เมียหวานของประธานเย็นชา - ตอนที่ 362
บทที่ 362 เปิดขายสาธารณะ
ในวันถัดมา เวินเที๋ยนเที๋ยนก็มาที่บริษัทอีกครั้ง
เมื่อผลักประตูห้องทำงานเข้าไป ก็เจอกับจงหลีที่ยืนอยู่ข้างใน
เขาสวมสูทสีดำที่รีดไว้อย่างเรียบร้อย การแสดงออกบนใบหน้าก็ดูใจเย็นและสุขุม เพราะว่าความเมาของเขานั้นได้หายไปตั้งนานแล้ว
เมื่อเห็นเวินเที๋ยนเที๋ยน เขาก็เดินเข้ามาหาทันที แล้วนำเอกสารที่อยู่ในมือส่งให้กับเธอ
“คุณเวินครับ นี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการประชุมเพื่อตรวจสอบและวินิจฉัยของอีกห้าวันข้างหน้าครับ ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนหันไปมองเขาแวบหนึ่ง ก็เห็นว่าเขากลับมามีท่าทีที่ปกติแล้ว จึงค่อยรับเอกสารมาจากเขา แล้วเปิดดู
จงหลีจึงพูดต่อ: “ประธานจี้ได้เจอข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับการประชุมเพื่อตรวจสอบและวินิจฉัยตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ถึงแม้ทางธนาคารยังยืนกรานที่จะอายัดทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้ชื่อของประธานจี้ทั้งหมดก็ตาม แต่มันก็ยังมีช่องโหว่ที่จำเป็นต้องสืบหา และถ้าปฏิบัติตามขั้นตอนปกติ การอายัดทรัพย์สินนั้นเป็นขั้นตอนที่ไม่สามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว ”
ในขณะที่พูด เขาก็หันมามองที่เวินเที๋ยนเที๋ยนแวบหนึ่ง คิดอยู่สักพัก แล้วก็พูดออกมาแบบเนียนๆ: “น่าจะมีคนคอยหนุนหลังอยู่นะครับ”
“เวินฉี่”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดขึ้นมาเบาๆ
คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ ก็มีแค่เวินฉี่เท่านั้นแหละ
เพียงแค่เขาพูดประโยคเดียว ไม่ว่าจะเป็นธนาคารหรือศาล ก็จะเปิดทางสะดวกให้กับเขาทันที
เธอจึงดูข้อมูลที่อยู่ในมืออีกครั้ง วางกลับไปที่โต๊ะ แล้วพูดว่า: “ถึงแม้จะเป็นเวินฉี่ที่ทำ แต่พวกเขาก็จะไม่ทำอะไรมาก แค่ต้องการจะถ่วงเวลาก็เท่านั้น แต่จะไม่อายัดทรัพย์สินของจี้จิ่งเชินจริงๆหรอก เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนสองสามวันนี้คุณและผู้จัดการหยางก็ไปจัดการเกี่ยวกับกรณีความร่วมมือต่างๆ ก็แล้วกัน”
เมื่อจงหลีได้ฟัง ก็พูดด้วยความตกใจ: “แค่คุณคนเดียว มันจะไหวเหรอครับ?”
“อืม” เวินเที๋ยนเที๋ยนเงยหน้าขึ้น และค่อยๆหรี่ตาลง พร้อมกับยกยิ้มมุมปากขึ้นมา
“ตอนนี้ฉันมีวิธีแล้ว”
เมื่อจงหลีเห็นท่าทีของเธอ เขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย ผ่านไปสักพัก ถึงค่อยตอบสนองกลับไป
“ครับ”
หลังจากห้าวัน
ในวันประชุมเพื่อตรวจสอบและวินิจฉัยไม่ได้มีแค่คนในบริษัทเอ็มไอกรุ้ปเท่านั้น ยังมีนักข่าวจากหลายๆสำนักข่าวอยู่ในงานด้วย
เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ได้ไปนั่งอยู่ตรงที่นั่งของจำเลย และเมื่อมองไป ก็เห็นว่าคนของตระกูลเวินและตระกูลหล่อนได้มากันครบแล้ว
เธอกวาดสายตาผ่านพวกเขาไป แล้วเงยหน้าพูดกับผู้พิพากษา: “ดิฉันเป็นตัวแทนของบริษัทเอ็มไอกรุ้ปค่ะ และนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเองค่ะ”
เธอเพิ่งจะพูดเสร็จ หล่อนหลีก็ขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความกังวล
ตอนนี้ก็สามารถพูดได้ว่าในบริษัทเอ็มไอกรุ้ปนั้นเกิดความวุ่นวายเต็มไปหมด คนอื่นๆแทบจะหนีออกไม่ทัน แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับเสนอตัวเองเข้ามา
ทันทีที่คำพูดนี้ของเธอออกไป เงินชดเชยทั้งหมด ก็จะเป็นเวินเที๋ยนเที๋ยนที่จะต้องรับผิดชอบ
คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเวินฉี่ก็ฮัมเสียงเย็น แล้วพูดด้วยเสียงหัวเราะ: “เธอจะเป็นคนรับผิดชอบงั้นเหรอ? เธอรู้ไหมว่าการที่เธอพูดประโยคนี้ออกมา เธอต้องชดเชยด้วยเงินเท่าไหร่?”
“ฉันรู้ดี”
พูดเสร็จ เธอก็นั่งลงไป แล้วหันไปพูดกับผู้พิพากษา: “เริ่มได้เลยค่ะ”
ผู้พิพากษาขมวดคิ้ว และสบตากับเวินฉี่แวบหนึ่ง แล้วค่อยๆพยักหน้า
เขาก้มหน้า และเปิดอ่านข้อมูลที่เวินเที๋ยนเที๋ยนเคยส่งมา แล้วไตร่ตรองอยู่สักพัก
“เนื่องจากเรื่องในครั้งนี้ ทางธนาคารได้ถอนฟ้องตั้งแต่ตอนเช้าของวันนี้แล้ว เพราะว่ามันเป็นการทำผิดพลาดของพนักงานจริงๆ”
เขาหันไปมองเวินเที๋ยนเที๋ยน แล้วพูดต่อ: “เนื่องจากเป็นการพิจารณาที่ผิดพลาดของพนักงาน จึงได้ทำการยื่นฟ้องศาลผิดพลาด เพราะฉะนั้นหนังสือคำสั่งอายัดทรัพย์สินของจี้จิ่งเชิน จึงได้ทำการถอนออกไปหมดแล้ว”
“ดังนั้นคุณเวิน คุณสามารถวางใจได้แล้ว”
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยิน สายตากลับเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม
“เพราะการพิจารณาที่ผิดพลาด จึงทำให้บริษัทเอ็มไอกรุ้ปและจี้จิ่งเชินได้รับความเสียหาย ตัดสินกันง่ายๆอย่างนี้เหรอคะ?”
ในขณะที่เธอพูด สายตาก็มองไปที่เวินฉี่
“สำหรับเรื่องนี้ ดิฉันจะทำการดำเนินคดีอีกครั้ง เพื่อให้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ออกมาอธิบายและชดเชยค่าเสียหายอย่างสมเหตุสมผล”
เมื่อเวินฉี่ได้ยินประโยคนี้ กลับส่ายหน้าไปมา
“ชดเชยอย่างนั้นเหรอ? เธอลืมเรื่องสำคัญอะไรไปหรือเปล่า”
เขาเงยหน้าขึ้น แล้วพูด: “และถ้าฉันต้องจ่ายค่าชดเชยจริงๆ ฉันจะต้องไปจ่ายให้กับใครล่ะ? จี้จิ่งเชินเหรอ?”
ในขณะที่พูด เขาก็จับไม้เท้าแล้วยืนขึ้น แล้วค่อยๆเดินไปข้างหน้าของเวินเที๋ยนเที๋ยน
“การรับช่วงต่อที่บริษัทไม่ใช่ว่าเธออยากทำ แล้วก็จะทำได้เลยนะ”
เวินฉี่เหลือบตาไปมองเวินเที๋ยนเที๋ยน ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าที่ดูพอใจมากขึ้นอีก
“จี้จิ่งเชินเขาตายไปแล้ว เขา……”
“จี้จิ่งเชินยังไม่ตาย” เวินฉี่ยังไม่ทันพูดเสร็จ เวินเที๋ยนเที๋ยนก็เปิดปากพูดขึ้นมาเสียก่อน
เวินฉี่ยกยิ้มมุมปาก อย่างไม่สนใจ“ตายหรือไม่ตาย เพียงคำพูดคำเดียวของเธอ ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถตัดสินได้หรอกนะ”
เมื่อเห็นว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนเงียบไป เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง: “เพราะไม่มีคนรับช่วงต่อ อีกไม่กี่วันบริษัทเอ็มไอกรุ้ปและธุรกิจต่างๆที่อยู่ภายใต้ชื่อของเขา ก็จะถูกนำออกขายสาธารณะแล้ว และถ้าเธออยากจะรับช่วงต่อบริษัทเอ็มไอกรุ้ป เธอก็ต้องซื้อบริษัทมาเห็นของตัวเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาพูด”
เขานิ่งไปสักพัก ด้วยสายตาที่เยาะเย้ย
“แต่ว่า เธอต้องมีเงินพอที่จะซื้อให้ได้ด้วยนะ แล้วค่อยมาพูด”
พูดเสร็จ เขาก็เดินหน้ามากี่ก้าว และรอให้ เวินหงไห่เดินตามมายืนข้างๆของเขา แล้วจึงเดินออกไปข้างนอก
เมื่อทั้งสองคนเดินผ่านหล่อนหลีกับเวินหงหยู้ ก็หยุดก้าวเดินลงทันที
เวินฉี่หันไปมองพวกเขา
“ดูเหมือนตอนจบของเรื่องนี้ จะเป็นเหมือนกับที่ฉันเคยพูดนะ”
หล่อนหลีจึงขมวดคิ้วทันที แล้วกำหมัดแน่น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อเวินฉี่เห็นท่าทีของเธอ ก็หัวเราะด้วยความพอใจ แล้วค่อยเดินออกไป
“ไปดูเที๋ยนเที๋ยนก่อน”เวินหงหยู้ที่อยู่ข้างๆพูดขึ้น
เมื่อถึงตอนนี้หล่อนหลีจึงค่อยถอนสายตากลับมา แล้วหันไปมองทางเวินเที๋ยนเที๋ยนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขามากนัก
เธอกำลังขมวดคิ้วเล็กน้อย และคุยอยู่กับจงหลีด้วยน้ำเสียงที่เบา
หล่อนหลียังคงลังเลอยู่
ตั้งแต่วันนั้นที่เธอกลับมาจากตระกูลจี้ เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ไม่ได้กลับไปตระกูลหล่อนอีกเลย แต่กลับเลือกที่จะกลับไปตระกูลเวิน และพักอยู่ที่นั่น
เป็นเหมือนอย่างที่เวินฉี่เคยพูดไว้จริงๆ หลังจากที่เวินเที๋ยนเที๋ยนได้รู้ความจริง เธอจะไม่ยอมให้อภัยพวกเขา……
หล่อนหลีขมวดคิ้วแน่น และรู้สึกวุ่นวายในใจ
“เที๋ยนเที๋ยน……”
เธอเรียกขึ้นมาเบาๆ
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินเสียงนั้น ร่างของเธอก็แข็งทื่ออยู่กับที่ทันที
ผ่านไปสักพัก จึงค่อยพูดกับจงหลี: “คุณกลับไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวฉันค่อยตามกลับไป”
พูดเสร็จ เธอจึงหันหน้าไป
เมื่อเห็นว่าเป็นหล่อนหลีและเวินหงหยู้ที่อยู่ข้างหลังของเธอ เธอจึงเงยหน้าขึ้น และขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คุณนาย……หล่อน……”
เมื่อได้ยินการเรียกแทนตัวเองแบบนี้ หล่อนหลีจึงยิ้มอย่างเจื่อนๆ
“เงินในการซื้อบริษัทเอ็มไอกรุ้ปไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆนะ ถ้าเป็นไปได้ ฉันสามารถช่วยหนูได้นะ”
แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอหลุบสายตาลง เพื่อหลบสายตาของคุณนายหล่อน
ถึงแม้ในใจจะบอกตัวเองว่า คนที่อยู่ข้างหน้าของเธอคือพ่อแม่แท้ๆของเธอเอง แต่ในใจของเวินเที๋ยนเที๋ยนกลับไม่มีวิธีที่จะกล้าสบตากับพวกเขาตรงๆ
ถ้าตอนนั้นไม่ได้รู้ความจริง ก็อาจจะไม่เป็นแบบนี้?
เนื่องจากเวินเที๋ยนเที๋ยนมัวแต่คิดอยู่ในใจ จึงทำให้เธอมองไม่เห็นสีหน้าที่หม่นหมองของหล่อนหลี
ผ่านไปสักพัก เธอจึงค่อยเงยหน้าขึ้นมา แล้วถาม: “วันนี้ฉันขอไปที่ตระกูลหล่อนได้ไหมคะ?”
เดิมที่หล่อนหลีคิดว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนจะไม่ยอมกลับไปตระกูลหล่อนอีกแล้ว และจะไม่ยอมให้อภัยตัวเอง แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ นัยน์ตาก็แสดงออกถึงความตื่นตระหนกใจและความดีใจ
“ได้สิ! จะไปวันนี้เลยใช่ไหม?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้า
“ฉันอยากกลับไปเอาของบางอย่างนะค่ะ”
“เดิมทีตระกูลหล่อนก็เป็นบ้านของหนูอยู่แล้ว หนูอยากกลับมาเมื่อไหร่ก็กลับมาได้เลยนะ”
หล่อนหลีจึงรีบจับมือของเวินเที๋ยนเที๋ยนไว้ และพาเธอเดินออกไปข้างนอก จนขึ้นมานั่งบนรถที่จะขับไปตระกูลหล่อน