนั้นมีดวงตาเปล่งประกายแวววาว สุกใสแพรวพราวดั่งดวงดารา ฉินเจาไม่สนใจความรู้สึกต่อต้านของมู่หรงชูอวิ๋น แตะปลายจมูกของนาง “ก็หมายความอย่างนั้นแหละ ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะเข้าใจความหมายเอง” ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
มู่หรงชูอวิ๋นยังไม่ทันได้คิดอย่างลึกซึ้ง ก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ เพราะถูกกุยอวิ๋นดึงเส้นผมให้กลับมา กุยอวิ๋นเห็นว่าคนที่เล่นอยู่กับตนเอง ไม่ได้มองเขาเลย จึงทำหน้าไม่พอใจ คิ้วเล็กๆ ของเขาขมวดย่นราวกับผู้เฒ่าน้อย พลันดึงเส้นผมที่ตกลงมาอยู่ที่มือน้อยของเขาอย่างออกแรง
เมื่อเห็นว่ามู่หรงชูอวิ๋นหันสายตากลับมาที่ตนเองอีกครั้ง เขาถึงพอใจหัวเราะอารมณ์ดีออกมาอีกครั้ง ไม่มีพิษภัยใดๆ หากไม่ใช่เพราะรู้เรื่องที่เขาก่อไว้เมื่อครู่ นางคงจะรู้สึกว่าโดนอะไรทำให้หลงใหลถึงเพียงนี้เป็นแน่
“ซนนักนะ”
นางบีบจมูกเล็กจิ๋วของเขาอย่างเอ็นดู พลางรู้สึกจนปัญญาอย่างที่สุด
ตอนที่ 402 เลือดในอก
กุยอวิ๋นเข้าใจว่ามู่หรงชูอวิ๋นกำลังเอ่ยชมเขา จึงหัวเราะอารมณ์ดี น้ำลายไหลย้อยมาจากปาก มู่หรงชูอวิ๋นใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ดให้อย่างอ่อนโยนไม่มีความรังเกียจแม้แต่น้อย
ฉินอวิ๋นซินเข้ามาเห็นมู่หรงชูอวิ๋นที่นางเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ รอยยิ้มของนางนั้นช่างคุ้นเคยเหลือเกิน น้ำตาพลันไหลรินลงมา “อวิ๋นเอ๋อร์” ขยับขึ้นหน้าไปด้วยอาการสั่นคลอน ดึงแขนของมู่หรงชูอวิ๋น
มู่หรงชูอวิ๋นที่กำลังเล่นอยู่กับเด็กน้อยถูกดึงตกใจสะดุ้งตัวโหยง หันหน้ามาเห็นฉินอวิ๋นซินที่ร้องไห้ไม่เป็นผู้เป็นคน นางรู้สึกเพียงว่าคุ้นเคย ทว่าดูเหมือนจะไม่เคยพบหน้ามาก่อน “ท่านป้าเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”
ตอนที่ฉินอวิ๋นซินเข้ามา ฉินเจาเห็นอยู่แล้ว ทว่าเขาตั้งใจไม่ส่งเสียงใดๆ เพราะอยากรู้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นลืมจริงๆ หรือไม่ จึงได้แสร้งทำเป็นกำลังทำอย่างอื่นอยู่ไม่ทันได้สนใจ
น้ำตาของฉินอวิ๋นซินที่เกาะอยู่บนขอบตาพลันลืมหยดลงมา ใบหน้าซีดเซียวไร้เลือดฝาด มองมู่หรงชูอวิ๋นด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าเรียกข้าว่าอะไร?”
มู่หรงชูอวิ๋นมีแววตาไม่เข้าใจระคนความสงสัย ในใจของฉินอวิ๋นซินรู้สึกเหมือนถูกขุดเป็นหลุม เจ็บปวดที่สุด ที่แท้สิ่งนี้ก็คือความปรารถนาที่ไม่อาจได้มา เป็นความผิดของนางเอง
“ท่านป้าเจ้าค่ะ” มู่หรงชูอวิ๋นไม่รู้ว่านางเป็นใคร จึงเอ่ยเรียกออกไปด้วยมารยาท “อีกอย่างข้าไม่ได้ชื่ออวิ๋นเอ๋อร์ ข้าชื่อฉินหุ้ยซิน ท่านพ่อของข้าเป็นหัวหน้าเผ่า”
“เขากล้า…กล้าทำจริงๆ…” ฉินอวิ๋นซินพูดอะไรไม่ออก โมโหมากสีหน้าเครียดคล้ำสลับไปมา นางรู้สึกว่าตนเองช่างโง่เขลานักจึงได้ถูกหลอกเช่นนี้ แม้แต่ตัวตนของมู่หรงชูอวิ๋นพวกเขาก็ยังแต่งเรื่องขึ้นมาได้เช่นนี้
“ท่านป้า ท่านอาจจะเหนื่อยเกินไปแล้ว” ฉินเจาอธิบาย เขาสามารถมั่นใจได้แล้วว่ามู่หรงชูอวิ๋นไม่รู้เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาจริงๆ เท่านี้เขาก็พอใจแล้ว
ฉินอวิ๋นซินโมโหจ้องหน้าฉินเจา ตะคอกไปว่า “พวกเจ้าไม่ควรหลอกนาง นางรักเฟิงหลีเลี่ยถึงเพียงนั้น ต่อไปเขารู้เรื่องแล้วจะต้องเกลียดพวกเจ้ามาก” นางดูออกว่าในสายตาของฉินเจามีมู่หรงชูอวิ๋น จึงหวังให้เขาดีต่อมู่หรงชูอวิ๋น ยอมพูดความจริงทั้งหมดออกมาได้
“เฟิงหลีเลี่ย” สามคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวของมู่หรงชูอวิ๋นไม่หยุด นางไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่มีเงาร่างอันเลือนลาง นางมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน นางยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ เขาก็จางหายเข้าไปกับหมอกควันเลื่อนลอยจางไปเสียแล้ว
“โอ๊ะ!” มู่หรงชูอวิ๋นกุมหัวใจอย่างทรมาน เรี่ยวแรงทั้งร่างกายหายไปทันที ล้มลงไปกองกับพื้น ฉินเจารีบเข้ามาพยุงนางไว้ให้นางพิงอยู่ในอ้อมอกของเขา “หุ้ยซิน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ขอบตาของมู่หรงชูอวิ๋นประกายหยาดน้ำตาชื้นแฉะไปทั้งขนตา มองไปยังฉินอวิ๋นซินเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เฟิงหลีเลี่ยคือใคร?” พูดแล้วก็จ้องมองที่ปากของฉินอวิ๋นซิน
ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบจากฉินอวิ๋นซินนางก็หมดสติไป
กุยอวิ๋นที่มีสายสัมพันธ์กับมารดา ก็แหกปากร้องไห้งอแง ครู่เดียวภายในห้องพลันโกลาหลขึ้นมา
ฉินสุยรีบเข้ามา มองฉินอวิ๋นซินด้วยสายตาไม่พอใจ “เจ้าไม่ควรทำเช่นนี้”
“นางเป็นลูกสาวของข้า เป็นเลือดในอกของข้า”
ฉินสุยมองนาง แววตาเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยาม “หากไม่ทำเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ในสกุลฉินได้อย่างนั้นหรือ” เกรงว่าคงจะถูกคนในเผ่าจับตัวไปที่แท่นวิญญาณแล้ว อย่างไรแล้วพวกเขาก็ไม่เคยมีเมตตาให้กับพวกกบฎ
“แต่ว่าพวกท่านรับปากข้าแล้ว” ฉินอวิ๋นซินเอ่ยออกไปอย่างไม่ยอม หากไม่ใช่เพราะการพูดคุยในคืนนั้น นางไม่มีทางรับปากจะพามู่หรงชูอวิ๋นมาที่นี่
“นั่นก็เป็นเพียงการพูดคุยข้างนอก” เป็นคำรับปากข้างนอก แน่นอนว่าข้างในไม่นับว่าเป็นการรับปาก ฉินสุยไม่สนใจการเรียกร้องของนางอีก พลันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หากยังมีเช่นนี้เป็นครั้งที่สอง เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นกุยอวิ๋นอีกเลย” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อจากไป
ฉินอวิ๋นซินทรุดตัวลงกับพื้นอันหนาวเย็น สองกำปั้นกำไว้แน่น
ตอนที่ 403 ตะกละ
มู่หรงชูอวิ๋นลืมตาขึ้นมาเพราะความเจ็บที่หัว พบว่าท้องฟ้ามืดลงแล้ว ฉินเจานั่งหลับอยู่ที่ขอบเตียงของนาง “ฉินเจา”
ฉินเจารีบลืมตาขึ้นมา เห็นมู่หรงชูอวิ๋นฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นบ้าง “ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
มู่หรงชูอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่มี เพียงแต่รู้สึกว่านอนหลับไปนานมาก อ่อใช่ ข้าเป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ?” นางไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงหลับไปนานถึงเพียงนี้
ฉินเจายิ้มพลางกล่าว “เจ้าน่ะ ตะกละ กินของผิดสำแดงเข้าไป โชคดีที่พบเร็ว ไม่เช่นนั้นเกือบเอาชีวิตน้อยๆ ไปทิ้งเสียแล้ว”
มู่หรงชูอวิ๋นเกาศีรษะตัวเองอย่างเก้อเขิน ทว่านางกลับนึกไม่ออก คิดว่าตัวเองหลับจนลืมไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย
ฉินอวิ๋นซินยกถ้วยยาเข้ามาได้ยินประโยคนี้ก็โมโหอย่างมาก ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะเสแสร้งถึงเพียงนี้ รู้สึกเหยียดหยามฉินเจาเป็นอย่างมาก เห็นชัดว่าเขาชอบมู่หรงชูอวิ๋นทว่ากลับไม่ยอมบอกความจริงกับนาง
เมื่อวานนางไปพบฉินเจาด้วยตัวเอง ฉินเจามองนางพร้อมกับคำพูดที่ว่า “ข้าพลาดโอกาสเริ่มต้นไปแล้ว โอกาสเดียวที่จะคว้าไว้ได้ก็คือตอนนี้ หากว่าโอกาสตอนนี้หมดสิ้นไป เช่นนั้นข้าก็จะไม่เหลือโอกาสใดเลย”
นางรู้สึกว่าตนเองทำผิดต่อมู่หรงชูอวิ๋น หากว่าเมื่อหลายวันก่อนนางไม่ได้ปรากฎตัวล่ะก็ มู่หรงชูอวิ๋นก็คงไม่ต้องมาลืมกุยอวิ๋นเป็นครั้งที่สอง ถึงตอนนี้นางทำได้เพียงเก็บกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน ในเมื่อฉินสุยกล้าพูดแบบนั้นได้ แน่นอนว่าเขาต้องทำได้เช่นกัน นางไม่กล้าเสี่ยง นางหวาดกลัวว่าฉินสุยจะไม่ยอมให้นางได้พบหน้าพวกเขาอีก ตอนนี้นางทำได้เพียงคอยให้เฟิงหลีเลี่ยตามมาในเร็ววัน
มู่หรงชูอวิ๋นเหลือบมองฉินอวิ๋นซิน สุดท้ายสายตาก็ตกไปที่ยาสีดำในถ้วย พลันขยับถอยหลังไปโดยสัญชาตญาณ
ฉินเจารับถ้วยยามาคนเบาอยู่สองสามครา ก่อนเป่าเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง “มันไม่ขม กินแล้วเจ้าก็จะหายป่วยนะ”
มู่หรงชูอวิ๋นส่ายหน้าปฏิเสธสุดชีวิต นางไม่ได้โง่ มีกลิ่นฝาดขมแผ่ซ่านออกมาเช่นนี้ ก็เดาได้แล้วว่ามันต้องขมมากเพียงใด
มู่หรงชูอวิ๋นดื่มยาหมดแล้ว ความฝาดขมกระจายไปทั่วทั้งลิ้น เม้มริมฝีปากทำหน้าขมวดย่น
ฉินอวิ๋นซินรีบหยิบลูกพลัมดองเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าผ้าส่งให้กับนาง มู่หรงชูอวิ๋นรับไปอมไว้ในปาก กว่าจะดับรสชาติฝาดขมไปได้ไม่ง่ายเลย ต่อมรับรสรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย
จึงมองฉินอวิ๋นซิน “ท่านป้า ยังมีลูกพลัมนี้อีกหรือไม่?” หากยังมีครั้งต่อไปที่ต้องกินยานางก็ไม่กลัวอีกแล้ว
ฉินอวิ๋นซินตื่นเต้นจนวางมือวางไม้ไม่ถูก “มี ยังมีอีกมาก หากเจ้าต้องการ ข้าจะไปนำมาให้อีก”
มู่หรงชูอวิ๋นยิ้มตาหยี ตอบไปด้วยความจริงใจ “ขอบคุณเจ้าค่ะ” ในใจรู้สึกมีความสุขที่สุด
ในเวลาต่อมา มู่หรงชูอวิ๋นก็ยุ่งจนไม่มีเวลาว่าง ทุกวันนางจะต้องไปเรียนกฎระเบียบกับท่านอาวุโส เพียงแต่ว่านางนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะไม่ถึงครึ่งเค่อ[1] ก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว ไม่ว่าใครก็ฉุดไม่อยู่
ทุกวันผู้อาวุโสรองที่เป็นคนสอนนางต้องโมโหทำหน้าตาถมึงทึง เวลานั้นมู่หรงชูอวิ๋นมักจะรู้สึกโชคดีอย่างบอกไม่ถูก โชคดีที่บิดาของนางเป็นหัวหน้าเผ่า ไม่เช่นนั้นนางก็คงโดนตีฝ่ามือทุกวันไม่ต่างจากคนอื่น ทุกคนต่างเด็กกว่านาง มีเพียงนางคนเดียวที่แก่ถึงเพียงนี้ ไม่แปลกที่นางจะรู้สึกเกรงใจ
เมื่อคืนมู่หรงชูอวิ๋นโดนฉินเจาลากไปดูดาวด้วยกัน จึงเข้านอนดึก วันนี้นางจึงไม่ค่อยมีสติอยู่กับตัวสักเท่าไร เพิ่งจะเริ่มการฝึกสอน นางก็โดนท่านปู่โจวกงลากเข้ากระดานหมากไปแล้ว ลงหมากอย่างสนุกสนานเริงร่า ยังไม่ทันรู้ว่าใครแพ้ใครชนะ กำลังเดินหมากกันอยู่ก็ถูกท่านอาวุโสรองตบโต๊ะ สะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาเสียก่อนแล้ว
ท่านอาวุโสรองโมโหมากจึงไล่นางออกมา ไม่สนใจท่าทางสง่างามที่วางหมาดมาตลอดอีกต่อไปแล้ว และไม่สนใจด้วยว่านางจะเป็นธิดาเทพ หรือจะเป็นบุตรสาวของหัวหน้าเผ่า เขาไม่กล้ารับประกันว่าวินาทีถัดไปเขาจะอดใจไม่ให้ลงไม้เรียวกับมู่หรงชูอวิ๋นได้
มู่หรงชูอวิ๋นไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น รีบเก็บข้าวของของตนเองแล้วออกมา นางไม่เคยเห็นท่านอาวุโสรองโกรธจนตาแดงเทือกเช่นนี้มาก่อน
[1] เค่อ เป็นหน่วยเวลาจีนโบราณ 1 เค่อเท่ากับ 15 นาที
ตอนที่ 404 พบหน้า1
มู่หรงชูอวิ๋นสูดอากาศบริสุทธ์สดชื่น ยืดเหยียดเอวอย่างสบาย การนั่งอยู่บนเบาะทำให้นางเมื่อยล้าเกือบตาย
แทบอยากจะเอนกายนอนลงไปบนพื้นหญ้า ให้แสงแดดอันอบอุ่นอาบลงบนใบหน้า
ตลอดทั้งปีของที่นี่อบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ แทบจะไม่มีฤดูกาลอื่นๆ เลย
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น มู่หรงชูอวิ๋นหันหน้าไปมองเห็นว่าเป็นฉินเจา “เจ้ามาได้อย่างไร?” ปกติเวลานี้หากเขาไม่ได้ไปฝึกวรยุทธ์ ก็จะไปฝึกสอนวรยุทธ์ให้คนอื่น
ฉินเจาเดินมาอยู่ข้างกายนาง แตะปลายจมูกของมู่หรงชูอวิ๋นอย่างเอ็นดู “ไม่ใช่เพราะได้ยินมาว่ามีคนบางคนยั่วโมโหจนถูกท่านอาวุโสรองไล่ออกมา จึงได้มาดูเสียหน่อย” แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นไม่มาร้องไห้ละอายใจเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี จึงได้วิ่งออกมาดูอย่างใจจดใจจ่อเช่นนี้
มู่หรงชูอวิ๋นปัดมือเขาออก กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “เขาเคร่งครัดเกินไป ท่านอาวุโสท่านอื่นๆ ในเจ็ดวันยังให้หยุดพักได้หนึ่งวัน แต่เขาแม้แต่พักครึ่งวันก็ยังไม่มี ไล่ออกมาก็ยิ่งดี ที่นี่สบายมากเสียกว่าเจ้าค่ะ”
ฉินเจายิ้มอย่างเอ็นดู เขารู้ดีว่าสำหรับนิสัยของมู่หรงชูอวิ๋นการให้นางทำสิ่งเหล่านี้เป็นการผูกมัด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะนางคือธิดาเทพ ย่อมต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ หากเป็นไปได้เขายินยอมที่จะทำสิ่งเหล่านี้แทนนาง จะไม่ยอมให้มีความทุกข์ใจปรากฎบนใบหน้าของนาง
“ใครๆ ก็รู้ว่าท่านอาวุโสรองเป็นคนอ่อนโยนที่สุดแล้ว มีเพียงเจ้าที่ทำให้เขาโมโหแทบจะกระอักเลือด”
มู่หรงชูอวิ๋นเบ้ปาก ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก เพราะสิ่งที่ฉินเจาพูดไม่ผิดเลย เมื่อเปรียบเทียบกับท่านอาวุโสท่านอื่นแล้ว ท่านอาวุโสรองเป็นผู้ที่ใจดีมีเมตตามากจริงๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเหตุผลที่ฉินสุยเจาะจงเลือกเขามาช่วยสอนมู่หรงชูอวิ๋น
“มู่เหยียนเจ้าว่าพวกเราควรเข้าไปจัดการเจ้าหนุ่มนั่นตอนนี้ดีหรือไม่ โทษฐานบังอาจมาเอาเปรียบพระชายา”
ไม่ผิดหรอก คนที่พูดก็คือมู่เยี่ยน หลังจากที่พวกเขาจัดการเรื่องที่เมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว เฟิงหรงสวี่ขึ้นครองราชย์ต่อไป แต่งตั้งเฟิงเยี่ยนเฉิงขึ้นเป็นองค์รัชทายาท เฟิงหรงสวี่จัดการสะสางปัญหา ทรงแต่งตั้งน่าหลันฉิงขึ้นเป็นฮ่องเฮา ประกาศให้ยกเลิกวังหลังทั้งหมด ทั้งชีวิตขอมีนางเป็นสตรีของตนเพียงคนเดียว ทั้งช่วยรื้อคดีของน่าหลันฉิงมาตัดสินใหม่ สำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในสมัยนั้น พระองค์หาได้ละเว้นสักคนไม่ การปรากฎตัวของน่าหลันฉิงทำให้พระสนมเซียวทำตัวไม่ถูก นางไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับคนที่ทอดทิ้งเฟิงหลีเลี่ยอย่างไร เพียงแค่คิดถึึงสภาพผอมแห้งเหมือนฟืนของเฟิงหลีเลี่ยมาหมดสติอยู่ตรงหน้าของนาง นางก็รู้สึกนึกตำหนิน่าหลันฉิงอยู่ไม่น้อย ทว่าบัดนี้น่าหลันฉิงเป็นใหญ่หนึ่งเดียวของวังหลัง ส่วนนางเป็นเพียงพระสนมของฮ่องเต้ที่ถูกปลด สิ่งใดหนักสิ่งใดเบานางย่อมรู้ดี
น่าหลันฉิงเห็นเฟิงหลีเลี่ยปฏิบัติต่อพระสนมเซียวใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งกว่าตนเอง ในใจพลันรู้สึกกลัดกลุ้มเสียใจ แต่นางก็ไม่อาจแสดงอาการต่อต้านพระสนมเซียวได้ เพราะหากไม่มีพระสนมเซียว นางไม่รู้เลยว่าเฟิงหลีเลี่ยจะมีสภาพเช่นไร ตรงกันข้ามนางกลับรู้สึกซาบซึ้งใจต่อพระสนมเซียวที่ช่วยดูแลเฟิงหลีเลี่ยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เฟิงหรงสวี่รับสั่งให้มู่หรงจางช่วยอบรมสั่งสอนเฟิงเยี่ยนเฉิง เมื่อเฟิงเยี่ยนเฉิงได้เห็นหน้าเคร่งขรึมของมู่หรงจางแล้ว ก็ไม่กล้าก่อเรื่องใดๆ มู่หรงจางสั่งให้เขาทำสิ่งใดก็จะทำสิ่งใด แต่เมื่อมู่หรงจางเผลอ ก็จะเริ่มก่อเรื่องอีก เมื่อมู่หรงจางทราบเรื่องจึงได้จัดการอบรมเขาไปรอบหนึ่ง รู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ต่างไปจากเฟิงหรงสวี่ในวัยเด็กเลยแม้แต่น้อย และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเฟิงหรงสวี่จึงวางใจยกเฟิงเยี่ยนเฉิงให้มู่หรงจางดูแล
ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ พวกเขาตามหาทางเข้าหุบเขาจากแผนที่ที่ฉินอวิ๋นซินให้ไว้ตั้งแต่ก่อนจากมา กว่าจะหาปากทางเข้าสู่หุบเขาแห่งนี้ได้ไม่ง่ายเลย ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาแอบสุ่มดูเหตุการณ์อยู่ตรงนี้มาสองวัน ถึงได้พบเงาร่างของมู่หรงชูอวิ๋น ดีใจจนน้ำตาแทบทะลักออกมา พบว่าพระชายาซูบผอมลงไปมาก ใบหน้ากลัดกลุ้มเป็นทุกข์อยู่ไม่น้อย คงจะลำบากอยู่ไม่น้อยเป็นแน่ และไม่รู้ว่านายท่านของพวกเขาจะเป็นทุกข์มากเพียงใด ทว่าไม่คิดเลยจะได้มาเห็นพวกมือปลาหมึกวางอยู่บนไหล่ของพระชายาของพวกเขาเช่นนี้
มู่เยี่ยนไม่กล้าเหลือบมองเฟิงหลีเลี่ยที่แอบสุ่มอยู่ในพุ่มไม้อีกมุม ปกติพวกเขาเพียงช่วยประคองมู่หรงชูอวิ๋น ยังถูกลงโทษสั่งคุมขัง บัดนี้เจ้าหนุ่มคนนั้นกลับลูบปลายจมูกของพระชายาต่อหน้าสายตามวลชน ไร้ยางอายยิ่งนัก เพียงแต่สิ่งเดียวที่ทำให้ดีใจคือพระชายาของเขาดูเหมือนคนปกติแล้ว
ณ มุมหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น เฟิงหลีเลี่ยได้ผุดรอยยิ้มโหดร้ายขึ้นมา
ตอนที่ 405 พบหน้า2
ฉินเจาสัมผัสได้ถึงสายตาอันหนาวเย็นดั่งงูพิษพันเลื้อยรัดอยู่บนมือของเขา จึงกวาดสายตามองไปโดยรอบ ทว่าก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ
“มีอะไรหรือ?” มู่หรงชูอวิ๋นเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดจู่ๆ ก็ทำท่าทางเหมือนมีศัตรูบุกมาเยือน นอกจากเสียงนกใสไพเราะแว่วมาเป็นครั้งคราแล้ว รอบด้านก็ไม่มีอะไรอีก
ฉินเจาในชุดสีขาวผมดำสลวย ทั้งเส้นผมและเสื้อผ้าพริ้วไหวตามสายลม ไม่ผูกมัดและไม่ยุ่งเหยิง “ไม่มีอันใด”
มู่เยี่ยนได้ยินเสียงของฉินเจา พลันถอนใจโล่งอก อย่าว่าแต่ฉินเจาสัมผัสได้เลย แม้แต่เขายังสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นทางด้านหลังนี้
พวกเขาไม่ได้ห่วงหากฉินเจาพบพวกเขาแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ไม่รู้ว่าควรอธิบายกับมู่หรงชูอวิ๋นอย่างไรมากกว่า
วันแรกที่พวกเขามาถึงที่นี่ก็ได้พบกับฉินอวิ๋นซิน จึงได้ทราบสถานการณ์ของมู่หรงชูอวิ๋นแล้ว และแน่นอนก็ได้ทราบว่าพวกเขาหาคู่หมั้นให้กับมู่หรงชูอวิ๋น อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าพวกเขาไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าพระชายาคือภรรยาของท่านอ๋องของพวกเขา แต่งงานถูกต้องตามขนบธรรมเนียม ทุกคนใต้หล้าต่างรับรู้ ทว่าพวกเขาก็ยังกล้าทำเช่นนี้ ทำราวกับไม่มีผู้ใดต้องการนายท่านตัวน้อยของพวกเขา นำตัวกุยอวิ๋นไปพักในสถานที่มีการคุ้มกันแน่นหนา พวกเขาจึงไม่อาจเข้าไปได้ ทำได้เพียงทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของมู่หรงชูอวิ๋นก่อน
“ฉินเจา เจ้าเป่าขลุ่ยได้หรือไม่?”
“พอจะเข้าใจจังหวะดนตรีของขลุ่ยอยู่บ้าง หากเจ้าอยากเรียนข้าก็สอนให้ได้” คำพูดของฉินเจาค่อนข้างถ่อมตัว
มู่เยี่ยนอดแขวะไม่ได้ พระชายาหากท่านต้องการเรียนก็มาหาท่านอ๋องได้ บทเพลงของท่านอ๋องมีเพียงบนสวรรค์จึงจะมีท่วงทำนองและบทเพลงเช่นนี้ ไหนเลยที่โลกมนุษย์จะเคยได้ยินบ่อยครั้ง
“ข้าไม่ได้อยากเรียน แต่ช่วงนี้ในหัวของข้าคิดถึงบทเพลงบทหนึ่ง คล้ายกับใช้ขลุ่ยเป่าบรรเลง เจ้าอยากลองฟังสักหน่อยหรือไม่?”
“ได้” เขายังไม่เคยฟังเสียงขลุ่ยที่มู่หรงชูอวิ๋นเป่าบรรเลง คิดไม่ถึงว่านางจะมีความรู้เกี่ยวกับทำนองขลุ่ยเช่นกัน ตอนนี้ระหว่างพวกเขาจะได้มีเรื่องแลกเปลี่ยนพูดคุยซึ่งกันและกันแล้ว เขาเข้าใจดีว่าผงล้างความทรงจำจะปัดความทรงจำไปกับฝุ่นไม่ให้หลงเหลือแม้เพียงนิด แต่ไม่อาจลบล้างบางอย่างที่ฝังติดมากับกระดูกได้ เรื่องของความรู้สึกเมื่อหลายวันก่อน เขาก็ไม่เป็นกังวลอีกแล้ว
มู่หรงชูอวิ๋นรับขลุ่ยที่ฉินเจาผูกติดไว้กับเอวมาโดยตลอด มือลูบไล้ทั้งชิ้น “เป็นขลุ่ยที่ดี”
นางเคลื่อนขลุ่ยมาทาบริมฝีปากอย่างเบามือ ดวงตาทั้งสองพริ้มลง ริมฝีปากเริ่มเป่าลม เสียงเพลงไพเราะบทหนึ่งกำเนิดขึ้นมาระหว่างรูขลุ่ย สิบนิ้วยังคงพริ้วไหว เพลิดเพลินอยู่ในโลกแห่งดนตรีของตนเอง
นางไม่เห็นว่าฉินเจาอยากจะเอามือขึ้นมาปิดหูของตัวเอง แต่ก็กลัวนางจะเสียใจ จึงพยายามอดทนไว้
มู่เยี่ยนชำเลืองมองไปทางเฟิงหลีเลี่ยอย่างระมัดระวัง เห็นเพียงไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่ระหว่างหัวคิ้วของเฟิงหลีเลี่ยเบ่งบาน ไม่มีความทุกข์กลัดกลุ้มดั่งหลายวันที่ผ่านมา เขาไม่รู้ว่านายท่านของเขาถูกกระตุ้นหรือบาดเจ็บมากเกินไปหรือไม่
ผ่านไปนานในที่สุดมู่หรงชูอวิ๋นก็วางขลุ่ยลง จ้องมองฉินเจาพลางเอ่ยถาม “ไพเราะหรือไม่?”
ดวงตาคู่นี้สว่างใสเป็นที่สุด เปล่งประกายมีพลังราวกับปลายแหลมของแสงสว่างปักค้างอยู่บนทุกสิ่ง
ฉินเจาอดใจไม่ได้จ้องมองที่ดวงตาคู่นั้น เอ่ยถามอย่างอึดอัดใจ “หุ้ยซิน เพลงบทนี้เจ้าเป่าเป็นครั้งแรกเช่นนั้นหรือ?”
มู่หรงชูอวิ๋นส่ายหน้า “หาใช่ไม่ เคยเป่าต่อหน้าท่านอาวุโสรองไปแล้วครั้งหนึ่ง ข้ายังไม่ทันเล่นจบท่านก็ไม่พูดอะไรนอกจากเอ่ยชมว่าข้าเป่าได้ดี ทำเอาข้าเขินอายเป็นที่สุด”
“เพราะ ไพเราะจริงๆ”
“เช่นนั้นเจ้าอยากเป่าบรรเลงร่วมกับข้าสักรอบหรือไม่”
“ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีงานหนึ่งที่รับปากจะช่วยท่านอาจารย์ไว้แต่ยังทำไม่เรียบร้อย ต้องขอตัวก่อนแล้ว” ใต้ฝีเท้าราวกับมีลมเหาะ ไม่ต้องการขลุ่ยคืนแล้ว เพียงครู่เดียวก็หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา
มู่หรงชูอวิ๋นหมดความสนใจกับขลุ่ยในมือ “น่าเบื่อ” ความจริงนางรู้ว่าฉินเจาไม่อยากพูดทำร้ายจิตใจนางก็เท่านั้น แต่ก็กลัวที่จะพูดโกหกหลอกลวงนาง จึงได้เลือกจากไปเช่นนี้
ครั้งนั้นหลังจากที่ท่านอาวุโสรองพูดประโยคนั้นก็ระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว พร้อมกับสีหน้ารังเกียจ ทั้งยังเตือนนางอีกว่าคราวหน้าอย่าได้หยิบขลุ่ยมาให้เขาได้เห็นอีก เพราะนั่นเป็นเหมือนกับฝันร้ายสำหรับเขา ท่านอาวุโสรองสาบานเลยว่าไม่เคยได้ยินเสียงขลุ่ยที่บาดแก้วหูเช่นนั้นมาก่อนเลยทั้งชีวิตนี้
ตอนที่ 406 พบหน้า3
ท้องฟ้าค่ำลงแล้ว มู่หรงชูอวิ๋นจึงค่อยเดินกลับอย่างไม่รีบไม่ร้อน ปกติเวลาที่นางรู้สึกเบื่อก็จะมาเล่นอยู่ที่นี่
ทันใดนั้นสัมผัสอันอบอุ่นจากทางด้านหลังค่อยๆ ห้อมล้อมเข้ามา มู่หรงชูอวิ๋นเบี่ยงหลบไปด้านข้างด้วยความตื่นตกใจ ทว่ามือข้างหนึ่งได้จับนางเอาไว้แน่น เพียงครู่เดียวก็ดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอันเร้าร้อน นางสัมผัสได้ถึงแผงอกอันร้อนผ่าวภายใต้เสื้อผ้า และหัวใจที่เต้นอย่างเป็นระเบียบ “อวิ๋นเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัวนะ” น้ำเสียงของเขาแว่วดังที่ข้างหู ทุกถ้อยคำที่ออกมาจากริมฝีปากบางของเขา เป็นน้ำเสียงที่ค่อนข้างแหบพร่า แต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ที่อธิบายไม่ถูก มู่หรงชูอวิ๋นไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ความหวาดกลัวเมื่อครู่พลันมลายหายไปจนสิ้น เหลือไว้เพียงความสงสัย
กลิ่นกายแปลกหน้าทว่ากลับคุ้นเคยลอยเข้ามา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน “เจ้าเป็นใคร?”
เฟิงหลีเลี่ยเม้มริมฝีปากกระซิบแนบชิดข้างใบหูของมู่หรงชูอวิ๋น “เจ้าของบทเพลง” หากทำได้เขาก็อยากจะบอกนางอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ ข้าคือสามีของเจ้า คนที่ไหว้ฟ้าดินร่วมกับเจ้า เป็นสามีที่ได้รับคำอวยพรจากทุกคน อีกทั้งเป็นบิดาของลูกน้อยของเราทั้งสอง
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตอนที่เขาได้ยินมู่หรงชูอวิ๋นเป่าขลุ่ยบรรเลงบทเพลงนั้น ความรู้สึกในใจของเขาซับซ้อนเพียงใด นั่นคือบทเพลงที่เขาสอนให้กับมู่หรงชูอวิ๋น สำหรับคนอื่นแล้วจะเป็นเสียงรบกวนเมื่อได้ฟัง มีเพียงพวกเขาถึงจะเข้าใจความลับข้างในนั้น แม้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นจะลืมเขา แต่ก็ยังจำบทเพลงนี้ได้ เป็นการบอกกล่าวที่เขาพอใจมากแล้ว พลิกข้อมือของมู่หรงชูอวิ๋นส่องสะท้อนใต้แสงจันทราอันบริสุทธิ์ แท้จริงแล้วก็ได้เห็นด้ายแดงอยู่รำไรอย่างชัดเจน
กลิ่นไอร้อนชื้นส่งผ่านมาที่ลำคอของมู่หรงชูอวิ๋น ร่างกายของนางพลันแข็งทื่อ รอกระทั่งนางได้สติขึ้นมาก็รีบขยับตัวอย่างไม่สบายใจ พวงแก้มแดงระเรื่ออย่างไม่ต้องสงสัย บัดนี้กลับถูกคนแปลกหน้าคนนี้กักขังเอาไว้ในอ้อมแขน หัวใจยังเต้นรัวอย่างไม่ปกติ
“หากข้าไม่ยอมปล่อยล่ะ?” เฟิงหลีเลี่ยเอ่ยเสียงหายใจเสน่ห์ร้าย กวาดไปทั้งใบหน้าของนาง คำพูดสุดท้ายเขาตั้งใจลากเสียงยาว ดุจดั่งสุราอาบยาพิษร้ายแรง เมาทันทีเมื่อได้ดื่ม ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะให้เขาปล่อยนาง ต่อให้ฟ้าจะถล่มดินจะทลายก็ตามที
มู่หรงชูอวิ๋นโมโหร้อนใจกับคำพูดของเขา แต่ก็ไม่กล้าหันหน้ากลับไปมองท่าทีของเขา “เช่น…เช่นนั้นข้า…จะเรียกคนเข้ามาแล้ว” มู่หรงชูอวิ๋นกล่าวออกไปอย่างทุ่มสุดตัว
“ตะโกนสิ”
มู่หรงชูอวิ๋นตะลึงถลึงตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าเหมือนละครที่หญิงสาวมีชาติตระกูลถูกคนพาลข่มขู่ที่นางได้ฟังเมื่อไม่นานมานี้ ในตอนนั้นนางยังถอนหายใจว่าคนเล่าเรื่องนั้นคุยโม้เสียเหลือเกิน ไม่ใช่เพราะคนที่เล่าเรื่องนั้นมีความสามารถรู้เท่าทันการณ์ นางก็คือหญิงสาวมีชาติตระกูลที่ถูกรังแก ทันใดนั้นขนแขนของนางก็ลุกพองขึ้นมา
“จอมยุทธ์ท่านนี้ต้องการสิ่งใด หรือปรารถนาสิ่งใด? โปรดบอกข้ามาเถิด บิดาของข้าเป็นหัวหน้าชนเผ่า เขาให้ท่านได้ทุกอย่าง ให้เป็นวัวเป็นม้าเขาล้วนยินยอม” อย่างไรเสียพ่อของนางก็มีนางเป็นลูกสาวสุดที่รักเพียงคนเดียว จะต้องช่วยชีวิตและปกป้องนางอย่างแน่นอน
ปลายนิ้วอวบอิ่มของเฟิงหลีเลี่ยลูบไล้ด้วยความคิดถึงไปบนใบหน้าละเอียดประณีตของมู่หรงชูอวิ๋น “สิ่งที่ข้าปรารถนา เขาได้นำไปซ่อนเสียแล้ว บัดนี้ยังไม่ยอมคืนให้กับข้า”
ในชีวิตของเขามีสมบัติล่ำค่าที่สุดสองชิ้นล้วนต่างถูกขโมยไปแล้ว เขารู้สึกเหมือนกับการได้สัมผัสลูบไล้บนใบหน้ารูปไข่ของมู่หรงชูอวิ๋นเป็นเรื่องของเมื่อชาติที่แล้ว จึงได้บรรจงลูบสัมผัสใบหน้าของนางอย่างเบามือ
มู่หรงชูอวิ๋นผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อทำการตกลงกับเขา “ท่านพ่อเป็นผู้ขโมยหาใช่ข้าไม่ ท่านไปทวงกับเขาไม่ดีกว่าหรือ?” เหตุใดจึงกระทำการณ์ที่ไร้เหตุผลเช่นนี้
“ไม่ดี บิดาติดค้างบุตรสาวชดใช้ คือสัจธรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
ตอนที่ 407 พบหน้า4
มู่หรงชูอวิ๋นร้อนใจจนอยากจะร้องไห้ “ท่านจอมยุทธ์ ข้าเป็นเพียงสาวน้อย ไม่มีเงินทองของมีค่าใด หน้าตาก็ไม่น่ามอง ท่านคงไม่ขืนใจหรอกนะ” หากเป็นสถานการณ์ที่ปลอดภัยมู่หรงชูอวิ๋นไม่มีทางพูดเช่นนี้แน่ จะต้องบอกว่าตนนั้นงามชนะไซซี[1] สวยเกินเตียวเสี้ยน[2] บัดนี้เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ เรื่องอื่นๆ ก็เป็นเหมือนเมฆที่เลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ ยิ่งบอกว่านางอัปลักษณ์เขาอาจจะปล่อยตนไปก็เป็นได้ ทว่าน่าเสียดายว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของมู่หรงชูอวิ๋น
“น่ามอง”
ในโลกนี้นอกจากนางแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดน่ามองอีกแล้ว และก็มีเพียงนางที่บุกเข้ามาในประตูบานใหญ่ของหัวใจเขา นานแล้วไม่จากไปไหน และเขาก็ได้ลงกลอนสนิทกังขังตัดใจให้มันจากไปไม่ได้เสียที
มู่หรงชูอวิ๋นอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา นางรู้สึกซาบซึ้งมากที่สายตาของเขาแตกต่างไปจากนาง เพราะนางก็รู้สึกว่าตนเองดูดีมากเช่นกัน เหตุใดจึงรู้สึกว่าจอมยุทธ์ท่านนี้ตั้งใจมาข่มเหง กลั่นแกล้งความรู้สึกของนาง
มู่เยี่ยนที่หลบอยู่ด้านข้างรู้สึกเห็นใจอย่างสุดซึ้งต่อพระชายาที่กำลังถูกกลั่นแกล้ง เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่านายท่านของเขานั้นร้ายกาจถึงเพียงนั้น ดูคล้ายกับราชาชั่วร้ายเป็นพิเศษ แม้แต่ภรรยาของตัวเองก็ไม่เว้น เขาอยู่ไกลๆ ยังสัมผัสได้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นจะร้องไห้แล้ว
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?”
ดวงตาหงส์อันเรียวยาวของเฟิงหลีเลี่ยกวาดมองไปยังมู่เยี่ยนที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นกระชับแนบชิดกับลำคอขาวใสไร้ตำหนิของมู่หรงชูอวิ๋นเข้าไปอีก น้ำเสียงชัดเจนดังเข้าหูของคนทั้งสอง เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายของมู่หรงชูอวิ๋นแข็งทื่อขึ้นเรื่อยๆ จึงหยักยิ้มมุมปากอย่างพอใจ “คิดถึงเจ้า” บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ทำได้เพียงรอ อนาคตนั้นยังอีกยาวไกล
ไม่ใช่เพราะมีหนอนกู่คะนึงหา[3]หรือ เขาไม่เชื่อว่าจะทำไม่สำเร็จ เดิมทีฉินสุยหลังจากได้ยินเหตุการณ์ที่มู่หรงชูอวิ๋นปวดร้าวใจเมื่อได้ยินชื่อ “เฟิงหลีเลี่ย” สามคำนี้ จึงได้ปรึกษากับบรรดาท่านอาวุโส ตัดสินใจใส่หนอนกู่คะนึงหาให้มู่หรงชูอวิ๋นอีก
หนอนกู่คะนึงหาที่เรียกกันนี้เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษสกุลฉินคิดค้นขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาจดจำตนได้อย่างลึกซึ้ง ขอเพียงใส่ลงไปบนกายของคนสองคนที่รักกัน เช่นนั้นพวกเขาก็จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต มีเพียงความตายที่จะพรากพวกเขาไปจากกันได้ แต่หากว่าลงบนกายของคนที่ไม่รักกัน พวกเขาก็จะค่อยๆ บังเกิดความรักซึ่งกันและกัน หากไม่ใช่เพราะฉินเจาได้เห็นปฏิกิริยานี้ของมู่หรงชูอวิ๋น เขาไม่มีทางยินยอมแน่นอน ในวันนั้นเขาไม่แน่ใจว่าเสน่ห์ของตัวเองจะดึงรั้งมู่หรงชูอวิ๋นไว้ได้หรือไม่
เฟิงหลีเลี่ยพูดจบไม่รอให้มู่หรงชูอวิ๋นได้สติกลับมา ก็หายตัวไปไม่เหลือแม้เพียงเงา มู่หรงชูอวิ๋นใช้มือลูบลำคออันเปียกชื้นอย่างงุนงง จมูกยังได้กลิ่นหอมจางๆ เพื่อเน้นยำ้ว่าเมื่อครู่นางไม่ได้ฝันไป นางถูกกลั่นแกล้งจริงๆ ทั้งยังจูบลำคอบริเวณที่ซ่อนเร้นของนางเช่นนั้นอีก
ฉินเจารีบเข้ามาเห็นมู่หรงชูอวิ๋นยืนเอามือจับลำคอด้วยอาการอึ้งตะลึง ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน พลันถอนใจโล่งอก เอ่ยเชิงตำหนิ “ค่ำมืดแล้วเหตุใดยังไม่กลับไป?” ทำเอาคนเกือบทั้งชนเผ่าต่างตื่นตระหนกกันไปหมด ท่านอาวุโสรองก็ยังมาถูกท่านอาวุโสใหญ่ตำหนิอีก รู้สึกว่าการกระทำของเขาในวันนี้ออกจะเกินเหตุทำให้มู่หรงชูอวิ๋นหายตัวไป ท่านอาวุโสรองรู้สึกน้อยใจไม่รู้ควรไประบายที่ใด เมื่อก่อนท่านอาวุโสใหญ่มีแต่จะเอ่ยชมเขา บัดนี้กับปฏิบัติต่างไปราวฟ้ากับเหว
หากไม่ใช่เพราะฉินเจามาพูดคุยกับเขา คงไม่อาจทราบเรื่องได้ ปกติมู่หรงชูอวิ๋นจะกลับมาเร็ว จึงเข้าใจว่าเกิดเรื่องขึ้นกับนาง ฉินเจาจึงได้รีบตามมาอย่างร้อนใจเช่นนี้
มู่หรงชูอวิ๋นได้ยินเสียงของเขา คล้ายกับตื่นขึ้นมาจากภวังค์ พลางส่ายหน้าตอบ “ข้าไม่เป็นอันใด” ไม่รู้ว่าเหตุใด แต่นางไม่อยากบอกเรื่องนี้กับฉินเจาว่าเมื่อครู่นางโดนแทะโลม ไม่ใช่เพราะกลัวฉินเจาจะรังเกียจนาง แต่เพราะเป็นห่วงคนที่แทะโลมนางจะถูกจับตัวได้ เห็นชัดว่าเมื่อครู่นางโมโหเขามาก แต่บัดนี้กลับช่วยเขาปิดบัง มู่หรงชูอวิ๋นรู้สึกดูถูกตัวเองอย่างมาก ก็แค่เสียงของคนผู้นั้นไพเราะ กลิ่นกายหอมก็เท่านั้นไม่ใช่หรือ
[1] ไซซี คือหนึ่งในสี่สุดยอดหญิงงามของจีน
[2] เตียวเสี้ยน คือหนึ่งในสี่สุดยอดหญิงงามของจีน
[3] หนอนกู่คะนึงหา คือ สัตว์ที่ผ่านพิธีกรรมของชนเผ่าในจีน เป็นไสวยเวทย์ดำอันน่ากลัว
ตอนที่ 408 พี่รองคือใคร1
หลังจากมู่หรงชูอวิ๋นกลับไป ตกกลางคืนก็ฝันถึงความฝันหนึ่ง ท่ามกลางม่านหมอกเคลื่อนคล้อย มีชายหนุ่มรูปร่างสง่างาม ผมยาวสยายในชุดสีขาวนั่งอยู่ในป่าไผ่ สิบนิ้วดิีดอยู่บนสายพิณไม่หยุด เสียงพิณใสไพเราะดังก้อง ทว่าต่อให้นางจะแหวกม่านหมอกเหล่านั้นอย่างไร ก็ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจนเสียที แม้ว่านางจะมองเห็นไม่ชัด แต่ก็มั่นใจได้ว่าเขาต้องรูปงามมากเป็นแน่ อีกหลายวันต่อมานางก็ยังคงฝันเห็นความฝันเดิมเช่นนี้อยู่ ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจึงนวดศีรษะที่ปวดอยู่เบาๆ
สาวใช้ที่คอยดูแลนางรีบเข้ามาเอ่ยถาม “ธิดาเทพ วันนี้ไม่ต้องไปเรียนกับท่านอาวุโสรอง เหตุใดไม่หลับพักผ่อนอีกหน่อยเจ้าคะ?” ปกติมู่หรงชูอวิ๋นนอนถึงช่วงตะวันสายโด่งก็ยังไม่ยอมจะลุกขึ้นมา ทุกครั้งนางจะต้องเข้าไปปลุกเรียก แต่ช่วงนี้มู่หรงชูอวิ๋นตื่นเช้าช่างเป็นอะไรที่เกินคาดหมายเหลือเกิน
มู่หรงชูอวิ๋นรู้สึกเวียนหัว โบกมือปฏิเสธ นางก็อยากจะนอนต่อ ทว่าตั้งแต่คืนนั้นที่นางได้พบกับคนผู้นั้น อย่าว่าแต่ให้นางนอนพักมากกว่านี้เลย แม้แต่การนอนหลับปกติก็ยังไม่พออย่างรุนแรง ทุกวันนางได้แต่หาวฟอดใหญ่ ไม่ต้องบอกว่าท่านอาวุโสรองจะรังเกียจนาง เพราะแม้แต่นางก็ยังรังเกียจตัวเอง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่านอาวุโสรองใจดีพบเห็น ช่วงนี้จึงอนุญาตให้นางหยุดพักผ่อนได้
“ธิดาเทพ คุณชายมารอท่านอยู่ด้านนอกสักพักแล้ว แจ้งว่าจะพาท่่านออกไปเดินเล่นเจ้าค่ะ”
พวกนางต่างอิจฉาที่คุณชายชอบธิดาเทพถึงเพียงนี้ มารอตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อได้ยินว่าธิดาเทพยังไม่ตื่นก็นั่งรออยู่ด้านข้าง ดื่มชาหมดไปสามแก้วแล้วก็ยังไม่มีวี่แววความหงุดหงิดรำคาญแม้แต่นิด หากมีชายใดมาปฏิบัติกับนางเช่นนี้ ให้ตายเร็วหลายปีพวกนางก็ยอม
มู่หรงชูอวิ๋นใบหน้าบูดบึ้ง ที่นี่คือหุบเขา ทุกฤดูกาลเขียวสดชื่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ไม่ต้องพูดถึงการเดินเล่นเลย มีที่ไหนบ้างที่ไม่ใช่สีเขียวชะอุ่ม มองไปทั่วทั้งผืนเขาท้องทุ่งล้วนเป็นสีเขียวไม่เห็นมีอะไรน่ามอง ดูไปแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่าง นางเห็นจนเบื่อเสียแล้ว หากว่ามีสีสันอื่นบ้าง เติมสีขาวให้นางเสียหน่อย เหยียบบนปุยหิมะชมดอกเหมยคงจะดีมากเลย เหมือนกับภาพในความฝันนั้น นางยังรู้สึกอิจฉาผู้หญิงในความฝันของนาง ไม่ว่านางจะเที่ยวเล่นไปที่ใด มักจะมีมือคู่หนึ่งคอยช่วยประคองเวลาที่นางเกือบจะหกล้มเสมอ เมื่อใดที่นางซุกซน คนผู้นั้นก็ไม่เคยตำหนิใดๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู แม้ว่าฉินเจาจะดีกับนางมาก แต่นางไม่มีความรู้สึกเขินจนหน้าแดงหูแดง ใจเต้นรุนแรงเช่นนั้น นางนั้นแอบรู้สึกผิดเหมือนว่าตัวเองกำลังนอกใจฉินเจา
ฉินเจาเงยหน้าขึ้นมาเห็นมู่หรงชูอวิ๋นที่มีผิวพรรณขาวใสดั่งหิมะ ดวงตาประกายใสดั่งแอ่งน้ำใส ชวนน่าหลงใหลเป็นที่สุด มีความงดงามดูสูงศักดิ์เป็นเสน่ห์ของตัวเอง ทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจดั่งมองภาพวาด ไม่กล้าดูหมิ่น ทว่าได้เห็นขอบตาดำคล้ำ เห็นว่านางเอามือปิดปากหาวฟอดอยู่หลายครั้ง
จึงลุกขึ้นยืนเอ่ยอย่างสงสาร “เมื่อคืนนอนไม่หลับเช่นนั้นหรือ?” เขาไม่รู้ว่าช่วงนี้มู่หรงชูอวิ๋นมีเรื่องกังวลใจใด ทุกวันจึงดูอ่อนแรงเหนื่อยหอบ สภาพซีดเซียวลงไปไม่น้อย แม้แต่เวลาเดินยังไม่มีพลัง ในตอนแรกเขาคิดว่ามู่หรงชูอวิ๋นจำเรื่องราวในอดีตได้แล้ว จึงลองทดสอบนางอยู่หลายครั้ง และพบว่าตนเองคิดมากเกินไป ถึงได้ถอนใจโล่งอก ทว่าหมอกู่ได้ตรวจร่างกายให้นางก็ไม่อาจหาสาเหตุได้ ทำได้เพียงสั่งให้นางพักผ่อนมากๆ
“อย่าได้พูดถึงเลย” มู่หรงชูอวิ๋นรู้สึกหงุดหงิด ขมวดคิ้วย่นอยู่บ้าง แทบอยากจะชกชายหนุ่มในคืนนั้นแรงๆ สักที ต้องโทษที่คนรูปงามอย่างเขาเข้ามากลั่นแกล้ง แทะโลมนาง คิดๆ แล้วก็โมโหยิ่งนัก ต้องโทษที่นางหน้าตาสะสวยดั่งบุปผา ทรวดทรงงดงามอ่อนช้อย แม้มองในที่มืดไร้แสงไฟก็ยังเห็นความงามของนางได้ เจ้าโจรตัณหากลับ อย่าให้นางได้รู้ว่าเป็นผู้ใด ไม่เช่นนั้นจะต้องอัดเขาปางตายเป็นแน่แท้
เฟิงหลีเลี่ยที่อยู่ห่างไปไม่ไกลย่นจมูกอย่างรู้สึกไม่ค่อยสบาย
“พวกเรายกเลิกวันนี้ไปก่อนดีหรือไม่ ให้เจ้าได้พักผ่อนเสียหน่อย”
“ช่างเถิด อย่างไรก็นอนไม่หลับ” ไม่แน่ว่าหากไปเดินเล่นอาจจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างก็เป็นได้
ตอนที่ 409 พี่รองคือใคร2
มองดูใบไม้สีเขียวสดชื่น ภายใต้แสงอาทิตย์สีทองระยิบระยับ
มู่หรงชูอวิ๋นสูดอากาศเข้าเต็มปอด “ที่นี่สวยงามมากเลย เจ้าว่าเหตุใดท่านพ่อของข้าจึงคิดไม่ได้ ยอมทิ้งตำแหน่งแม่ทัพอันทรงเกียรติ มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตพื้นที่ทุรกันดารเช่นนี้”
ฉินเจาตัวชาแข็งทื่อหันหน้ามา ร่างกายหนาวเย็นเสียดกระดูก ฝ่ามือกำชายแขนเสื้อไว้แน่น เอ่ยถามเสียงเรียบสงบ “หุ้ยซิน เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอันใดนะ?”
“หืม? ข้าพูดว่าท่านพ่อเมื่อก่อนเป็นท่านแม่ทัพไม่ใช่หรือ?” มู่หรงชูอวิ๋นมองเขาด้วยแววตาฉงนใจ ราวกับได้ยินเรื่องอะไรที่คาดไม่ถึง “ข้าจำได้ว่าท่านพ่อสวมชุดเกราะสีขาว ดูน่าเกรงขามเป็นที่สุด ในตอนนั้นพี่รองยังอิจฉาเขาอย่างมาก เอ่ยอย่างปวดร้าวใจว่าตนจะต้องเป็นแม่ทัพกล้าหาญเกรียงไกรให้ได้…ช้าก่อน…” มู่หรงชูอวิ๋นเอามือกุมศีรษะปวด “พี่รองคือใครกัน?” นางรู้สึกปวดศีรษะอย่างมาก ทว่าก็นึกไม่ออก
ฉินเจารีบช่วยประคองมู่หรงชูอวิ๋น “เจ้าคงจะจำผิดแล้ว”
“ไม่ผิด ข้าจำได้ชัดเจน…”
ฉินเจาทัดเส้นผมของนางที่ปลิวตามลมเก็บไปที่หลังใบหูให้นาง เอ่ยพูดอย่างเก็บอาการได้เป็นปกติ “หุ้ยซิน ตอนเด็กเจ้าชอบเรียกข้าว่าพี่รอง ต่อมาเจ้ารู้สึกว่าไม่ค่อยดี ด้วยสถานะของพวกเราแล้ว จึงเปลี่ยนมาเรียกชื่อข้า”
“จริงหรือ? พี่รอง” มู่หรงชูอวิ๋นมองนัยน์ตาของเขาด้วยความสงสัยไม่เชื่อใจ อยากจะค้นหาว่าข้างในนั้นคืออะไรกันแน่ ทว่าในดวงตาสุกใสกลับมองไม่เห็นสิ่งใดเลย เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าหากตนเองเรียกเขาว่าพี่รองจริง ถึงได้รู้สึกแปลกหน้าเช่นนั้น ไม่ได้รู้สึกสนิทสนมเหมือนกับความรู้สึกที่เรียกออกไปเมื่อครู่ นางจึงส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรุนแรง
ฉินเจาชะงัก คิดไม่ถึงว่านางจะพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ “ทรมานก็อย่านึกอีกเลย พวกเรายังคงอยู่ด้วยกัน เรื่องในอดีตไม่สำคัญ หวงแหนปัจจุบันจึงเป็นสิ่งสำคัญ”
มู่เยี่ยนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านข้างรู้สึกนับถือฉินเจาจากใจจริง พูดปดออกมาได้โดยไม่ต้องร่างถ้อยคำ มีไหวพริบการแสดงอยู่เต็มอก แม้จะหลับตาก็ยังพูดเท็จออกมาได้หน้าตาเฉย ไม่รู้ว่าหากมู่หรงมู่มาได้ยินจะรู้สึกอย่างไร แม้แต่ชื่อของเขาก็ยังถูกคนหน้าด้านสวมรอยได้ คิดแล้วเขาคงจะโมโหจนร้องไห้ตายกระมัง ตนจำได้ก่อนออกเดินทางมาที่นี่ คำพูดของมู่หรงมู่ที่พูดไว้กับนายท่านดุดันนักเลงเพียงใด
“หากท่านไม่อาจพาอวิ๋นเอ๋อร์กลับมาได้อย่างปลอดภัย จงรีบแจ้งข่าวให้ข้าทราบโดยเร็ว ข้าจะยกกองทัพไปหาพวกเขา ทำให้พวกเขาได้เห็นว่าการรังแกเป็นเช่นไร” เขาเพิ่งจะทราบข่าวเรื่องที่มู่หรงชูอวิ๋นถูกพาตัวไปหลังกลับมาจากศึกเมืองหลวงแล้ว แม้แต่หน้าของหลานชายตัวน้อยเขาก็ยังไม่ทันได้เห็น โกรธจนเกือบจะยกทัพบุกไปฆ่าเสียให้รู้แล้วรู้รอด
มู่หรงชูอวิ๋นตบศีรษะของตัวเองอย่างแรง “อืม! ข้าคงจะคิดมากเกินไปจริงๆ” นางมักจะนึกถึงเรื่องแปลกประหลาดอยู่บ่อยครั้ง ทว่าทุกครั้งที่พูดออกไป ทุกคนต่างบอกกับนางว่านั่นไม่ใช่ความจริง แต่นางกลับรู้สึกคุ้นเคยราวกับเป็นเรื่องในชีวิตที่ผ่านมา เหมือนกับว่าพวกเขาเคยมีชีวิตอยู่รอบกายของนางจริงๆ
หากมีโอกาสนางก็อยากจะรู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ และยังมีผู้หญิงที่คอยนำยามาให้ตนผู้นั้นอีกคน เหตุใดเวลาที่นางเห็นหน้าของตนแล้ว นัยน์ตามักจะประกายความทุกข์ใจออกมาเสมอ เอ่ยถามทีไรนางก็มักจะตอบว่าเป็นเพราะทรายปลิวเข้าตา
มู่หรงชูอวิ๋นรู้ว่าท่านพ่อและคนอื่นๆ มีบางอย่างปิดบังนางอยู่ นางอยากรู้เหลือเกินว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ที่ทำให้ทุกคนสามารถปิดบังนางอยู่เช่นนี้ นางยังจำได้ว่าวันนั้นที่นางตื่นขึ้นมาแล้วลืมอะไรไปบางเรื่อง ทว่ามีเสียงของเด็กร้องไห้ติดอยู่ในหัวของนาง ทุกคนต่างก็บอกว่านั่นเป็นเพียงภาพลวงตา นางคิดมากไปเอง นางก็ไม่รู้ว่าตนเองควรเชื่อใครดี ใครกันที่จะไม่โกหกนาง แม้แต่ฉินเจาผู้เป็นคู่หมั้นของนาง ปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณเมื่อครู่มีอะไรปกปิดนางอยู่ แม้ว่าจะปกปิดได้เป็นอย่างดี แต่นางก็ยังสัมผัสได้อยู่ดี
“นายท่าน เหมือนว่าพระชายาจะนึกขึ้นได้แล้ว พวกเราเข้าไปบอกความจริงกับพระนางเลยดีหรือไม่ขอรับ?” หลบซ่อนตัวอยู่เช่นนี้มาหลายวันแล้ว เขารู้สึกทรมานจะตายอยู่แล้ว โดยเฉพาะเวลาที่ได้เห็นคนผู้นั้นล่วงเกินพระชายาอย่างเปิดเผยเช่นนี้
เฟิงหลีเลี่ยมองไปยังตำแหน่งที่มู่หรงชูอวิ๋นยืนอยู่เมื่อครู่ ก็โบกมือห้ามไว้ ตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะเวลาที่เหมาะสม เขาต้องการให้มู่หรงชูอวิ๋นคิดออกจากใจเองว่าเขาคือใคร เมื่อครู่ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขารู้สึกอิจฉามู่หรงมู่มากเพียงใด ที่ทำให้นางเรียกชื่อของเขาออกมาได้จากสัญชาตญาณเช่นนี้
ตอนที่ 410 ข้ายอมทรยศคนทั้งโลก แต่จะไม่ยอมทรยศชูอวิ๋น
“ท่านอาจารย์หนอนกู่คะนึงหาถอนได้หรือไม่ขอรับ? ฉินเจามองชายวัยกลางคนตรงหน้า เอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ
ฉินสุยปักธูปอย่างนอบน้อม หันหน้ากลับมามองชายหนุ่มที่ตนเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ ผู้ที่สงบจิตสงบใจ ไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น ไม่รู้ว่าใบหน้าหล่อเหลาปรากฎความกังวลขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด
“ไร้ซึ่งยาถอน เว้นเสียแต่ผู้ลงเวทย์ได้ตายจากไป” เห็นว่าเขายังคงไม่สบายใจ “มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ?”
“ท่านอาจารย์ข้าไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ จึงรู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมา ข้าเป็นกังวลว่าหุ้ยซินจะจำได้ เมื่อวานนางยังถามว่าเมื่อก่อนท่านอาจารย์ของข้าเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ไม่ใช่หรือ แล้วยังมีพี่รองนั่นอีกคน” เมื่อวานหลังจากได้ยินคำถามนี้แล้ว จิตใจของเขาก็ว้าวุ่น นอนไม่หลับอยู่นาน ทำได้เพียงหลับตาลง ในหัววนเวียนแต่เรื่องคำถามของนางในวันนั้น เสียงใสชัดของนางยังก้องอยู้ข้างหู
ฉินสุย “อย่าเป็นกังวลไป นั่นเป็นเพียงบางช่วงบางตอนเท่านั้น เป็นไปได้ไม่เท่าใดหรอก ตอนที่มู่หรงชูอวิ๋นยังเด็กคนตระกูลมู่หรงเลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ แน่นอนว่าในใจจะต้องมีความทรงจำอยู่บ้าง” เขาสามารถล้างความทรงจำของนางได้ครั้งหนึ่ง ย่อมต้องมีครั้งที่สอง
“ขอรับท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว”
มู่หรงชูอวิ๋นอยู่ในความฝัน รู้สึกเหมือนที่ใบหน้าของตนเองมีอะไรเกาะอยู่ เอามือปัดไม่ออกเสียที คล้ายกับมีอะไรบางอย่างจ้องเขม็งอยู่ เร่าร้อนจนทำให้นางรู้สึกอึดอัด เอามือป้องปัดอย่างงัวเงีย สิ่งที่มือคว้าได้ทำให้นางตกใจหวาดกลัวลืมตาขึ้นมอง พลันต้องตกตะลึงไปในทันที นอนอยู่ตรงหน้าของเขาด้วยอาการสั่นเทา ทนรับกับสายตาแหลมคมของเขาไว้ไม่ไหว จึงขยับถอยหลังไปหลายส่วน ขณะที่กำลังจะอ้าปาก ทว่ายังไม่ทันเปล่งเสียงร้องออกมา ก็ถูกฝ่ามือที่มีไอร้อนปิดกลั้นไว้เสียก่อน
“อย่ากลัวเลย อวิ๋นเอ๋อร์” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำไร้ระลอกคลื่น สายตาเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งทำให้รู้สึกไร้สึกอุณหภูมิความอบอุ่นอื่นใด น้ำเสียงนั้นเยียบเย็นแต่อ่อนโยน แฝงไปด้วยความแหบพร่าอย่างเกียจคร้าน ได้ยินแล้วจักเกิดความงุนงงได้ในชั่วพริบตา ลุ่มหลงได้อย่างไม่รู้ตัว มู่หรงชูอวิ๋นไม่ได้รู้สึกถึงความหวาดกลัวแต่อย่างใด เสียงนี้คล้ายกับดังก้องอยู่ข้างหูของนางมาโดยตลอด นางจำได้ว่าเสียงของเฟิงหลีเลี่ยก็คือโจรตัณหากลับที่นางแอบก่นด่าอยู่หลายวันคนนั้น
มู่หรงชูอวิ๋นอาศัยแสงจันทราริบหรี่ ทอดมองใบหน้าของเฟิงหลีเลี่ยอย่างระมัดระวัง ใบหน้าคมชัดหล่อเหลาไม่ธรรมดา เพียงแค่เหลือบมอง หัวใจของนางก็เต้นรัวแทบจะทะลักออกมาเสียแล้ว
มู่หรงชูอวิ๋นกระพริบขนตาเบาๆ เพราะนอนอยู่ผมเผ้าจึงดูยุ่งเหยิง ทว่ากลับดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ งดงามจนทำให้ดวงตาอันลึกล้ำของเฟิงหลีเลี่ยหม่นลงหลายส่วน “เจ้าเป็นใครกันแน่?” นางกลับไปคิดอยู่นานก็ยังไม่เข้าใจว่าเจ้าของบทเพลงหมายความว่าอย่างไรกันแน่ แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าเขาจะแอบเข้าห้องมาในยามวิกาลเช่นนี้ โชคดีที่นางชินกับการนอนคนเดียว ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงคงจะป่นปี้ไม่เหลือที่ดีเลย
เฟิงหลีเลี่ยหยักมุมปากโค้งขึ้นเบาๆ ริมฝีปากเคลื่อนขยับ “คนที่ชอบเจ้า” ชีวิตนี้เขาชอบนางเพียงคนเดียว แน่นอนว่านางก็คือคนที่เขาชอบ ไม่มีสิ่งใดจะสนิทใกล้ชิดไปได้มากกว่าสิ่งนี้แล้ว
มู่หรงชูอวิ๋นตกตะลึง ได้สติกลับมาอีกที ใบหน้าก็แดงกร่ำ เงียบอยู่นานจึงพูดมาประโยคหนึ่ง “เจ้าโจรตัณหากลับ” แล้วเบี่ยงหน้าหนีไม่อยากมองหน้าของเขาอีก
เห็นว่ามู่หรงชูอวิ๋นไม่เชื่อ จึงรีบอธิบาย “ข้าพูดเรื่องจริง ไม่เคยโกหกผู้ใด” เขาเองก็ไม่กล้าทำ อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็คือมู่หนงชูอวิ๋น เขายอมโกหกคนทั้งใต้หล้า แต่จะไม่ยอมโกหกมู่หรงชูอวิ๋น
มู่หรงชูอวิ๋นหันหน้ากลับมา จดจ้องนัยน์ตาของเฟิงหลีเลี่ย “เจ้าพูดเช่นนี้กับผู้หญิงทุกคนใช่หรือไม่” เพียงแค่คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่คนอื่นๆ จะเคยได้ยินเสียงในคอทุ้มต่ำของเขาพูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมา ในใจของนางพลันรู้สึกเหมือนกับตกเหว นางไม่เพียงเคยฟังคนอื่นเล่าเรื่องโจรตัณหากลับ แต่ยังเคยฟังเรื่องคุณชายผู้ร่ำรวยหลอกเกี้ยวสาวน้อยอีกด้วย
ตอนที่ 411 ข้าไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสา
เฟิงหลีเลี่ยมองริมฝีปากแดงงดงามมีเสน่ห์ของมู่หรงชูอวิ๋นที่นูนขึ้นมาด้วยความโมโห พลันนึกถึงเรื่องราวในอดีตครั้งที่เขาหลอกล่อให้นางดื่มยาบำรุง น้ำตาของความไม่พอใจเอ่อคลอออกมา ทำให้รู้สึกสงสารแทบอยากจะประคองนางไว้ในอุ้งมือปลอบโยนอย่างทะนุถนอม ในใจของเขาพลันกลัดกลุ้ม เคาะอย่างหนักหน่วงทุกวินาที เห็นแล้วแทบอยากจะประกบริมฝีปากลงไป บดเบียดอย่างแรง ใช้การกระทำบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้นางได้รู้ บอกว่าเขาเป็นใคร ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เขายังคงต้องอดทน เพราะเขายังตรวจสอบไม่ได้ว่าคนพวกนั้นซ่อนกุยอวิ๋นไว้ที่ใด เขาทำได้เพียงอดทนเข้าไว้ รอให้ทุกอย่างเปิดเผยออกมาก่อน เขาไม่มีทางจะปล่อยคนพวกนั้นเอาไว้แน่ จะทำให้พวกเขาได้รู้ว่าเขาไม่ได้อ่อนเหมือนนุ่นที่จะยอมให้พวกเขาบีบเล่นได้ตามอำเภอใจ
ฉินสุยเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องเฉกเช่นวันนั้น เขารู้ดีว่าภรรยาของตนใจอ่อนเพียงใด จึงได้สั่งให้นำตัวกุยอวิ๋นไปซ่อนไว้ แม้แต่ฉินอวิ๋นซินก็ยังไม่ได้เจอหน้ากุยอวิ๋นมานานแล้ว
มู่หรงชูอวิ๋นเห็นเฟิงหลีเลี่ยมีท่าทีเปลี่ยนเป็นเย็นชา คล้ายกับจะฉีกร่างคนก็เป็นได้ จึงหดคอลงไปอย่างหวั่นกลัว “ข้าเพียงแต่มองเจ้าออกก็เท่านั้น อย่าได้อับอายจนโมโหเสียเลย” ลอบชำเลืองว่าอีกประเดี๋ยวตนเองจะวิ่งไปทางใดเร็วกว่า จะได้ไม่ถูกจับตัวได้ ทว่านางพบว่าเฟิงหลีเลี่ยได้นั่งอยู่ข้างเตียง อย่าว่าแต่วิ่งหนีเลย แม้แต่ขยับตัวสักนิดก็ยังเป็นปัญหา
เฟิงหลีเลี่ยได้เห็นมู่หรงชูอวิ๋นพูดจาอ่อนลงไปหลายส่วน จึงรู้ว่าตนทำให้นางตกใจเสียแล้ว อย่างไรเสียในเมืองหลวงก็มีเรื่องเล่าลือ เสียงของเขาสามารถทำให้เด็กน้อยร้องไห้โยเยได้ครึ่งค่อนคืน “อย่ากลัวเลย อีกอย่างคำพูดเหล่านี้ข้าเคยพูดกับคนคนเดียวเท่านั้น ไม่เคยพูดกับคนอื่นใดมาก่อน” เป็นเจ้าคนเดียวตลอดมา แต่ว่าเจ้ากลับไม่รู้เลย
มู่หรงชูอวิ๋นพลันนึกขึ้นได้ว่าคำพูดเมื่อครู่ของเฟิงหลีเลี่ยคล้ายกับจะพูดกับนาง เช่นนั้นคนคนเดียวที่ได้ฟังก็คือนางนั่นเอง
“ข้าไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสา อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยากเลย”
เฟิงหลีเลี่ยเม้มริมฝีปากเป็นองศางดงาม “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่สาวน้อย” เจ้าไฉนจะยังเป็นสาวน้อย เจ้าเป็นภรรยาแต่งตามกฎหมายของเฟิงหลีเลี่ย เป็นมารดาของกุยอวิ๋น ไหนเลยจะยังเป็นสาวน้อยอะไรอีก ทว่าในใจของข้า เจ้ายังคงเป็นแม่สาวน้อยตลอดไป เป็นสาวน้อยของข้าเพียงคนเดียว ทว่าคำพูดจริงใจเหล่านี้ทำได้เพียงเก็บสั่งสมไว้ในใจของเขาก่อนเท่านั้น รอให้ถึงวันที่มู่หรงชูอวิ๋นกลับมาค่อยบอกสิ่งนี้กับนาง
มู่หรงชูอวิ๋นโกรธจนหน้าแดงกร่ำ เอ่ยออกไปด้วยความโมโห “เหตุใดเจ้าจึงเป็นคนเช่นนี้”
นางมั่นใจได้ว่าไม่เคยเห็นใครพูดไม่เป็นถึงเพียงนี้ แต่ละประโยคที่พูดออกมาทำให้นางจุกแทบตาย เมื่อก่อนนางยังรู้สึกว่าฉินเจาไม่รู้เรื่อง ใครจะคิดว่าเขาจะไม่รู้เรื่องมากเสียกว่า
มู่หรงชูอวิ๋นไม่คิดว่าคิดไปคิดมาตัวเองจะเผลอพูดความคิดในใจออกมา
เฟิงหลีเลี่ยมองจ้องดวงตาใสไร้ระลอกคลื่นของนาง เอ่ยเสียงจริงจัง “เขาเป็นเพียงคนโกหก”
มู่หรงชูอวิ๋นเห็นว่าเขาโกรธจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาไปมีความแค้นอันใดกับฉินเจา จึงรีบเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าชื่ออันใด? รู้จักกันมานานแล้วแต่ยังไม่รู้จักกันเลย” นางรู้ว่าตนเองไม่มีทางได้คำตอบแน่ สู้ใช้กลวิธีถามชื่อของเขาดีกว่า จากนั้นค่อยให้บิดาของนางไปตามหา
เฟิงหลีเลี่ยขยับมุมปากเล็กน้อย “พี่ชายใหญ่” เป็นพี่ชายใหญ่ของเจ้าคนเดียว พูดจบก็หายตัวไปในทันที มู่หรงชูอวิ๋นโกรธมากจนเอากำปั้นทุบผ้าห่ม นางต่างหากที่เป็นพี่สาวใหญ่ ช่างกวนโมโหเสียจริง นางคิดว่าจะมีแต่น้ำแข็งหิมะเสียอีกที่หนาและแข็ง ใครจะรู้ว่าหน้าของเขาหนายิ่งกว่ากำแพงเสียอีก
“เทพธิดา ท่านเป็นอะไรไหมเจ้าคะ?” สาวใช้ที่คอยดูแลมู่หรงชูอวิ๋นได้ยินเสียงจากด้านในห้อง จึงจุดตะเกียงพลางรีบร้อนเข้ามาอย่างงุนงง
มู่หรงชูอวิ๋นขยับปากจะพูด สุดท้ายก็โบกมือ “ไม่มีอันใด แค่ความฝันก็เท่านั้น เจ้าออกไปเถอะ” พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ นางช่วยอะไรตนไม่ได้หรอก ไม่แน่อาจเข้าใจผิดคิดว่าตนเล่นชู้ในห้องนอนเสียอีก
ตอนที่ 412 แท่นบูชา
เฟิงหลีเลี่ยดวงตาลึกล้ำจ้องมองห้องที่มีแสงเทียนสว่างรำไร นัยน์ตาฉายแววความรักใคร่ที่เมื่อครู่ไม่ทันได้แสดงออกมา ช่วงเวลานี้ เขาแอบเข้าห้องนอนของนางไปยามดึกทุกคืน ไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากนั่งมองนางอยู่เงียบๆ สัมผัสถึงไออุ่นจากมือของนาง ทำให้ตัวเองรู้ว่าทุกอย่างเป็นความจริง นางนั้นอยู่ข้างกายของตนจริงๆ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เมื่อคืนตอนที่มู่หรงชูอวิ๋นขมวดคิ้วย่น เขาพลันรู้สึกว่าไม่อยากกดจุดให้นางนอนหลับเหมือนคืนก่อนๆ อีกแล้ว จึงได้เฝ้าอยู่ข้างกายนาง รอกระทั่งนางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร เมื่อก่อนชอบจะทะนุถนอมนางเอาไว้ในอุ้งมือ แต่คืนนี้กลับกวนอารมณ์ให้นางโมโหจนแทบจะร้องไห้และนี่ก็เป็นครั้งแรกด้วย เขารู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษคล้ายกับเป็นครั้งแรกที่ได้แกล้งนาง ได้เห็นนางน้ำตาไหลพร่ามัว ไม่ยอมเอ่ยปลอบในทันทีแต่กลับกลั่นแกล้งนางต่อไปอีก
เงาร่างหนึ่งปรากฎขึ้นข้างหลังของเฟิงหลีเลี่ย “นายท่านขอรับ”
เฟิงหลีเลี่ยไม่ได้เก็บสายตากลับมา นัยน์ตายังคงมองอยู่ที่ห้องๆ นั้น ไม่คล้อยสายตาไปทางอื่นใด “เป็นอย่างไรบ้าง?” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยรังสีเย็นเยียบ
“ข้าน้อยพบตำหนักแห่งหนึ่งด้านหลังหุบเขา ที่นั่นมีการคุ้มกันแน่นหนา ข้าน้อยไม่สามารถเข้าไปได้ขอรับ” มู่เยี่ยนกล่าวรายงานอย่างรู้สึกผิด เขาคิดไม่ออกว่าข้างในมีอะไรกันแน่ มีการอารักษ์ขาแม้กระทั่งคนของตระกูลฉิน อย่างไรแล้วหากไม่ใช่เพราะมีแผนที่ของฉินอวิ๋นซิน พวกเขาคงไม่มีทางค้นพบหุบเขาเงียบสงบแห่งนั้นได้
เฟิงหลีเลี่ยไม่ได้พูดสิ่งใด มู่เยี่ยนอยู่ทางด้านหลังจึงไม่เห็นว่าเขามีสีหน้าเช่นไร
“แต่ว่าข้าน้อยเห็นว่าทุกสองสามวันจะมีการส่งของเล่นหลากชนิดและเสื้อผ้าเข้าไปข้างในขอรับ ฮูหยินมู่หรงบอกว่าที่นั่นคือแท่นบูชาของพวกเขา หรูเสวี่ยได้แอบเข้าไปที่นั่นแล้วขอรับ”
ช่วงเวลาที่เฟิงหลีเลี่ยอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เอ่ยยอมรับว่าฉินอวิ๋นซินคือแม่ยายของตนเอง แต่ว่านางเป็นหัวใจของมู่หรงไป๋ เขาจึงทำได้เพียงเรียกนางว่าฮูหยินมู่หรง เขารู้ว่าเฟิงหลีเลี่ยเก็บสิทธิในการตัดสินใจไว้ให้มู่หรงชูอวิ๋น หากมู่หรงชูอวิ๋นไม่ยอมรับนาง เฟิงหลีเลี่ยก็จะไม่เหลือบมองแม้สักตาเดียว เขารู้สึกว่าฉินอวิ๋นซินช่างน่าสงสารเหลือเกิน หลายวันที่ผ่านมานี้เขาได้เห็นชัดแล้วว่าคนตระกูลฉินมีท่าทีกับนางอย่างไร ทำราวกับจะมีหรือไม่มีนางก็ได้ แม้แต่คู่หมั้นเพียงในนามของมู่หรงชูอวิ๋นก็ยังไม่เห็นจะแสดงความเคารพต่อนาง ในฐานะที่มู่หรงชูอวิ๋นเป็นบุตรสาวของนางเลยแม้แต่น้อย ไหนเลยจะเหมือนกับนายท่านของเขา ยังไม่ทันได้แต่งกลับจวน ก็ทำให้ทุกคนต่างยอมรับเสียหมดแล้ว ขนาดคนที่รับมือยากที่สุดในตระกูลมู่หรงอย่างฮูหยินผู้เฒ่า ก็ยังให้ความรักและความเมตตาต่อเฟิงหลีเลี่ยอย่างมาก ในตอนที่อยู่เมืองหลวง เขาเห็นชัดเจนว่าในแววตาของมู่หรงมู่มีความรู้สึกอิจฉามากขนาดไหน
เยียนหรูเสวี่ยมีวิชาแปลงกายไร้ที่ติ ทักษะยอดเยี่ยมเหนือมนุษย์ธรรมดา ต่อให้พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมาอยู่ตรงหน้าก็ยังจำนางไม่ได้
บางครั้งแม้แต่พวกเขาที่รู้จักกันมานานก็ยังถูกหลอกได้ ความโชคดีอย่างเดียวของเขาก็คือนิสัยของเยียนหรูเสวี่ยเย็นชามาก ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงต้องแย่เป็นแน่
ตอนนี้ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร คงทำได้เพียงหวังพึ่งเยียนหรูเสวีย ภาวนาให้นางหาที่ซ่อนตัวกุยอวิ๋นให้ได้โดยเร็ว เขาจะได้กลับไปเจอหน้า ‘ลูกชายที่รัก’ ของเขา ลูกชายที่รักคนนี้เขาหน้าด้านใช้กลวิธีเกลี้ยกล่อมมู่เหยียนอยู่นานกว่าจะได้มา
“ให้มู่เหยียนคอยช่วยนางอยู่ด้านนอก หากมีอะไรผิดปกติให้รีบถอยออกมา”
แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นเพียงที่พักอาศัยของคนตระกูลฉิน ทว่ามีค่ายกลวางอยู่ทั่วทั้งหุบเขา แม้แต่เปลือกต้นไม้ก็ยังมีอยู่ไม่น้อย ผู้มีความสามารถมีมากมาย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนพวกนั้นเจอตัว พวกเขาจึงนำคนแอบเข้ามาเพียงน้อยนิด เนื่องจากการเคลื่อนย้ายไม่สะดวก จึงรั้งทัพไว้เพื่อรอจังหวะบุก แม้ว่าเยียนหรูเสวี่ยจะมีวิชาแปลงกายขั้นสูงแต่วรยุทธ์ไม่ค่อยดีเท่าไร ดังนั้นทุกครั้งที่นางต้องออกไปทำภารกิจ จำเป็นต้องมีคนคอยช่วยรับมือเสมอ
“ขอรับ” พูดจบก็ถอยออกไปทันที
เฟิงหลีเลี่ยทอดมองสุดสายตาอีกครั้ง กระทั่งไม่รู้ว่าห้องนั้นดับไฟไปตั้งแต่เมื่อใดแล้ว
กระโดดเหาะเหินไปตามสายลม ครั้นที่จากไปทิ้งไว้เพียงใบไม้ใบเดียวที่ร่วงหล่นอย่างโดดเดี่ยวลงสู่พื้นดิน
ตอนที่ 413 ฉินอวิ๋นลั่ว
ฉินสุยเคราขาวทั่วทั้งใบหน้า ทว่าเอ่ยถามกับหมอกู่ผู้พิถีพิถัน “เป็นอย่างไรบ้าง?” หน้าผากมีเหงื่อผุดขึ้นเป็นสาย
หมอกู่ลูบหนวดยาวพลางส่ายหน้า “ไม่อาจหาสาเหตุได้”
ฉินสุยร้อนใจแทบอยากจะตวาดด่ากราด ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไม่รู้ว่ากุยอวิ๋นเป็นอะไร ได้แต่ร้องไห้เป็นทุกข์ทรมาน กระทั่งถึงตอนเช้าก็มีอาการบวมแดงทั้งตัว จนแยกโฉมหน้าของเขาแทบไม่ออก
ฮูหยินฉินได้มาเห็น น้ำตารั่งรินเป็นสายไม่หยุด นางเลี้ยงดูกุยอวิ๋นมาช่วงเวลาหนึ่ง แน่นอนว่าต้องมีความรักความผูกพัน บัดนี้ได้มาเห็นเขามีสภาพเป็นเช่นนี้ แทบอยากจะนำตัวคนดูแลที่ละเลยหน้าที่มาลงโทษเสียให้หลาบจำ
“ยังมีหนทางใดบ้าง?” หมอกู่เป็นหมอที่เก่งกาจที่สุดในหุบเขา หากเขาหมดหนทางรักษา ฉินสุยก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรแล้ว นั่นเป็นความหวังเดียวของเขา เขาไม่อยากสูญเสียกุยอวิ๋นไป เพราะกุยอวิ๋นคือความหวังที่บรรพบุรุษประทานให้กับเขา เพื่อให้เขาได้ฟื้นฟูตระกูลฉินขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หลายปีมานี้ชาวตระกูลฉินอาศัยอยู่ในหุบเขาตลอดทั้งปี จึงค่อยๆ คุ้นชินกับวันเวลาที่สงบสุขเช่นนี้ เขาเคยเกริ่นว่าจะทำให้ตระกูลฉินกลับมาผงาดความยิ่งใหญ่ในยุทธจักรอีกครั้ง แต่พวกเขาไม่มีแรงผลักดันเหล่านั้นแล้ว ไม่มีแรงกระตุ้นอีกแล้ว กระทั่งมีหลายคนที่ละทิ้งสิ่งที่บรรพบุรุษเหลือไว้ให้ แต่ละวันจะใช้ชีิวิตเป็นหนุ่มทำนาสาวทอผ้า การมาเยือนของกุยอวิ๋นทำให้พวกเขารู้ว่าพวกเขายังมีความหวัง หากว่ากุยอวิ๋นจากไป เขาไม่กล้าคิดเลยว่าจะสถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร
หนวดเคราขาวบนใบหน้าทำให้หมอกู่มีรูปลักษณ์ที่น่าเคารพยิ่งขึ้น เขาลูบหนวดขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน “มี”
ฉินสุยคล้ายกับมีความหวังขึ้นมา
“แต่ได้ตกหน้าผาไปพร้อมกับอวิ๋นลั่วสมัยนั้นไปเสียแล้ว”
เมื่อครู่ฉินสุยมีความปรีดามากเพียงไร ตอนนี้ก็สิ้นหวังมากเท่านั้น โซเซถอยหลังไปหลายก้าว “คำสาปของนางศักดิ์สิทธิ์จริงแท้”
หมอกู่ไม่ได้พูดอะไร ฉินอวิ๋นลั่วคือน้องสาวของเขา และเป็นน้องคนเดียวที่เขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับฉินอวิ๋นลั่วมากเสียกว่าพ่อแม่ของเขาอีก ดังนั้นเขาจึงเกลียดชังฝังใจต่อการตายของฉินอวิ๋นลั่ว เก็บซ่อนตัวอยู่ในป่ามาโดยตลอด ไม่ยอมออกมาให้ผู้คนได้พบหน้าโดยง่าย หากไม่ใช่เพราะได้ยินเรื่องของกุยอวิ๋นลูกชายของลูกสาวฉินอวิ๋นซิน เขาไม่มีทางยอมออกจากป่ามาแน่นอน เขารู้ว่าฉินอวิ๋นลั่วรักและเอ็นดูฉินอวิ๋นซินผู้เป็นน้องสาวคนนี้มากเพียงใด ตอนนั้นที่ฉินอวิ๋นลั่วถูกลงโทษ เขาก็เป็นคนที่ส่งข่าวให้ฉินอวิ๋นซินทราบ
สมัยนั้นฉินอวิ๋นซินเกิดมาไม่ได้เป็นธิดาเทพ กระทั่งธิดาเทพคนก่อนหนีไปแล้ว นางจึงถูกบังคับให้ดำรงตำแหน่งธิดาเทพอย่างไร้ทางเลือก เพื่อให้นางได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขอีกสักสองสามปี จึงใช้ฐานะของหมอกู่ประจำหุบเขามาปรามเหล่าผู้อาวุโสไว้ แต่ใครจะรู้ว่าการทำเช่นนี้เป็นการทำร้ายนาง มีอยู่วันหนึ่งระหว่างทางที่ฉินอวิ๋นลั่วไปเก็บสมุนไพรกลับมา ได้ช่วยชีวิตชายหนุ่มที่บาดเจ็บสาหัสคนหนึ่งไว้ เพราะรู้กฎของหุบเขาดีว่าไม่อาจพาคนนอกเข้ามาในหุบเขาได้ และมีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่จะออกไปจากหุบเขาได้
ฉินอวิ๋นลั่วผู้ที่จิตใจดีมีเมตตาทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยให้เขาลาจากโลกไปเสียตั้งแต่วัยหนุ่มเช่นนี้ จึงได้พาเขาไปซ่อนตัวไว้ที่ถ้ำแห่งหนึ่งของหน้าผา และจะไปช่วยรักษาบาดแผลให้เขาทุกวัน วันเวลาผ่านไปคนทั้งสองก็เกิดความรักซึ่งกันและกันอย่างไม่มีใครรู้
เพื่อต้องการได้ใช้ชีวิตอยู่กับชายคนนั้น คนทั้งสองจึงคิดจะหนีตามกันไป สุดท้ายยังไม่ทันได้ออกจากหุบเขาก็ถูกจับได้เสียก่อน และเพื่อปกป้องชายคนนั้น ฉินอวิ๋นลั่วจึงยอมกลับมาที่เผ่า หลังจากชายคนนั้นหนีออกไปได้แล้ว ก็ยังไม่ยอมจำนน ลอบกลับเข้ามาในหุบเขาวันถัดมา โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันคือกับดัก ที่วางเอาไว้ให้เขามาติดกับดักเอง สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ตายด้วยบุปผาหงส์ไฟ ถูกบุปผาหงส์ไฟเบ่งบานสีแดงจัดจ้านขึ้นบนกายอย่างเปล่งปลั่งสดใส ฉินอวิ๋นซินทั้งโกรธและเสียใจที่คนรักต้องมาลาจากไป จึงตัดสินใจกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ก่อนตายนางได้สาปแช่งตระกูลฉิน ขออย่าได้มีเด็กสาวที่เกิดมาพร้อมปานบุปผาหงส์ไฟอีกเลย
ชาวบ้านตระกูลฉินที่อยู่อย่างสุขสงบมาแสนนานต่างหวาดกลัวว่าคำสาปนั้นจะเป็นจริง เพราะคำสาปของธิดาเทพนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าฟ้าร้องฟ้าผ่าเสียอีก จึงได้ออกตามหาเด็กสาวที่มีปานบุปผาหงส์ไฟบนกายไปทั่วสารทิศ
ตอนที่ 414 ถูกวางยา
หมอกู่รู้สึกผิดอยู่ในใจมาโดยตลอด หากตนไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉินอวิ๋นลั่วคงไม่ได้พบกับผู้ชายคนนั้น และคงไม่ต้องมาด่วนจากไปทั้งที่ยังอายุน้อยเช่นนั้น เพียงครู่เดียวก็เป็นการทำลายชีวิตคนทั้งสองไปเสียแล้ว เรื่องนี้ทำให้หมอกู่ผู้ที่ช่วยชีวิตคนมาทั้งชีวิตยากจะยอมรับได้ เงาร่างการจากไปของนางยังติดตรึงอยู่ในใจของหมอกู่ เมื่อใดที่ไม่ได้นึกถึงลูบคลำที่หัวใจจะรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม เมื่อใดที่นึกถึงจะรู้สึกเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ เขาเป็นหมอผู้มีความรู้ทางวิชาแพทย์ขั้นสูง แต่ไม่อาจช่วยหายารักษาได้
บริเวณสถานที่ที่ฉินอวิ๋นซินเสียชีวิต กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของตระกูลฉิน ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกายเข้าไป เพราะกลัวจะไปรับสิ่งไม่ดีเข้าตัว บัดนี้สถานที่แห่งนั้นได้กลายเป็นที่พักของเฟิงหลีเลี่ยและพรรคพวก หมอกู่รู้ดีว่าคนพวกนั้นเพียงแต่เป็นพวกวัวสันหลังหวะ หลังจากฉินอวิ๋นลั่วจากไปเขาได้ไปดูมาแล้ว พบว่าบุปผาหงส์ไฟที่บริเวณนั้นสีสันเด่นชัดราวกับสีโลหิตยิ่งขึ้นอีก อย่างไรแล้วก็ได้โลหิตคนมาเป็นปุ๋ย เขาได้สร้างสุสานฝังหมวกและเสื้อผ้าในบริเวณระหว่างกลางที่สุดสำหรับพวกเขาสองคน หวังให้ชาติหน้าพวกเขาทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน อย่าได้เจออุปสรรคเช่นนี้อีกเลย
มารดาของฉินอวิ๋นลั่วรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ล้มป่วยรักษาไม่หาย ก่อนตายไม่ยอมให้สามีได้มาพบหน้าเป็นครั้งสุดท้าย อีกทั้งสั่งเสียไว้ไม่ให้ฝังศพร่วมกับเขา ทว่าสุดท้ายฉินสุยก็ได้ฝ่าฝืนความปรารถนาสุดท้ายของนาง เพราะหัวหน้าเผ่าคนก่อนได้ใช้ชีวิตแลกชีวิตเพื่อช่วยฉินอวิ๋นซิน สาเหตุมาจากนางยังไม่อยากตาย เขาผู้แบกรับสองชีิวิตของลูกสาวตัวเองไว้ และด้วยเหตุนี้คนตระกูลฉินจึงไม่ค่อยชอบฉินอวิ๋นซิน ปฏิบัติต่อนางอย่างไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไรด้วย
ใบหน้าของฉินสุยเปี่ยมไปด้วยความสำนึกผิด อย่างไรแล้วหลังจากฉินอวิ๋นลั่วตายจากไปอยู่หลายปี ก็ยังไม่มีผู้ใดไปเก็บศพของนางที่กระโดดหน้าผาไปในปีนั้น ไหนเลยที่จะหายาถอนพิษได้ หากว่าตอนนั้นพวกเขาได้ช่วยเก็บศพให้นาง ไม่แน่ว่าคงไม่ต้องพบเจอกับสถานการณ์ในตอนนี้
“ท่านปรุงขึ้นเองได้หรือไม่”
หมอกู่ส่ายหน้า “นี่คือพิษตลับแรกที่อวิ๋นลั่วปรุงขึ้นมาได้สำเร็จ ฤทธิ์ของพิษมีละเอียดอ่อน ข้าเองก็ไม่เคยถามนาง”
ฉินสุยโมโหกวาดข้าวของตรงหน้าตกพื้นกระจัดกระจาย หมอกู่กวาดตามองแล้วหันกายเดินออกไป
เดินออกมาจากปากถ้ำแล้วได้เห็นแสงอาทิตย์อบอุ่นดั่งวันก่อนๆ หมอกู่พลันยกมือขึ้นมาบังแดด
อวิ๋นลั่วเรื่องทั้งหมดใกล้จะจบสิ้นแล้ว ความปรารถนาใกล้จะเป็นจริงแล้ว จากนั้นหันกายกลับเข้าป่าของตนเอง
ภาพตรงหน้าปรากฎเรือนไม้ไผ่สองสามหลัง หน้าประตูมีสมุนไพรตากอยู่หลากหลายชนิด เขากวาดตามองโดยรอบ แล้วสาวเท้าเข้าไปยังเรือนหลังหนึ่ง
เห็นชายผู้หนึ่งในมือถือถ้วยไม้กำลังลิ้มรสน้ำชาอยู่ ถ้วยไม้อันแสนธรรมดา แต่เมื่อไปอยู่ในมือของเขาแล้วกลับดูมีรสชาติที่พิเศษ ดวงตาคู่นั้นที่รวบรวมจิตวิญญาณและความงดงามของโลก ไร้ซึ่งสิ่งแปลกปลอมใดๆ ทั้งกระจ่างชัดและลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ผิวพรรณเปล่งปลั่งดั่งหยกงาม
“เสร็จภารกิจแล้ว ท่านไม่สงสารหรือ?” ตนได้เห็นหน้าของเด็กคนนั้นยังรู้สึกสงสารจับใจ ไม่รู้ว่าผู้เป็นบิดาอย่างเขาทำใจลงมือได้อย่างไร นั่นคือลูกในไส้ของเขาเลย
เฟิงหลีเลี่ยได้ทราบจากปากของฉินอวิ๋นซินว่าหมอกู่รู้สึกตำหนิตระกูลฉินอยู่ในใจ ตนจึงยอมร่วมมือกับเขา
หมอกู่หลายปีมานี้ได้เห็นชนเผ่าค่อยๆ สูญเสียความเป็นชนเผ่าดั่งเดิม ในใจเจ็บปวดอย่างมาก วันนี้มีโอกาสได้แก้แค้นแทนฉินอวิ๋นลั่ว ทั้งยังทำให้ทุกอย่างจบลงได้อีกครั้ง
หมอกู่ดึงหนวดของตนเอง เขารู้ว่าสิ่งที่เฟิงหลีเลี่ยพูดนั้นไม่จริง ตนยังจำได้ว่าวันนั้นที่ลงมือวางยาพิษ เขาพูดว่าไม่เป็นกังวล แต่กลับไปยืนอยู่ในสวนไผ่ด้านนอกตลอดทั้งคืน ทว่าต้องบอกว่าเขา “ใจแข็งจริงๆ” ในทางกลับกันตนนั้นไม่อาจทำได้เช่นนี้แน่
ตอนที่ 415 งานแต่ง1
“ช่วงนี้เจ้ายุ่งกับเรื่องใดอยู่หรือ? ข้าไม่พบหน้าเจ้านานแล้ว” มู่หรงชูอวิ๋นเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยชอบใจ
ตอนแรกที่นางไม่ได้พบหน้าฉินเจานั้น นึกว่าฉินเจาโกรธเพราะทราบเรื่องที่เฟิงหลีเลี่ยบุกเขาห้องนอนของนางยามวิกาล ผ่านไปหลายวันไม่เห็นเขาจะแบไพ่ที่อยู่ในมือ จึงได้รู้ว่าเป็นเพราะตนคิดมาไปเอง ทว่าก็ยังอยากรู้ว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่
ข้างในหุบเขาในช่วงเวลานี้ทุกคนต่างมีจิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่าย สีหน้าซีดเซียว แม้แต่แม่เฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องในตำนานคนนั้นก็ยังปิดปากสนิท ทุกวันจะพนมสองมือภาวนาขอพรจากพระเจ้าไม่หยุด นางรู้สึกว่ามีนางคนเดียวที่เป็นคนนอก
ฉินเจาพยามฉีกยิ้มที่ดูแย่เสียกว่าร้องไห้ให้กับนาง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย “ไม่มีอันใด อย่าได้กังวลไปเลย”
มู่หรงชูอวิ๋นทำปากบึ้ง สู้ไม่ต้องยิ้มเสียดีกว่า นางถามฉินสุยก็ได้คำตอบเช่นเดียวกันนี้ เหมือนว่าทุกคนต่างรู้เรื่องกันหมดแล้ว แต่ไม่อยากให้นางรู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรกันแน่
จุดยุทธศาสตร์ที่พวกเขาวางไว้ถูกทำลายเกือบทุกจุดแล้ว เรียกว่าขุดรากถอนโคลนเลยก็ว่าได้ และพวกเขาก็เพิ่งจะทราบเรื่องนี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง บวกกับเรื่องการขึ้นลงหน้าผาเพื่อไปตามหายาถอนพิษแล้ว ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาเวลาว่างมาเจอหน้ามู่หรงชูอวิ๋นได้ หลังจากได้พบหน้านาง ความกลัดกลุ้มเป็นกังวลได้คลายลงไปไม่น้อย มีเพียงอยู่ต่อหน้าของนางเขาถึงผ่อนคลายตัวเองลงได้บ้าง ได้พูดคุยบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
ฮูหยินฉินคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าฉินสุย “ให้ลูกได้มาพบหน้ากุยอวิ๋นสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ” ฮูหยินฉินเห็นกุยอวิ๋นนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง ลมหายใจพร้อมจะขาดสะบั้นไปได้ทุกเมื่อ จึงเอ่ยขอร้องอย่างทุกข์ใจ นางทนไม่ได้ที่จะเห็นกุยอวิ๋นจากไป โดยไม่รู้เลยว่ามารดาของตนเองเป็นใคร เด็กคนนี้น่าสงสารเกินพอแล้ว ทุกครั้งที่นางได้เห็นแววตาไร้เดียงสาของเขา ก็อยากจะพามู่หรงชูอวิ๋นมาบอกให้นางรับรู้ว่ากุยอวิ๋นคือลูกของนาง เป็นลูกน้อยที่นางอุ้มท้องนานสิบเดือนกว่าจะร้องไห้ออกมาลืมตาดูโลกได้
“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด” ไม่มีกุยอวิ๋นแล้ว แต่ในเมื่อมู่หรงชูอวิ๋นให้กำเนิดกุยอวิ๋นคนแรกได้ ย่อมต้องให้กำเนิดคนที่สองได้เช่นกัน หากให้นางทราบความจริง ไม่เท่ากับเรื่องทั้งหมดต้องเสียแรงเปล่าหรือ อีกอย่างหากให้นางทราบความจริง ก็เหมือนน้ำผึ้งหยดเดียว เขาไม่กล้ามั่นใจด้วยว่าหนอนกู่คะนึงหาจะยังใช้ได้ผลต่อไป
ฮูหยินฉินลุกขึ้นยืนโคลงเคลงโดยมีสาวใช้คอยช่วยประคอง ชี้นิ้วใส่ฉินสุย “ในชีวิตนี้ท่านมีเพียงความคิดทะเยอทะยาน ที่บอกจะฟื้นฟูตระกูลฉินอะไรนั้นเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง เป็นเพียงข้ออ้างของท่านก็เท่านั้น ตอนนั้นที่ลูกสาวข้าตาย ท่านก็เย็นชาไร้หัวใจเช่นนี้ ลบปานบนกายของนางอย่างปราศจากความห่วงกังวล แม้จะเห็นนางนอนหายใจแขม่วอยู่บนเตียงแล้ว หนังตาสามารถคล้อยหลับไปได้ทุกเมื่อ ก็ไม่ยอมให้นางกินยา บัดนี้ก็มาทำเช่นเดียวกันกับเด็กน้อยที่ยังไม่ถึงขวบด้วยซ้ำ อนาคตต่อให้ท่านได้ครอบครองทั่วทั้งใต้หล้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ไม่มีใครจะติดตามท่าน มีแต่จะ…”
“เพียะ!”
ฉินสุยตบหน้าฮูหยินฉินไปด้วยความเดือดดาล มองมือสั่นเทาของตนเองอย่างชะงักอึ้ง พลันเอามือไขว้หลังก่อนจะสั่งการสาวใช้ “พาฮูหยินออกไป” เขาไม่กล้าสบตาฮูหยินฉิน หลังจากที่ลูกของพวกเขาตายไป เขาก็ไม่กล้าพูดจารุนแรงกับฮูหยินฉินแม้สักประโยค เพราะเขารู้ตัวดีว่าตนเองเป็นต้นเองทำให้ลูกสาวคนเดียวของพวกเขาต้องมาด่วนจากไป รู้สึกผิดกับนางมาโดยตลอด ทว่าวันนี้เขากลับตบหน้านาง พวกเขาแต่งงานอยู่กินกันมาหลายปีขนาดนั้น ยังไม่เคยทะเลาะกันเลยแม้สักครั้ง แม้แต่เรื่องที่ลูกสาวตายจากไปก็นึกตำหนิเพียงในใจเท่านั้น
ฮูหยินฉินรู้สึกหดหู่อย่างที่สุด คิดเสมอมาว่าตราบใดที่นางใช้ความจริงใจเข้าแลกจะได้รับสิ่งที่แตกต่าง ใครจะรู้ว่าความจริงใจแลกมากับความเสแสร้ง ภาพลวงตา ความสุขที่ว่างเปล่า ได้มาซึ่งความรักที่ไม่มีจุดจบ ครั้งนี้นางผิดหวังจริงๆ จะไม่เฝ้ารออีกต่อไปแล้ว
ตอนที่ 416 งานแต่ง2
“ฮือฮือ…”
ฉินเจามองดูกุยอวิ๋นในอ้อมอกของฉินสุยที่ร้องไห้จนร้องไม่ออกแล้ว ได้แต่ฮือฮือ ดวงตาคล้ายกับมู่หรงชูอวิ๋นราวกับแกะ นัยน์ตาของเขาพลันฉายแววความสงสาร
เขารู้ว่ากุยอวิ๋นหน้าตาค่อนข้างละม้ายบิดาของเขา หากกุยอวิ๋นคล้ายมู่หรงชูอวิ๋นราวกับแกะสลักออกมา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทุ่มเทให้เขามากกว่าเดิม ทว่าน่าเสียดายที่ไม่เหมือน
“ท่านอาจารย์ ข้าค้นทั่วใต้หน้าผาแล้วแต่ก็หาไม่เจอ”
ฉินสุยทอดถอนใจ “คำสาปของนางเป็นจริงแล้ว” ฉินสุยพูดด้วยอาการชะงักอึ้ง วัยหนุ่มเขาอาจทำเป็นไม่สนใจอะไรได้ แต่ว่าบัดนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงไปเสี่ยงอะไรอีกแล้ว เนื่องจากเขาเป็นชาย ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนกับพี่สาวและน้องสาว วันๆ ต้องแบกรับภารกิจทำอย่างไรจึงจะทำให้ชนเผ่าเจริญรุ่งเรืองย่ิงๆ ขึ้นไปได้ ทำให้เวลาใครเอ่ยถึงตระกูลฉินจะต้องทั้งเกรงกลัวทั้งชื่นชม และแม้ว่าจะได้เห็นกับตาว่าฉินอวิ๋นลั่วในวัยที่กำลังเบ่งบานสดใส ยอมทิ้งชนเผ่ากระโดดไปหาชายหนุ่มซึ่งเป็นคนนอก ในใจรู้สึกเพียงกล่าวโทษ ในใจตำหนิว่านางทิ้งความเจริญของครอบครัว แม้แต่น้องสาวที่คอยวิ่งตามหลังเขาร้องเรียกเขาว่าพี่ชายอย่างระมัดระวัง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่นางไม่ชอบเรียกเขาอีกต่อไปแล้ว ทุกครั้งจะเห็นนางทำตัวเว้นระยะกับเขา เพียงแค่ตนยกมือขึ้นนางก็หวาดกลัวเสียแล้ว ทว่าเขาไม่เคยรู้สึกเสียใจ ขอเพียงทำสำเร็จ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ไม่เคยรู้สึกเสียดาย
“เจาเอ๋อร์ เจ้ากับหุ้ยซินรีบจัดงานแต่งให้เรียบร้อย” เท่านี้คำสาปก็จะถูกล้างได้แล้ว เยียนหรูเสวี่ยที่ถือถ้วยยาอยู่ด้านข้างพลันชะงักอึ้ง ทว่ารีบเปลี่ยนสีหน้ากลับมาโดยเร็ว แล้วน้อมรับกุยอวิ๋นมาจากมือของฉินสุย พาตัวไปปลอบประโลมทางด้านข้าง บริเวณจุดอับที่ไม่มีใครมองเห็นนางก็ได้ขมวดคิ้วย่นอย่างเป็นกังวล
ฉินเจางุนงงอยู่ชั่วขณะ “ท่านอาจารย์หากนางรู้เรื่องจะเกลียดข้าหรือไม่” เขายอมให้มู่หรงชูอวิ๋นค่อยๆ เปิดใจให้กับเขา ไม่ได้อยากจะรีบเร่ง
“ไม่มีใครพูด นางไม่มีทางรู้ได้” เขาก็ไม่อยากให้นางรู้
ฉินเจาพยายามดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็เงียบไป พี่รองประโยคนั้นคล้ายกับเข็มเล่มหนึ่งที่ทิ่มแทงในใจของเขาอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้มู่หรงชูอวิ๋นยังเชื่อใจเขา หากวันหนึ่งมู่หรงชูอวิ๋นเกิดสงสัยขึ้นมา หรือจำเรื่องราวในอดีตขึ้นมาได้ เช่นนั้นเขาคงเสี่ยงอะไรไม่ได้แล้ว อย่างไรแล้วเขาเคยได้ยินเรื่องของชายคนนั้นว่าเก่งยอดเยี่ยมเพียงใดมาบ้าง ทั้งฐานะและความสามารถเรียกว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่น่านับถือ ตั้งแต่กุยอวิ๋นไม่ได้แหกปากร้องไห้งอแง ก็ดูออกได้ไม่ยากว่ารูปลักษณ์ของเขาก็ไม่เลวเลย ทว่าเขาก็ยังไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะมีความเป็นไปได้ อย่างไรแล้วเขาก็ได้พลาดโอกาสครั้งแรกไปแล้ว
“เช่นนี้เจ้าก็กลับไปเตรียมตัวเถิด อีกครึ่งเดือนจะมีงานมงคล ถึงเวลานั้นก็รีบมีทายาทโดยเร็ว ถือว่าสร้างความสุขแทนเด็กคนนี้”
เมื่อก่อนเขาดูถูกกลวิธีพื้นบ้านเหล่านี้ ทว่าตอนนี้มีความหวังนิดหน่อยเขาก็อยากจะลองทำดู
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
มู่หรงชูอวิ๋นอ้าปากค้าง ตกตะลึงจ้องมองฉินเจาอย่างไม่กล้าเชื่อสิ่งที่หูตัวเองได้ยิน
“หุ้นซิน เจ้าไม่อยากแต่งหรือ?” ฉินเจามองมู่หรงชูอวิ๋นด้วยแววตาเสียใจ ความเศร้ากัดกร่อนใบหน้าหล่อเหลา
มู่หรงชูอวิ๋นโบกมือปฏิเสธ “ไม่ใช่ เพียงแค่รู้สึกว่ากระทันหันไปหน่อย อย่างไรแล้วข้าเพิ่งฟื้นขึ้นมาได้เพียงไม่นาน ในหัวก็ยังว่างเปล่าไม่มีความทรงจำใด” มู่หรงชูอวิ๋นนั่งลงบนม้านั่งหินด้านข้าง ทีแรกนางยังคิดว่าฉินเจามีเรื่องอันใดถึงได้มีท่าทางรีบร้อนมาหานาง ที่ไหนได้ก็เรื่องงานแต่งนี่เอง ไม่ใช่ว่านางไม่อยากแต่ง เพียงแต่รู้สึกแปลกๆ ทุกคนต่างพูดว่าเมื่อก่อนนางรักฉินเจามาก ทว่าทำไมนางกลับนึกความรู้สึกนั้นไม่ออกเลย อีกทั้งคนที่ปรากฎในความฝันของนางช่วงนี้ก็ไม่ใช่เขา พลันรู้สึกว่าตนเอาเปรียบเขาอยู่ เขาดีกับตนถึงเพียงนั้น แต่ตนกลับคิดถึงอีกคน โยนคำสาบานว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อกันตราบเท่าที่ขุนเขาและทะเลยังคงอยู่ทิ้งไว้ข้างหลัง
“ไม่เป็นไร ข้าจำได้ก็พอแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยมารำลึกความหลังไปด้วยกัน”
มู่หรงชูอวิ๋นเห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังของเขาคล้ายกับเด็กน้อยร้องขอขนมหวาน จึงใจอ่อนพยักหน้าตกลง แต่เมื่อพยักหน้าไปแล้วหัวใจของนางกลับรู้สึกเศร้าใจเป็นที่สุด
ฉินเจากอดมู่หรงชูอวิ๋นด้วยความดีใจ ไม่ทันได้เห็นสีหน้าเศร้าใจเมื่อครู่ที่ฉายขึ้นมาบนใบหน้าของนาง “หุ้ยซิน ข้าดีใจเหลือเกิน” ไม่เคยดีใจเหมือนวินาทีนี้มาก่อน เขาสาบานว่าต่อไปจะต้องชดเชยให้นางเป็นเท่าตัว
ตอนที่ 417 งานแต่ง3
“นายท่าน พวกเรา?” มู่เยี่ยนมองคนทั้งสองยืนกอดกันเกลียวดูสนิทสนมเป็นพิเศษ ลูบหน้าผากพลันเอ่ยถามเสียงแผ่ว
ดวงตาลึกล้ำของเฟิงหลีเลี่ยประทับภาพตรงหน้าไว้ในหัว แล้วสะบัดชายเสื้อจากไป
มู่เยี่ยนรีบตามไป นึกสงสารเจ้านายของตนเองจับใจ กว่าจะหาเวลาแอบมาพบภรรยาของตัวเองได้ไม่ง่ายเลย แต่ต้องมาเห็นภาพบาดตาเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ไม่ชอบใจทั้งนั้น ไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นชายโฉดหญิงชั่วก็นับว่าไม่เลวแล้ว ยังไม่ยอมเลิกกอดกันอีก เขาทำได้เพียงแอบภาวนาแทนมู่หรงชูอวิ๋น หวังให้หลังจากนางกลับมาแล้วยังคงจดจำช่วงเวลานี้ได้
“ท่านอ๋องต้องการให้ขัดขวางพวกเขาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หญิงที่ดีไม่แต่งงานกับสองชาย หากปล่อยไว้เช่นนี้พระชายาจะต้องแต่งงานกับชายอื่นต่อหน้าท่านอ๋องของพวกเขา
เฟิงหลีเลี่ยโบกมือปรามไว้ “ยังไม่ใช่เวลา” ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะรีบร้อนจัดงานถึงเพียงนี้ ดูท่าคงจะร้อนใจเพราะพวกตนเป็นแน่ บัดนี้ตนยังวางแผนได้ไม่สมบูรณ์ จึงทำได้เพียงรออย่างใจเย็นไปก่อน
ในคืนนั้นมู่หรงชูอวิ๋นสะลึมสะลือ ลืมตาอันใสชัดมองไปยังเงาร่างเรียวยาวที่อยู่บนพื้น เขามาจริงๆ ด้วย
เดิมทีนางอยากจะแกล้งหลับต่อไป ทว่าได้ยินเสียงเย็นชาไร้อุณหภูมิใดๆ ของเขากระซิบข้างใบหู “เจ้าจะแต่งกับเขาจริงหรือ?” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาราบเรียบ อีกทั้งสายตาเยียบเย็นดุจดั่งน้ำค้างแข็งทำให้รู้สึกหนาวสั้นหาความอบอุ่นใดไม่ได้เลย
ทีแรกมู่หรงชูอวิ๋นโกรธเขา จึงพูดออกไปโดยไม่คิด “ถูกต้อง ต้องส่งเทียบเชิญให้เจ้าด้วยหรือไม่ แต่ว่าในหุบเขานี้ไม่ต้อนรับคนนอกเข้ามา”
ตั้งแต่คืนนั้นมานางก็เฝ้ารอการมาของเขาอยู่ตลอด ถึงวันนี้ก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วเขายังไม่มา มีอยู่คืนหนึ่งนางรู้สึกไม่ค่อยสบาย กลางคืนนอนไม่ค่อยหลับ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเหมือนมีอะไรหนักๆ อยู่ที่หน้าท้อง เมื่อหยิบขึ้นมาดูจึงเห็นถุงน้ำร้อนที่เติมน้ำไว้เต็ม นางรู้ว่าเป็นฝีมือของเขา แต่ก็ยังไม่เข้าใจเขารู้ได้อย่างไรว่าเมื่อเป็นวันนั้นของเดือนนางจะรู้สึกไม่สบายตัว แม้แต่มารดาของนางเองยังไม่ทราบเรื่องนี้เลย
นั่นคือความหนาวเหน็บที่โจมตีคนได้สุดๆ ลำแสงเย็นที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากของนาง เป็นดั่งบุปผาน้ำแข็งที่ร่วงลงมาจากหน้าผาทั้งหนาวเหน็บและแหลมคม แม้เขาจะรู้ว่านางนั้นจำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาคือพี่ชายใหญ่ของนาง ถึงได้ยอมแต่งงานกับคนอื่นเช่นนี้ ทว่าเขาไม่ยอมยังคงเสี่ยงเข้ามาหานางกลางดึก เพื่อฟังว่าคำตอบของนางคืออะไร หากคำตอบของนางคือไม่ใช่ เขาจะพานางหนีออกไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทว่าเมื่อได้ฟังคำตอบแล้วนั้นเขาพลันอดผิดหวังไม่ได้
ดวงตาเย็นชาคู่นั้นราบเรียบจนแทบจะไร้ความรู้สึก สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลบนใบหน้า ประกอบกับมุมปากที่แข็งทื่อ ใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม หัวใจของมู่หรงชูอวิ๋นพลันกระตุกด้วยความทุกข์อย่างบังคับไม่ได้ ดั่งถูกคมมีดกรีดลึกลงไปหลายแผล มีเลือดไหลซิบ
“เจ้าเป็นอันใด? ความจริงหากเจ้าอยากมาก็แอบเข้ามาได้นะ อย่าให้พวกเขาจับได้ก็พอแล้ว”
“หากเป็นไปได้เจ้าไม่แต่งงานกับเขาได้ไหม?” คำพูดของเฟิงหลีเลี่ยแฝงไปด้วยคำขอร้องอย่างถ่อมตัว
มู่หรงชูอวิ๋นรู้สึกฝืดไปทั้งคอ ขอบตาร้อนชื้นขึ้นมา “เขาเป็นคู่หมั้นของข้า หากไม่ให้แต่งกับเขาจะให้ข้าแต่งกับผู้ใด?” ทุกคนต่างบอกนางว่านางและฉินเจาเป็นคู่ที่สวรรค์สรรสร้างให้มาคู่กัน หนึ่งคุณชายหนึ่งธิดาเทพ ทว่านางกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
แต่กับผู้ชายตรงหน้าที่นางก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ได้เข้ามากระเทาะเปลือกหัวใจของนางไปทีละชั้นๆ แล้วก็หายตัวไปไม่เหลือแม้แต่เงา
“รอให้ถึงวันเข้าพิธีแต่งงานของเจ้า ข้ามีของขวัญชิ้นใหญ่จะมามอบให้”
ยังไม่ทันพูดให้ชัดเจนว่าคือสิ่งใดกันแน่ก็หายตัวไปไม่พบแม้แต่เงาแล้ว
มู่หรงชูอวิ๋นโกรธจนเอากำปั้นทุบผ้าห่มอย่างแรง รังแกนางอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนที่เจ็บก็คือตัวเอง แต่นางก็เลือกที่จะเชื่อเขาเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะหวังว่าจะได้ยินคำตอบที่ต่างออกไป ใครจะรู้
ตอนที่ 418 งานแต่ง 4
“ธิดาเทพเจ้าคะ นี่คือชุดแต่งงานที่ช่างตัดเย็บเพิ่งจะทำเสร็จเจ้าค่ะ”
มู่หรงชูอวิ๋นชำเลืองมองด้วยหางตา ชุดเจ้าสาวสีแดงปักลายหงส์ไฟ มองดูแล้วลายหงส์ไฟก็ธรรมดาไม่ได้โดดเด่นอะไร คล้ายกับผ้าไหมสีแดงธรรมดาผืนใหญ่ผืนหนึ่ง ทว่าเมื่อผ้าผืนนี้ได้ปรากฎภายใต้แสงสว่าง จะผุดลวดลายหงส์ไฟออกมาให้เห็นอย่างมีชีวิตชีวา
“วางไว้ตรงนั้นเถิด” นางดึงความสนใจออกมาไม่ได้เลยสักนิด
ฉินเจาเข้ามาเห็นใบหน้างดงามของนางซีดเซียวและหดหู่ดูไม่มีชีวิตชีวา ผมยาวดำขลับเงางามใช้ปิ่นเล่มหนึ่งปักมวยผมเอาไว้อย่างง่ายๆ เนือยๆ สบายๆ
จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่สบายหรือเปล่า?” เขาได้ยินว่าชุดแต่งงานถูกส่งมาแล้วก็รีบมาในทันที อยากจะรู้ว่าชุดแต่งงานที่เขาวาดออกแบบด้วยตัวเอง เมื่อสวมใส่ไปบนเรือนร่างของมู่หรงชูอวิ๋นแล้วจะงดงามมากเพียงใด แต่มาเห็นมู่หรงชูอวิ๋นอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าใด จึงทำได้เพียงเก็บความรู้สึกของตนเองเอาไว้
“เปล่า” มู่หรงชูอวิ๋นไม่รู้ว่าควรอธิบายเรื่องของตนเองให้เขาฟังอย่างไร แววตาอ่อนโยนดั่งแสงจันทรา ภายใต้คิ้วเข้มนั้น เผยทั้งความสุขเล็กๆ แต่ก็ประกายความเศร้าอยู่จางๆ
“เช่นนั้นเจ้าเป็นอันใดหรือ?”
“ข้าไม่รู้ว่าเป็นอะไร จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจมาก ราวกับทำเรื่องที่ผิดอย่างมหันต์ และไม่รู้ว่าควรเปลี่ยนแปลงกลับมาอย่างไร”
ฉินเจาลูบไล้ผิวบอบบางของนางอย่างสงสาร “เป็นเพราะเจ้าคิดมากเกินไป จนเก็บเรื่องทุกข์ไปฝันได้ ไม่มีอันใดหรอก”
“แต่ว่าข้าฝันเห็นตัวเองเมื่อก่อนสวมเสื้อคลุมสีแดงทั้งตัว นั่งอยู่บนเกี้ยวเจ้าสาวโคลงเคลงไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง จากนั้นก็มีมือหนาและทรงพลังข้างหนึ่งกุมมือของข้าไว้แน่น ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นความฝันหรือว่าอะไร? มันเหมือนจริงมาก คล้ายกับว่าข้าเอื้อมมือไปก็จะสัมผัสได้ แต่ว่า…ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองลืมสิ่งที่สำคัญมากไป มันสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของข้าเสียอีก…”
ฉินเจาน้อมใบหน้าของมู่หรงชูอวิ๋นมาซบอยู่ในอ้อมอกของตนเอง “เจ้าเหนื่อยแล้ว นอนพักเสียหน่อยก็หายแล้ว”
สาวใช้ที่คอยอยู่ปรนนิบัติต่างก้มหน้าก้มตา ทำเหมือนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ฉินอวิ๋นซินเดินเข้ามา “พวกเจ้าคิดว่าจะปกปิดนางไปเช่นนี้ได้ตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ?” นางอยู่ด้านนอกได้ยินทั้งหมดแล้ว บางทีนางไม่ควรพามู่หรงชูอวิ๋นมาที่นี่ตั้งแต่แรก เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะนางที่ทำให้ใบหน้าร่าเริงของมู่หรงชูอวิ๋นต้องระคนไปด้วยความเศร้าหมอง เพราะนางที่ทำให้กุยอวิ๋นต้องได้รับความทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้น หากว่านางไม่แต่งงานกับมู่หรงไป๋ตั้งแต่แรก เรื่องทุกอย่างจะไม่ลงเอยเช่นนี้ใช่หรือไม่ มู่หรงชูอวิ๋นจะได้อยู่ในอ้อมกอดและได้รับการปกป้องดูแลจากมารดาตลอดไป
ทว่าคิดไม่ถึงว่าฉินเจาจะสกัดจุดทำให้มู่หรงชูอวิ๋นหมดสติไป
“ข้าหวังดีกับนาง นางก็แค่กลับมาอยู่ที่เดิมของนางเท่านั้น”
รูปลักษณ์ของชายหนุ่มขาวสะอาด ใบหน้ากระจ่างใสประกายความหล่อเข้มคมสัน นัยน์ตาลุ่มลึกดำขลับมีเสน่ห์แพรวพราวน่าหลงใหล คิ้วเข้มดกดำ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากน่ายั่วยวน ไม่มีส่วนใดจะไม่ดูสูงศักดิ์และสง่างาม
หัวใจของฉินอวิ๋นซินรู้สึกซับซ้อนไม่ชัดเจน นางสัมผัสได้ว่าฉินเจาจะต้องเฝ้าระวังมู่หรงชูอวิ๋นมากกว่านี้เป็นแน่
ฉินเจาหยิบเม็ดลูกกลอนออกมาจากอกเสื้อ แล้วยัดใส่ปากให้นางกลืนลงไป
ยาเม็ดนั้นมีสรรพคุณบรรเทาฤทธิ์ของพิษหนอนกู่คะนึงหา เนื่องจากมู่หรงชูอวิ๋นนึกถึงเรื่องเหล่านั้นได้ขึ้นมากระทันหัน จึงไปกระตุ้นฤทธิ์ของพิษหนอนกู่คะนึงหา อารมณ์ของนางจึงแปรปรวนเช่นนี้
ฉินเจากวาดตามองโดยรอบไปคราหนึ่ง ดูท่าศัตรูคงจะเข้ามาถึงในหุบเขาแล้ว เขายังรู้สึกว่ามันแปลก เหตุใดมู่หรงชูอวิ๋นจึงเปลี่ยนไปได้มากถึงเพียงนี้ กุยอวิ๋นก็มาเกิดเรื่อง เพราะเขายุ่งจนไม่มีเวลาโงหัวขึ้นมา คนอื่นจึงใช้โอกาสนี้เอาเปรียบตนได้ เมื่อคิดเช่นนี้เขาได้หยักมุมปากยิ้มเย็นชา
ในเมื่อเข้ามาแล้วก็อย่าได้คิดจะกลับไปอีกเลย
ฉินเจาไม่พูดอะไร สายตามีเลศนัยคล้ายกับมีหมอกเมฆลอยขึ้นมา จนสังเกตไม่ได้ว่าในใจของเขาคิดเช่นไรกันแน่ ฉินอวิ๋นซินพลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ แม้ว่าฉินเจาจะเป็นคนรุ่นหลัง แต่ใจของเขาไม่มีทางอ่อนไปกว่าท่านอาจารย์ของเขา หรือคนที่เป็นพี่ชายของนางแน่ บางทีอาจจะใจแข็งยิ่งกว่าด้วยซ้ำ
ตอนที่ 419 งานแต่ง 5
“เหมือนเขาจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแล้ว?” ฉินอวิ๋นซินกล่าวอย่างเป็นกังวล เมื่อวานตอนที่นางไปเยี่ยมมู่หรงชูอวิ๋นสังเกตเห็นว่ามีคนคอยประกบนางมากขึ้น แม้แต่ที่หน้าประตูก็เช่นเดียวกัน เมื่อมั่นใจแล้วจึงรีบมาบอกเรื่องนี้กับเฟิงหลีเลี่ย
เฟิงหลีเลี่ยโค้งรอยยิ้มเย้ยหยัน “ไม่เป็นอุปสรรคใด” เขาจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว รอเพียงให้วันนั้นมาถึงก็เท่านั้น
ในเมื่อเขากล้าขอแต่งงาน ก็ต้องยอมรับกับผลที่จะตามมา มู่เยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้างลูบหลังมือที่เย็นเยือกของตัวเอง เขาสัมผัสได้ว่ามีคนบางคนกำลังจะโชคร้าย ในที่สุดนายท่่านก็โกรธเป็นแล้ว แม้แต่เขายังรอไม่ไหว
“กุยอวิ๋นเขา?” ช่วงเวลานี้แม้จะได้ยินพวกเขาบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ยังอดเป็นกังวลไม่ได้
เฟิงหลีเลี่ยเอ่ยขัดขึ้นมา “เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ช่วงนี้ขอมอบอวิ๋นเอ๋อร์ให้ท่านดูแลแล้ว”
ช่วงเวลานี้ไม่เหมาะที่เขาจะไปพบมู่หรงชูอวิ๋น และมีเพียงคนเดียวที่เขาจะวางใจให้เข้าใกล้มู่หรงชูอวิ๋นได้ นอกจากฉินอวิ๋นซินเขาก็ไม่เห็นใครอีก
มู่เหยียนรีบร้อนเข้ามา ทำความเคารพต่อคนทั้งสอง “นายท่าน ฉินเจาพากำลังคนมาทางนี้ขอรับ”
เฟิงหลีเลี่ยพยักหน้าแสดงการรับรู้
เมื่อฉินเจามาถึงได้เห็นฉินอวิ๋นซินกำลังช่วยตากสมุนไพรแทนหมอกู่อยู่หน้าประตู ส่วนหมอกู่นั่งอยู่ด้านในเรือน บนเก้าอี้โยกที่ทำขึ้นมาจากไม้ไผ่ โยกเยกไปมากับพื้น นัยน์ตาดำสนิทของเขากวาดมองภายในห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่นักไปคราหนึ่ง “คารวะท่านอาวุโส”
หมอกู่ได้ยินเสียงแต่ก็ไม่ขยับลืมตาสักนิด “เหตุใดจึงมีเวลามายังสันเขารกร้างถิ่นของข้าได้? ไม่ได้รับเชิญ ไม่เหมาะกระมัง” หลังจากฉินอวิ๋นลั่วจากไป เขาได้ก็ได้ตั้งกฎไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามมายังถิ่นของเขาโดยพลการ ต่อให้เป็นฉินสุยก็ยังไม่กล้ารุกล้ำ
ฉินเจาน้อมตัวทำความเคารพ “ผู้น้อยตามล่าคนนอกมา พบว่าเขาหายตัวไปบริเวณนี้ เป็นกังวลว่าเขาจะมารบกวนท่าน จึงล่วงล้ำเข้ามาโดยไม่ทันคิด วันนี้รบกวนแล้วเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจริงๆ”
“สถานที่แห่งนี้ ตั้งแต่ต้นปียันปลายปีมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ไม่เท่าไร ไหนเลยจะมีคนได้”
“คุณชาย” คนผู้หนึ่งมากระซิบสองสามประโยคข้างหูฉินเจา เมื่อฉินเจาเห็นชัดแล้วว่าไม่มีใครจริง จึงได้ทำความเคารพก่อนจะรีบถอยจากไป
เฟิงหลีเลี่ยออกมาจากที่ซ่อนตัว มองเงาร่างของฉินเจาด้วยสายตาลึกล้ำ
หลังจากมู่หรงชูอวิ๋นฟื้นขึ้นมา พบว่าคนที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายนางเหมือนจะเพิ่มขึ้นมาสองสามคน ไม่ว่าจะออกไปที่ใดพวกเขาก็จะคอยตามติดอยู่ข้างหลัง นางตำหนิพวกเขา พวกเขาได้แต่ก้มหน้าน้อมรับ แต่ไม่มีท่าทีจะออกห่างเลยแม้สักนิด ยังคงตามติดอยู่ข้างหลังนางไม่ห่างไปเกินสามฉื่อ นางรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก หลังจากบอกเรื่องนี้กับฉินเจา คนพวกนี้ก็เปลี่ยนมาคอยแอบสุ่มตามติดอยู่เช่นเดิม
มู่หรงชูอวิ๋นอึดอัดไม่ชิน รู้สึกเสมอว่ามีคนคอยแอบสุ่มดูตนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดคนอื่นต่างก็รู้ทั้งนั้น บ่อยครั้งขึ้นนางจึงไม่ชอบออกไปนอกเรือน ทุกวันได้แต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมพบหน้า ต่อให้เป็นฉินเจาก็เช่นเดียวกัน นางรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในกรง นอกจากเดินเหินได้ตามอำเภอใจ ก็ไม่มีอะไรต่างไปจากการถูกจองจำเลย
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ออกไป” มู่หรงชูอวิ๋นไม่หันหน้าไปมองด้วยซ้ำ ตะโกนตอบไปอย่างไม่สบอารมณ์ พูดจบก็ทำปากบึ้ง
ฉินเจาโค้งมุมปากยิ้ม “เป็นอะไรไป ถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้” น้ำเสียงระคนไปด้วยความรักและตามใจ
มู่หรงชูอวิ๋นหันหน้ามาเห็นว่าเป็นเขา อ้าปากขยับแต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอันใด นางคิดว่าเป็นเสี่ยวอวี๋ที่มาคอยรับใช้นาง เห็นนางแล้วหงุดหงิดใจจึงไล่ออกไปให้พ้น
ดวงตาสีเข้มของฉินเจามองดูใบหน้างดงามตรงหน้า เห็นว่าแม้นางจะทำหน้าโกรธแต่ก็ยังดูงามถึงเพียงนั้น “ต้นไม้ที่เจ้าเฝ้าทะนุถนอมต้นนั้นออกผลแล้ว อยากไปดูหรือไม่?”
เขาจำได้ว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่มู่หรงชูอวิ๋นได้เห็นต้นไม้ต้นนั้น ก็อดน้ำลายสอไม่ได้ เลียปากคล้ายกับเด็กน้อยจอมตะกละ ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินบ่าวรับใช้พูดกันว่ามันออกผลแล้ว จึงวางของทุกอย่างในมือแล้วรีบมาบอกนาง
มู่หรงชูอวิ๋นเดิมทีคิดอยากจะปฏิเสธไปเลย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “แต่ว่าเจ้าสั่งให้พวกเขาไม่ต้องติดตามข้าได้หรือไม่ ข้าไม่ใช่นักโทษนะ” พูดจบก็เดินผ่านหน้าเขาออกไป
“อีกเพียงสิบวันก็จะไม่มีเช่นนี้แล้ว” ถึงตอนนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจหยุดยั้งเขาได้อีก
ตอนที่ 420 งานแต่ง 6
มู่หรงชูอวิ๋นมองผลไม้สีทองสุกอร่ามเต็มต้นตรงหน้า พลันรู้สึกใจโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก เอามือขึ้นมากุมหน้าอกตัวเอง เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากราวกับข้าศึกบุกมาเยือน
ฉินเจาหันหน้ามาเห็นสีหน้าของนางเป็นเช่นนี้ รอยยิ้มกว้างหุบลงไปในทันที รีบประคองมู่หรงชูอวิ๋นมานั่งที่เก้าอี้ “หุ้ยซิน ไม่สบายตรงไหนหรือ?” คิดว่านางบาดเจ็บตรงไหน เพราะนางได้แต่เก็บตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกมาข้างนอกหลายวันแล้ว
มู่หรงชูอวิ๋นกุมหน้าอกพลางส่ายหน้า กัดฟันเอ่ยเสียงแผ่ว “เจ็บ…เจ็บมาก…” เหมือนกับมีอะไรหลุดลอกออกมาจากร่างกายของนาง แต่นางไม่อาจหยุดยั้ง ไม่อาจทำอันใดได้
“เจ็บตรงไหนหรือ?” เหลือบไปเห็นข้อมือของนาง ด้ายแดงเส้นนั้นยังซ่อนอยู่บนผิวขาวกระจ่างอย่างสงบ
ดวงตาสุกใสดังอัญมณีใต้น้ำคู่นั้นประกายความเศร้าหมอง “มีคนขโมยของบางอย่างในร่างกายของข้าไป” น้ำตาแวววาวดั่งคริสตัลไหลอาบสองแก้ม ร่วงลงบนยอดหญ้า ดุงดั่งน้ำค้างต้องแดดยามเช้า
ราวกับเด็กน้อยที่ถูกคนขโมยของสำคัญที่สุดไป
ใบหน้าคมชัดปานแกะสลัก หล่อเหลาเหนือธรรมดา แสดงออกถึงความลนลานไม่รู้ควรทำอย่างไรดี ฉินเจานายน้อยของชนเผ่า ผู้ยโสโอหังยืนอยู่เหนือผู้คน ก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่ติดกับแห่งความรัก เป็นห่วงคนรักคนหนึ่งก็เท่านั้น
มู่หรงชูอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมาประจันสายตากับฉินเจา ฉินเจาไม่เคยมองเห็นดวงตาคู่นี้ที่ทั้งงดงามและสุกใส ทว่ายิ่งดูห่างไกลของนางได้อย่างชัดเจนเท่ากับวินาทีนี้มาก่อน “ฉินเจา เจ้าโกหกอะไรข้าอยู่หรือไม่?”
พูดพลางกัดริมฝีปากแน่น จนริมฝีปากซีดเผือกไร้เลือดฝาด
คำพูดนี้ทำให้มือของฉินเจาที่ประคองมู่หรงชูอวิ๋นอยู่พลันแข็งทื่อ กระตุกมุมปากเอ่ย “ไม่มี…”
“อย่าเพิ่งรีบร้อนตอบคำถามข้า ข้าเพียงอยากรู้ว่าไม่มีสิ่งใดโกหกข้าจริงหรือ” นัยน์ตาสุกใสของมู่หรงชูอวิ๋นเคลือบไปด้วยแววตาแห่งความเศร้าใจ คล้ายกับแมงเม่าที่มุ่งมั่นบินเข้าสู่กองไฟ อยากจะจุมพิตให้สาแก่ใจเสียเหลือเกิน เพื่อให้แววตาคู่นั้นกลับคืนสู่สภาพเดิมของมัน
“ไม่มี”
มู่หรงชูอวิ๋นคอตกด้วยความผิดหวัง ชำเลืองสายตามองไปทางหญิงรับใช้ข้างกาย “ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
เดิมทีฉินเจาอยากจะถามหาสาเหตุให้กระจ่างใจ น้ำเสียงของมู่หรงชูอวิ๋นนั้นเรียบนิ่งมาก เรียบนิ่งเสียจนไม่มีความสั่นเคลือใดเลยสักนิด ได้เห็นใบหน้านิ่งเฉยเช่นนี้ของนาง ซึ่งเคยเป็นใบหน้าที่ร่าเริงแจ่มใส ตะโกนเรียกชื่อของเขามาแต่ไกล ช่างเป็นความรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน ทว่าเวลานี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ได้ เมื่อไม่นานมานี้นางยังมีเรื่องพูดคุยกับเขาไม่รู้จบ แต่เมื่อเขาเห็นความร้อนใจของบ่าวรับใช้แล้ว รู้ทันทีว่าเรื่องราวจะชักช้าอีกต่อไปไม่ได้แล้ว จึงทำได้เพียงกล่าวลานาง รอให้สะสางเรื่องราวทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วบางทีเรื่องก็อาจจะดีขึ้นไปบ้าง
มู่หรงชูอวิ๋นเหม่อมองทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ทว่าหัวใจของนางกลับเหมือนถูกมีดแหลมบาดลึกให้รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน
“นายท่านจะเข้าไปปลอบพระชายาหรือไม่ขอรับ ดูเหมือนพระนางจะเสียใจมากนะขอรับ?” ไปเถิดขอรับ นี่เป็นโอกาสของพระองค์ ไม่แน่หากไปแล้วพระนางเกิดความซาบซึ้งจำเรื่องราวทุกอย่างขึ้นมาได้ พวกเขาจะได้กลับไปพร้อมกับนายน้อยเสียเลย ไม่ใช่มายืนชะเง้อมอง อยู่ใกล้กันเพียงเอื้อมมือ แต่ทำได้เพียงมองราวกับเป็นคนแปลกหน้าอยู่เช่นนี้
ดวงตาของเฟิงหลีเลี่ยเฉยเมย ไม่อยากแม้จะแสดงอารมณ์ใดให้กับเขา สายตามีเพียงแม่นางบอบบางอรชรอ้อนแแอ้นคนนั้น เห็นเพียงดวงตากลมโตกระพริบละเอียดอ่อนดั่งกวางน้อยในป่าเขา บัดนี้ต้องมาจมอยู่กับความเศร้าหมอง ไม่มีผู้ใดจะเป็นทุกข์เท่าตัวเขาได้อีกแล้ว เขาอยากจะเข้าไปกอดนางไว้ในอ้อมอก กระซิบปลอบข้างใบหูด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าของเขา บอกกับนางว่านางยังมีเขาอยู่ อย่าได้กลัวไปเลย
ตอนที่ 421 งานแต่ง 7
“ธิดาเทพ เปลี่ยนชุดเถิดเจ้าค่ะ?” เสี่ยวอวี๋แทบร้องไห้เมื่อเห็นมู่หรงชูอวิ๋นไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย จึงเอ่ยขอร้องออกไป ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในใจของนางทรมานมากเพียงใด เดิมคิดว่าวันนี้จะไม่มีเรื่องอันใด ใครจะรู้หลังจากมู่หรงชูอวิ๋นตื่นขึ้นมา ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับตัวราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่มีความเขินอายที่จะได้เป็นเจ้าสาวเลยสักนิด ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความเศร้าหมองราบเรียบดั่งวารี คล้ายกับโลกทั้งใบกำลังจะสูญสิ้น
มู่หรงชูอวิ๋นทอดมองไปทางเสี่ยวอวี๋ แต่ก็เหมือนกับมองผ่านนางไปยังที่ห่างไกลไม่รู้นาม “เสี่ยวอวี๋ เจ้าว่าของที่หายไปจะหาเจอได้ไหม? แล้วจะยังกลับมาเป็นสภาพเช่นเดิมได้หรือไม่? จะสมบูรณ์ไม่มีตำหนิเลยแม้เพียงเล็กน้อยได้ไหม?”
เสี่ยวอวี๋ไม่เข้าใจว่ามู่หรงชูอวิ๋นหมายความว่าอย่างไร คิดแล้วจึงเอ่ย “ธิดาเทพ ข้าน้อยแม้จะไม่เข้าใจว่าธิดาเทพทำของสิ่งใดหายไป แต่คงต้องเป็นของล้ำค่ามาก เพียงแต่ข้าน้อยเข้าใจว่าขอเพียงมีความพยายามที่จะตามหาก็จะไม่รู้สึกเสียใจแล้วเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ? แล้วจะยังเหมือนเดิมไหม?” มู่หรงชูอวิ๋นหันหน้ากลับมาช้าๆ ไม่รู้ว่าถามตัวเองหรือเอ่ยถามนาง “หากข้าไม่แต่งงานกับฉินเจา เจ้าจะคิดว่าข้าเป็นคนเลวหรือไม่?” เป็นคนที่เลวมากๆ คนหนึ่ง เป็นสิ่งที่นางเกลียดที่สุด
เสี่ยวอวี๋ตกใจอ้าปากค้าง “ธิดาเทพ คุณชายดีถึงเพียงนั้น เหตุใดท่าน…”
“จึงมีความคิดเช่นนี้ใช่ไหม” มู่หรงชูอวิ๋นมองนางพลางยิ้ม จากนั้นก็ไม่สนใจนางอีก เอามือลูบชุดแดงปักเลื่อมประกายระยิบระยับ
“ข้าเพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น ฉินเจาดีถึงเพียงนั้น ใครไม่อยากแต่งกับเขาบ้าง” ดีเสียจนนางไม่รู้ว่าสิ่งไหนจริง สิ่งไหนปลอม
เสี่ยวอวี๋รีบตบอกโล่งใจ โชคดีที่มู่หรงชูอวิ๋นพูดเล่นเท่านั้น “ธิดาเทพ ทำข้าน้อยตกใจแทบแย่ ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณชายดีถึงเพียงนั้น ต่อให้บีบบังคับฝืนใจเขาก็ไม่ยอมแต่งงาน คุณชายรอเพียงท่านคนเดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ” หากมู่หรงชูอวิ๋นไม่ยอมแต่งจริงๆ นางคงแย่แน่เลย
มู่หรงชูอวิ๋นมองคนในกระจกเงาผืนเรียบแต่ยังมีสีเหลืองอ่อนๆ แววตาไร้ความปลาบปลื้มยินดี ราวกับสาวงามบนภูเขาหิมะ ไร้ซึ่งจิตวิญญาณคนหนึ่ง ยื่นมือไปหยิบชาดทาปากสีแดงสดบนโต๊ะขึ้นมาด้วยท่าทางเซี่องซึม แล้วมาเม้มที่ริมฝีปาก สาวใช้นางหนึ่งกระซิบบอกข้างใบหู “นี่เป็นชาดทาปากที่อาจารย์ท่านหนึ่งทำขึ้นมาให้กับภรรยาผู้เป็นที่รัก เพราะภรรยาของเขาไม่ชอบกลิ่นฉุนของชาดแดง จึงได้เลือกใช้น้ำผึ้งทำขึ้นมาโดยเฉพาะ ธิดาเทพได้ใช้แล้วจะต้องเป็นสามีภรรยาที่รักกันกลมเกลียวแน่นอนเจ้าค่ะ”
มู่หรงชูอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมามองนาง เมื่อเห็นใบหน้าของนางแล้วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเล็กน้อย “ภรรยาของเขาจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ ที่ได้สามีทำชาดแดงให้เองกับมือเช่นนี้” ไม่รู้ว่าเป็นคำอวยพรจากใจจริงหรือเพราะรู้สึกอิจฉา
“หากธิดาเทพชอบ คุณชายจะต้องทำให้ท่านเองกับมือเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ” เสี่ยวอวี๋พึมพำขึ้นมา
มู่หรงชูอวิ๋นไม่ได้ตอบอะไรนาง ขณะเดียวกันที่ฮูหยินฉินเข้ามาพอดี เห็นว่ามู่หรงชูอวิ๋นแต่งหน้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของนางอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวจะไปทำให้ใบหน้าของนางเลอะเปื้อน “เด็กดี ลำบากเจ้าแล้ว” ในใจของนางขื่นขมเป็นที่สุด หากมู่หรงชูอวิ๋นได้รู้ว่าลูกน้อยของนางใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว กลัวแต่มู่หรงชูอวิ๋นจะไม่ได้มีสภาพเช่นนี้แน่ บางทีการที่ไม่บอกความจริงแก่นาง อาจเป็นเรื่องดีก็ได้ และก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะอย่างไรแล้วนางจะได้ไม่ต้องแบกรับความเจ็บปวดที่ผุดออกมาจากร่างกายของนางอีกครั้ง เนื่องจากการสูญเสียลูกน้อย รสชาติความเจ็บปวดแบบนั้นนางเคยลิ้มรสมาแล้วครั้งหนึ่ง
ความรู้สึกขมขื่นเอ่อล้นขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจของฉินอวิ๋นซิน แม้ว่านี่จะไม่ใช่การแต่งงานที่เฝ้ารอ แต่นางยังคงไม่มีสิทธิไปยืนอยู่ข้างมู่หรงชูอวิ๋นเช่นเดิม ทำได้เพียงชะเง้อมองอยู่ห่างๆ คล้ายพวกแอบมอง