เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่ 547 คู่สามีภรรยาทำงานเป็นลูกจ้าง
บทที่ 547 คู่สามีภรรยาทำงานเป็นลูกจ้าง
พนักงานมองเวินเที๋ยนเที๋ยนกับจี้จิ่งเชินด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างซับซ้อน
เห็นพวกเขาสองคนล้วงหาเงินสดตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ยังคงไม่พอกับค่าอาหารอยู่ดี
“ รูดบัตรไม่ได้หรอ? ” เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดถามขึ้น
นอกจากเงินหนึ่งร้อยกว่าบาทนี้แล้ว ในกระเป๋าเงินของเธอก็เหลือแค่บัตรเครดิตสองสามใบเท่านั้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอคงจะใส่เงินสดจำนวนไม่น้อยไว้ในกระเป๋าเงินอย่างแน่นอน แต่ต่อมาพบว่าไม่ค่อยได้ใช้เงินสดสักเท่าไหร่ เธอจึงไม่ค่อยพกมันติดตัวบ่อยนัก
จี้จิ่งเชินยิ่งแล้วใหญ่ เขาไม่ได้ใช้เงินสดตลอดทั้งปี จึงไม่เคยพกติดตัว
เมื่อสักครู่ก่อนมากินอาหาร เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย
“ ร้านเรารับแค่เงินสดค่ะ ”
พนักงานมองเวินเที๋ยนเที๋ยนกับจี้จิ่งเชินอย่างสังเกต เมื่อสักครู่ตอนเห็นทั้งสองคนมาทานอาหารด้วยกัน เธอยังใช้สายตาอิจฉามองพวกเขาอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับค่อยๆเปลี่ยนเป็นสายตาดูถูกเสียแล้ว
“ พวกคุณมาทานอาหาร แต่ไม่รู้จักพกเงินเนี่ยนะ? ” ไม่ใช่ว่าพวกคุณตั้งใจมากินฟรีหรอกใช่ไหม? ”
เห็นพวกเขาแต่งตัวดี แต่ไม่คิดว่าเงินแค่สองร้อยบาทก็ยังไม่มี
เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกลำบากใจ นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่เธอเจอเรื่องแบบนี้
จี้จิ่งเชินที่นั่งอยู่ด้านข้างแทบจะกลั้นสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่ สีหน้าของเขาจึงขรึมลงนิดหน่อย
“ แถวนี้มีธนาคารหรือเครื่อง ATM ไหม? ”
พนักงานส่ายหน้า
“ ธนาคารที่ใกล้ที่สุดต้องเดินออกไปประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเรารอคุณไม่ได้หรอกนะ ถ้าพวกคุณหนีไปตอนครึ่งทาง จะทำยังไงล่ะ? ”
พูดเสร็จ เหมือนเธอกลัวว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนกับจี้จิ่งเชินจะหนี จึงตะโกนเรียกเจ้าของร้านให้มาหา
เจ้าของร้านทำการนับเงินหนึ่งร้อยห้าสิบบาทของเวินเที๋ยนเที๋ยน หลังจากนั้นเขาก็มองทั้งสองคนอย่างสังเกต
“ ยังขาดอีกสี่สิบบาท? พวกคุณว่าควรจะทำยังไงดีล่ะ? ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพลิกกระเป๋าเงินของตัวเองไปมา และหยิบของที่อยู่ด้านในออกมา
“ เถ้าแก่ เอาแบบนี้ได้ไหม ฉันจะใช้กระเป๋าใบนี้ค้ำประกันไว้ที่นี่ก่อน รอพวกเรากดเงินมาได้แล้ว เราค่อยแลกคืน? ”
เธอกำลังจะส่งกระเป๋าไปให้ แต่กลับถูกจี้จิ่งเชินดึงไว้เสียก่อน
จี้จิ่งเชินขมวดคิ้ว เขาถอดนาฬิกาข้อมือของตัวเองออกมา และส่งไปให้เจ้าของร้าน
“ แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเห็นเข้า เธอก็ตาโตทันที
นี่เป็นนาฬิกาข้อมือยี่ห้อเพียเจต์ที่มีราคาประมูลเกือบหนึ่งล้านสองแสนบาท นำมาค้ำประกันกับเงินสี่สิบบาท ถ้าคนอื่นรู้เข้า……
เจ้าของร้านรับนาฬิกาข้อมือไป และนำไปส่องแสงไฟดูอย่างละเอียด หลังจากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว
“ นาฬิกาข้อมือเรือนเดียวจะมีค่าสักกี่บาท? อย่ามาหลอกผมนะ! ”
เขายัดนาฬิกาข้อมือใส่ในมือจี้จิ่งเชินอย่างไม่พอใจ และพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ: “ ผมไม่สนใจ สี่สิบบาทที่ยังขาดอยู่ พวกคุณต้องทำงานชดใช้ ”
พูดจบ เขาก็หันไปหยิบผ้ากันเปื้อนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ และส่งไปให้เวินเที๋ยนเที๋ยน
“ พวกคุณสองคนต้องไปทำงานให้ผม ” เขาชี้ไปที่จี้จิ่งเชิน และพูดขึ้น: “ คุณหน้าตาถือว่าใช้ได้ ไปเรียกลูกค้าที่หน้าร้าน ”
จี้จิ่งเชินตาโตอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ คุณให้ผมไป…… ”
เขามองประตูทางเข้าที่มีผู้คนเบียดกันอยู่อย่างแออัด และไม่คิดว่าสักวันตัวเองจะต้องมาเรียกลูกค้าที่หน้าร้าน
“ ใช่ คุณไม่เห็นหรอว่าคนเยอะขนาดไหน คุณไปทำผมให้ดีๆ หลังจากนั้นก็ไปบอกให้พวกเขาต่อแถวให้เรียบร้อย และเรียกลูกค้าใหม่เข้าร้านด้วย ”
เจ้าของร้านไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะเป็นใคร ตอนนี้ เป็นตอนที่ในร้านกำลังยุ่ง และใช้ให้พวกเขาสองคนมาช่วยพอดี
พูดเสร็จ เขาก็หันไปพูดกับเวินเที๋ยนเที๋ยน: “ คุณไปพาลูกค้าเข้ามาในร้าน และจดรายการอาหารให้พวกเขาด้วย ”
อารมณ์ของเวินเที๋ยนเที๋ยนค่อนข้างซับซ้อนนิดหน่อย
เจ้าของร้านคนนี้ กระเป๋าหนังก็ไม่เอา นาฬิกาข้อมือที่มีราคาเจ็ดหลักก็ยังไม่เอา กลับให้พวกเขาทำงานแทน
เห็นพวกเขายืนงงอยู่ที่เดิม ไม่ขยับไปไหน เจ้าของร้านจึงพูดเร่งอีกครั้ง: “ รีบไปทำงานสิ! อย่าอู้งานล่ะ! พวกคุณต้องทำงานจนกว่าร้านจะปิด เงินที่ติดไว้ถึงจะชดใช้หมด ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองผ้ากันเปื้อนในมือ เธอไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงเชื่อฟังเขา และเดินไปที่ประตูทางเข้าร้าน
สีหน้าของจี้จิ่งเชินดำทมิฬ คล้ายกับสามารถมีน้ำหยดลงมาได้ทุกเมื่อ
ตอนเดินไปหน้าร้าน เวินเที๋ยนเที๋ยนยังได้ยินเสียงเขากำหมัดแน่น จนข้อต่อกระดูกนิ้วมือดังกรอบแกรบ
เขากัดฟันแน่น สายตาโหดเหี้ยม
เวินเที๋ยนเที๋ยนรีบเข้าไปดึงเขาไว้ทันที
“ จี้จิ่งเชิน ไม่อย่างนั้นเราเรียกพวกพ่อบ้านให้มาที่นี่ดีไหม? ”
พอได้ยินข้อเสนอนี้ ใบหน้าของจี้จิ่งเชินก็บิดเบี้ยวไปเล็กน้อย
เรียกให้พ่อบ้านมาที่นี่?
พวกเขากลับไปได้ก็จริง แต่วันต่อมา เรื่องนี้ก็คงจะไปถึงหูของทุกคนอย่างแน่นอน
คนที่อยู่ในปราสาทเหล่านั้น ตั้งแต่มีเวินเที๋ยนเที๋ยนเป็นที่พึ่ง พวกเขาก็ปีกกล้าขาแข็งขึ้นกว่าเดิม
เขาแน่ใจเลยว่าถ้าถึงเวลาเขาจะต้องถูกคนเหล่านั้นร่วมกันหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน
อีกอย่าง ถึงแม้ว่าพ่อบ้านจะแก่แล้ว แต่ความจำของเขากลับดีมาก ในอนาคต เขาจะต้องพูดถึงมันบ่อยๆแน่นอน
“ ไม่ต้องหรอก ” จี้จิ่งเชินพูดออกมาอย่างยากลำบาก
เขากำผ้ากันเปื้อนแน่น และกัดฟันพูด: “ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยทำมาก่อน เพียงแต่วันนี้เป็นวันเกิดของคุณ เดิมที ผมจองร้านอาหารกับงานเต้นรำไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้กลับคว้าน้ำเหลว ”
“ ไม่หนิคะ ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองไปรอบๆ และพูดขึ้นยิ้มๆ: “ ถ้าเทียบกับงานเต้นรำที่เข้มงวดกับร้านอาหารตะวันตกที่มีพิธีรีตอง ฉันชอบที่นี่มากกว่าค่ะ อีกอย่าง แค่มีนายอยู่ข้างกาย ฉันก็ดีใจมากแล้ว ”
เธอค่อยๆเงยหน้ามองจี้จิ่งเชิน และยิ้มตาหยี
จี้จิ่งเชินใจเต้น เขายื่นมือออกไปจับเธอไว้
“ ผมก็เหมือนกัน ”
พวกเขาสองคนกำลังกอดกันอยู่ อยู่ๆด้านหลังกลับมีเสียงไม่พอใจดังขึ้น
“ พวกคุณอืดอาดทำอะไรอยู่? ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนตกใจ เธอรีบปล่อยจี้จิ่งเชินออกทันที พอเธอหันกลับมา ก็เห็นเจ้าของร้านยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน
แก้มของเธอเห่อร้อนขึ้น และแดงเป็นระเรื่อทันที
แต่เจ้าของร้านกลับไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่นิดเดียว คล้ายกับเขาไม่เห็นการกระทำเมื่อสักครู่ของพวกเขา
“ อย่าคิดหาโอกาสอู้งาน! รีบไปทำงานสะ! ”
เจ้าของร้านมีท่าทีน่ากลัว
เวินเที๋ยนเที๋ยนกับจี้จิ่งเชินรีบเดินไปที่ประตูทางเข้าทันที
จี้จิ่งเชินขมวดคิ้ว
“ วิธีบริหารแบบนี้มีแต่จะทำให้พนักงานไม่พอใจ และกระทบกับความกระตือรือร้นในการทำงานของพวกเขาอีกด้วย ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนฟังคำวิจารณ์ของเขา เธอคิดอยู่สักครู่ ถึงค่อยพูดขึ้น: “ นายเองก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอ…… ”
ฝีเท้าของจี้จิ่งเชินหยุดลงทันที หลังจากนั้นเขาก็หันกลับมา
“ หรอ? ”
“ ใช่ ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้าอย่างมั่นใจ
เห็นเขาตกอยู่ในความคิด เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ได้หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
บางทีแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยให้จี้จิ่งเชินรู้ความไม่เพียงพอในด้านบริหารของตัวเอง ต่อไปจะได้ทำการปรับเปลี่ยน
เธอกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จี้จิ่งเชินก็เงยหน้าขึ้นมา และพูดขึ้น: “ งั้นก็คงเป็นความผิดของพวกเขาที่ไม่พูดออกมา พวกเขาถึงได้ไม่รู้ความผิดของตัวเอง ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินคำพูดประโยคนี้เข้า เท้าของเธอก็สะดุด และเกือบล้มลงไปที่พื้น
คิดแต่ว่าเป็นความผิดของคนอื่น จี้จิ่งเชินเองไม่ได้ผิดอะไรเลย
เธอเพิ่งยืนนิ่ง หลังจากนั้นก็เงยหน้ามองสายตาเอาใจใส่ของจี้จิ่งเชิน
และพูดขึ้นอย่างเห็นด้วย: “ ใช่ ฉันคิดว่านายพูดเข้าท่า ”
จี้จิ่งเชินพยักหน้า และเดินไปที่ประตูทางเข้า
ที่ประตูทางเข้ามีคนรวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าเทียบกับเมื่อสักครู่ แทบจะไม่ลดลงเลยสักนิดเดียว
ทุกคนอัดกันเป็นวงกลม อันที่จริงก็ไม่มีคนต่อแถวแล้ว
จี้จิ่งเชินเห็นภาพเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้า เขาก็ขมวดคิ้วทันที
คนสองสามคนที่อยู่ด้านหน้าเบียดเข้ามาด้านในโดยไม่สนใจสถานการณ์แออัดแบบนี้ คนด้านหน้าพูดด่าขึ้น สถานการณ์วุ่นวายมาก
หัวคิ้วของจี้จิ่งเชินขมวดเข้าหากันแน่น สีหน้าของเขาบึ้งตึง หลังจากนั้นเขาก็เดินก้าวยาวๆไปดึงคอเสื้อคนที่กำลังอัดเข้าไปด้านในอย่างสุดชีวิตขึ้นมา