เมียหวานของประธานเย็นชา - ตอนที่ 370
บทที่ 370 จี้จิ่งเชินยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ
สามเดือนต่อมา งานนิทรรศการวัตถุโบราณทางวัฒนธรรมที่ร่วมจัดโดยวงการธุรกิจและวงการวัตถุโบราณนั้น ก็ได้ถูกเปิดตัวพร้อมกันในหลายๆเมือง
ครั้งนี้เป็นงานใหญ่ครั้งแรกในประเทศ ที่ได้จัดเกี่ยวกับโบราณวัตถุทางวัฒนธรรมขึ้น ในสายตาของหลายๆคน เมื่อได้ฟังคำว่าวัตถุโบราณหรือเครื่องเคลือบลายคราม ก็จะรู้สึกว่าห่างไกลจากตัวเองมาก และคนธรรมดาทั่วไปก็จะไม่ค่อยให้ความสนใจในด้านนี้สักเท่าไหร่
และเมื่อทุกคนได้ยินว่ามีงานแบบนี้ ก็รู้สึกว่ามันแปลกใหม่
นอกจากนี้มีพิพิธภัณฑ์มากกว่าครึ่งหนึ่งในประเทศได้มาเข้าร่วมด้วย จึงส่งผลต่อการประชาสัมพันธ์และบวกกับกิจกรรมที่น่าสนใจ จนก่อให้เกิดกระแสในทันที
หลังจากได้เปิดตัวพิพิธภัณฑ์ออกมา คนส่วนใหญ่ก็ได้ค้นพบ ไม่ใช่ว่าดวงจันทร์ของต่างประเทศจะมีลักษณะกลม
หลังจากงานได้เริ่มขึ้นแล้ว ท่านเปิงก็พาคนกลุ่มหนึ่งที่ชอบการสะสมเครื่องเคลือบลายครามมาเยี่ยมดูงานด้วย
คนเหล่านี้ปกติจะเป็นคนที่หวงแหนสิ่งของ มีคนน้อยมากที่จะทำให้พวกเขาเปิดใจรับได้ และบวกกับนี่เป็นครั้งแรกที่มีงานแบบนี้ ในช่วงแรกเธอก็มีความเกรงๆเล็กน้อย แต่หลังจากที่ชินแล้ว เธอก็สามารถพูดคุยกับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมได้อย่างดี
ตอนที่หมินอันเกอและหลวนจื่อมาถึง เวินเที๋ยนเที๋ยนกำลังยุ่งอยู่
ทั้งสองคนใส่หมวกและผ้าปิดปากไว้ เพราะกลัวว่าจะมีคนมองพวกเขาออก
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนทำงานที่อยู่ในมือเสร็จ และกำลังเตรียมตัวจะออกไป จึงค่อยได้สังเกตเห็นพวกเขา
“พวกคุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
หลวนจื่อขยับผ้าปิดปากเล็กน้อย เพราะว่าอากาศเริ่มร้อนขึ้น เลยทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย
หมินอันเกอที่อยู่ข้างๆกำลังยิ้ม แต่เพราะปกปิดหน้าไว้อย่างแน่นหนาจึงดูไม่ออก เห็นแค่เพียงดวงตาที่กำลังยิ้มอยู่
“เพิ่งจะมาได้สักพักเอง”
พูดเสร็จ ก็หันไปมองทางที่เวินเที๋ยนเที๋ยนกำลังจะเดินออกไปเมื่อสักครู่นี้
“เธอกำลังจะกลับแล้วเหรอ?”
“พอดีมีเรื่องนิดหน่อยนะคะ”
ในขณะที่พูดอยู่ จงหลีก็เดินเข้ามา แล้วถาม: “ตอนนี้รถพร้อมแล้ว จะออกไปเลยไหมครับ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนลังเลเล็กน้อย แล้วหันไปมองหลวนจื่อและหมินอันเกอ
หมินอันเกอพูดขึ้นมาด้วยความใส่ใจ: “ถ้าเธอมีธุระก็ไปเถอะ เดี๋ยวอีกสักพักพวกฉันก็จะกลับแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนส่ายหน้า“จริงๆแล้ว ฉันอยากให้พวกคุณไปกับฉันด้วย ได้ไหมคะ?”
หลวนจื่อกลอกตาด้วยความประหลาดใจ
“จะไปที่ไหน?”
เพิ่งจะถามเสร็จ ยังไม่ทันที่เวินเที๋ยนเที๋ยนจะได้ตอบ เขาก็เดินมาข้างหน้าแล้วดึงมือเวินเที๋ยนเที๋ยนเดินออกไป
“ไปเถอะ”
พวกเขาออกมาจากพิพิธภัณฑ์ แล้วมุ่งตรงไปยังใจกลางเมือง
ไม่นาน รถก็มาหยุดอยู่ในสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่หนึ่ง
เวินเที๋ยนเที๋ยนลงจากรถ แล้วพาพวกเขาเดินผ่านสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง แล้วมาถึงริมทะเลสาบที่คนสร้างขึ้น
หลวนจื่อรู้สึกประหลาดใจมาตลอดทาง เธอคิดว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนจะพาพวกเขาไปกินข้างซะอีก
แต่เมื่อได้เห็นพื้นที่รกร้างที่อยู่ข้างหน้าของพวกเขา ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“นี้คือ……”
พื้นที่นี้ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองและเป็นพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุด ข้างหน้ามีสวนสาธารณะและทะเลสาบ ส่วนข้างหลังเป็นถนนที่เป็นใจกลางของศูนย์การค้า
หลวนจื่อจำได้ว่า เมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นพิพิธภัณฑ์มาก่อน
และเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จี้จิ่งเชินมอบให้กับเวินเที๋ยนเที๋ยน
เมื่อนึกถึงจี้จิ่งเชินที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ หลวนจื่อก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ด้วยความเป็นห่วงเวินเที๋ยนเที๋ยน เธอจึงหันหน้าไปมอง
แต่ยังไม่ทันได้มองเห็นเวินเที๋ยนเที๋ยน เธอกลับมองเห็นคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งอย่างหมินอันเกอเสียก่อน
เขาก็หันหน้ามาเหมือนกัน และดวงตาคู่นั้น เหมือนมองอยู่ที่ร่างของเวินเที๋ยนเที๋ยนตั้งแต่แรกแล้ว เป็นสายตาที่อ่อนโยนและอาลัยอาวรณ์
หลวนจื่อรู้สึกอึ้ง เธอจึงเม้มปากแล้วหันหน้าหนี
เธอจับมือของเวินเที๋ยนเที๋ยนไว้ แล้วพูดขึ้นมาอย่างเป็นมิตร: “เที๋ยนเที๋ยน เธอพาพวกเรามาที่นี่ทำไม?”
“วันนี้เป็นวันแรกที่จะเริ่มก่อสร้างที่นี่”
เมื่อพวกเขาได้ฟังคำพูดของเธอ ก็หันไปมองอีกครั้ง ก็เห็นว่าซากปรักหักพังถูกเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ยังมีการวาดเส้นแบ่งไว้ และมีคนใส่หมวกนิรภัยสีเหลืองทำงานอยู่
“เธอจะสร้างพิพิธภัณฑ์ใหม่เหรอ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนส่ายหน้า แล้วเธอก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ฉันอยากสร้างประภาคารค่ะ”
“ประภาคาร?”
หลวนจื่อหันไปมองเธอด้วยความประหลาดใจ อย่างไม่เข้าใจความหมายของเธอ
หมินอันเกอหันมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าบนพื้นมีสิ่งสร้างที่มีรูปทรงวงกลมอยู่
“ชิงช้าสวรรค์?”
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินเสียงของเขา เธอก็หันไปยิ้มให้กับเขา
“จริงๆแล้วได้เริ่มสร้างตั้งแต่สามเดือนก่อนหน้านี้แล้ว และวันนี้ก็เป็นวันที่จะต้องติดตั้งพอดี”
หลวนจื่ออึ้งไปสักพัก แล้วหันมองไปตามสายตาของหมินอันเกอ ก็เห็นกับสิ่งสร้างรูปทรงวงกลมขนาดใหญ่อยู่บนพื้น
ถึงแม้ลักษณะของชิงช้าสวรรค์ที่วางอยู่ตรงพื้นนั้นจะแตกต่างจากชิงช้าสวรรค์ในความทรงจำของเธอ แต่เสียงเพลงก็สามารถทำให้เดาได้บ้าง
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนมองพื้นที่ข้างหน้า ที่ถูกไหม้จนเกรียมและถูกทิ้งร้างไว้ ราวกับตรงหน้าของเธอได้ปรากฏลักษณะของชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่
“ไม่นาน ที่นี่ก็จะสร้างชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ……”
เธอพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง เสียงก็ค่อยๆหยุดลง
ข้างหูของเธอ ก็ราวกับนึกถึงเสียงที่เอาแต่ในของจี้จิ่งเชินขึ้นมา
――ต่อไปที่นี่จะใช้สร้างพิพิธภัณฑ์ และเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เป็นของคุณ
――คุณชอบดอกไม้ไฟ ผมก็จะพาคุณไปดูดอกไม้ไฟที่สวยที่สุดในโลก ชอบวัตถุโบราณ ผมก็จะสร้างพิพิธภัณฑ์ให้กับคุณ
เวินเที๋ยนเที๋ยนมีสายตาที่เศร้าขึ้นมาทันที
เมื่อพวกเขาเห็นว่าเธอหยุดพูดกลางคัน จึงได้หันมามองเธอ
เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงรีบดึงสติของเธอกลับมา แล้วพูดต่อ: “ชิงช้าสวรรค์นี้จะส่องสว่างตลอดทั้งคืน ถึงแม้จี้จิ่งเชินจะอยู่ไกลแค่ไหมเขาก็จะมองเห็นชิงช้าสวรรค์นี้”
ในขณะที่พูด เธอก็มีท่าทางนึกถึงว่าจี้จิ่งเชินได้กลับมาแล้ว บนใบหน้าจึงได้เผยรอยยิ้มขึ้นมา
สายตาของพวกเขาทั้งสามคนมองอยู่ที่เธอ ด้วยความกังวลเล็กน้อย
เมื่อคนงานเห็นว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนได้มาแล้ว จึงวิ่งเข้ามาหา คนงานคนนั้นเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากไปด้วย และยิ้มให้กับเธอไปด้วย
“คุณเวิน คุณมาแล้วเหรอครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้า
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมคะ?”
“เรียบร้อยดีทุกอย่างครับ หลังจากรอคุณเวินตัดริบบิ้นเสร็จ ก็สามารถติดตั้งได้เลยครับ ”
ในขณะที่พูด น้ำเสียงของคนงานก็มีความตื่นเต้นเล็กน้อย แล้วพูด: “นี้เป็นชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ถ้าสร้างเสร็จแล้ว จะต้องมีคนมาเข้าชมที่นี่เยอะแน่นอนเลยครับ เมื่อถึงเวลานั้นที่นี่อาจจะกลายเป็นอาคารที่เป็นแลนด์มาร์คก็ได้”
เวินเที๋ยนเที๋ยนยิ้มกว้างขึ้นมากกว่าเดิม
“รบกวนพวกคุณแล้วล่ะค่ะ”
พูดเสร็จเธอก็เดินตามคนงานคนนั้นมา
ตอนนี้ที่ชิงช้าสวรรค์มีริบบิ้นสีแดงผูกไว้ แล้วอีกข้างก็มีกรรไกรวางอยู่
ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ถูกวางไว้บนพื้น และกินพื้นที่เป็นจำนวนมาก พอที่จะนึกถึงความใหญ่ของมันหลังจากที่ได้ตั้งแล้วได้
การตัดริบบิ้นในครั้งนี้เธอไม่ได้บอกใคร จึงมีแค่คนงานบางส่วนและคนที่เวินเที๋ยนเที๋ยนได้พามาด้วยก็เท่านั้น
แต่เมื่อนึกว่าจี้จิ่งเชินจะรีบกลับมาหาเธอ เธอก็เหมือนมีกับสภาพจิตใจที่ดีขึ้น
หมินอันเกอที่ยืนอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นท่าทีของเวินเที๋ยนเที๋ยน กลับไม่ได้รู้สึกดีใจขึ้นมา
ไฟไหม้ครั้งใหญ่ของตระกูลจี้ เขาเคยได้ติดตามข่าว หลังจากได้เกิดไฟไหม้แล้วเขาก็ได้ไปในสถานที่เกิดเหตุ แต่ตามที่ตำรวจอธิบาย บอกว่าการจะมีชีวิตรอดจากการไฟไหม้รุนแรงขนาดนี้มีโอกาสที่น้อยมาก
ถึงแม้จะไม่ได้เห็นศพ แต่ทุกคนก็คิดไปแล้ว ว่าร่างของจี้จิ่งเชินถูกไฟไหม้จนหมด และหาไม่เจอแล้ว
ถึงแม้จะประกาศว่าได้เสียชีวิตแล้ว แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนยังคงแน่วแน่กับความคิดของตัวเอง และคิดว่าจี้จิ่งเชินจะกลับมา
“ประธานจี้ยังมีชีวิตอยู่จริงๆเหรอครับ?”
ในขณะที่คิดอยู่นั้น จู่ๆน้ำเสียงของจงหลีก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง
หมินอันเกอหันหน้าไป ก็เห็นว่าสายตาของจงหลีมองอยู่ที่เวินเที๋ยนเที๋ยน และเหมือนกับจงหลีจะรู้ว่าเขามองอยู่ จึงได้หันมามองเขาเหมือนกัน
“แล้วคุณหมินคิดว่ายังไงครับ?