เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่ 609 อาการป่วยของเธอ
บทที่ 609 อาการป่วยของเธอ
พอเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินคำพูดประโยคนี้ เธอก็ชะงักไปทันที
เมื่อก่อนคุณนายหล่อนก็เคยปลูกฝังให้เธอทำธุรกิจ เพื่อจะได้รับช่วงกิจการของตระกูลหล่อน แต่สุดท้ายกลับถูกเวินเที๋ยนเที๋ยนปฏิเสธ
สิ่งที่เธอชอบที่สุดคือการได้เห็นโบราณวัตถุถูกซ่อมแซมด้วยมือของตัวเองทีละชิ้น แต่ไม่ใช่การต่อสู้และการหลอกไปมาของวงการธุรกิจ
จำได้ว่าคุณนายหล่อนได้เลิกราไปแล้ว ไม่รู้ทำไมตอนนี้ถึงได้พูดถึงอีก
เวินเที๋ยนเที๋ยนขมวดคิ้วนิดหน่อย
แต่ไม่รอให้เธอได้ปฏิเสธ คุณนายหล่อนก็พูดต่อ: “ ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบ แต่กิจการของตระกูลหล่อนจำเป็นต้องมีคนมารับช่วงต่อ ”
ถึงแม้ว่าเธอจะต่อต้านตั้งแต่เด็ก และมองว่าตระกูลเวินเป็นภาระของตัวเองมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้อายุมากแล้ว พอมองกลับไป เธอกลับรู้สึกเป็นห่วงตระกูลหล่อนขึ้นมาบ้างแล้ว
ที่ตระกูลหล่อนเดินมาถึงจุดนี้ได้ ก็เพราะผ่านการต่อสู้และความขยันของคนรุ่นก่อนๆ จะมาพังเพราะเธอไม่ได้อย่างเด็ดขาด
แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับไม่เข้าใจถึงความกังวลของคุณนายหล่อน ตอนนี้คุณนายหล่อนกับเวินหงหยู้ก็ยังอายุไม่เยอะ ถ้าต้องการตั้งท้องและมีบุตร ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงรีบร้อนให้เธอรับช่วงบริษัทต่อล่ะ?
เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่เข้าใจ
ตอนนี้เวินหงหยู้ก็ยืนอยู่ฟังหล่อนหลีเหมือนกัน เขาจึงพูดกล่อม: “ อันที่จริงเราก็คิดเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว เธอดีที่สุด และเป็นตัวเลือกเดียว ”
เจอความดื้อรั้นของทั้งสองคนเข้าไป เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ไม่รู้จะพูดยังไงไปชั่วขณะ
คล้ายกับมองออกถึงความไม่ยินยอมของเวินเที๋ยนเที๋ยน หล่อนหลีก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที
ผ่านไปสักพัก เธอก็ถอนหายใจ และพูดขึ้น: “ ถ้าเธอไม่ยินยอมมาบริหารบริษัท บางทีเราอาจจะยังมีวิธีอื่น ฉัน…… ”
ยังพูดไม่จบ เวินหงหยู้ที่อยู่ด้านข้างก็ขมวดคิ้วทันที
“ เราพูดเรื่องนี้กันแล้วไม่ใช่หรอ? ตอนนี้คุณ…… ”
พูดได้ครึ่งนึง อยู่ๆหล่อนหลีก็ยื่นมือมาจับเขาไว้ เธอส่ายหน้าไปมา เพื่อเป็นการบอกใบ้ไม่ให้เขาพูดต่อ
พอเห็นการกระทำของทั้งสองคน เวินเที๋ยนเที๋ยนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ
“ มีอะไรหรือเปล่าคะ? ”
หล่อนหลีส่ายหน้า
“ ไม่มีอะไร ก่อนหน้านี้เราบอกว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศ ตอนนี้เพราะเรื่องพวกนี้ จึงอาจจะต้องล่าช้านิดหน่อย ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินดังนั้น ก็ผ่อนคลายลงทันที
“ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เองถ้าไปไม่กี่วัน ฉันช่วยพวกคุณดูแลได้ค่ะ ”
แต่หล่อนหลีกลับปฏิเสธ
“ ไม่เป็นไร เธอมีชีวิตของเธอเองพวกเราจะใช้ตระกูลหล่อนมาผูกมัดเธอไม่ได้ แบบนี้ก็เป็นเหมือนพ่อแม่ของฉันน่ะสิ ”
เธอหันไปกระพริบตาใส่เวินเที๋ยนเที๋ยน และดูมีชีวิตชีวาขึ้นมานิดหน่อย
แต่เวินหงหยู้ที่ยืนอยู่ข้างเธอกลับยิ้มไม่ออก เขามีสีหน้าเคร่งเครียด
เวินเที๋ยนเที๋ยนเห็นเข้า ก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจทันที
พอสังเกตอย่างละเอียด ถึงแม้ว่าคุณนายหล่อนจะแต่งหน้าอย่างประณีตงดงาม เธอยืนตรงอย่างสง่า กิริยาท่าทางก็สง่างามเช่นเดียวกัน แต่ไม่รู้ทำไมเวินเที๋ยนเที๋ยนถึงรู้สึกว่าสภาพจิตใจของคุณนายหล่อนไม่ค่อยดีนัก เหมือนกำลังรู้สึกเหนื่อยล้า ”
หรือว่าทำงานหนักเกินไป?
เธอกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย คุณนายหล่อนก็จับมือเวินหงหยู้ไว้แน่น คล้ายกับกำลังปลอบเขา
และเธอก็พูดกับเวินเที๋ยนเที๋ยนและจี้จิ่งเชินไปด้วย: “ เวลาล่วงมามากแล้ว พวกเราขอตัวกลับก่อน ต่อจากนี้คงจะมีงานที่ต้องทำมากมาย พวกเธอไปทำงานเถอะ ”
พูดเสร็จ พวกเขาก็หมุนตัวเดินออกไปด้านนอก
เวินเที๋ยนเที๋ยนยืนมองทั้งสองคนเดินไปที่ประตูทางออกอยู่ที่เดิม
และยิ่งรู้สึกว่าฝีเท้าของคุณนายหล่อนค่อนข้างเลื่อนลอย หรือว่าสุขภาพของเธอมีปัญหา หรือเหนื่อยเกินไป?
และตอนนี้ ก็เห็นตัวของคุณนายหล่อนที่เดินไปถึงประตูทางออกแล้วสั่นคลอนอย่างรุนแรง และล้มลงไปอย่างไม่คาดคิด!
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชั่วขณะ เวินหงหยู้ที่เดินอยู่ข้างๆเธอก็มีปฏิกิริยาทันที เขารีบอุ้มเธอไว้อย่างรวดเร็ว เธอจึงไม่ถึงกับล้มลงไปบนพื้น
เหตุการณ์กะทันหันทำให้เวินเที๋ยนเที๋ยนชะงักอยู่กับที่ เธอไม่รู้จะทำยังไงดี
ผ่านไปสองวินาที เธอถึงจะรีบวิ่งเข้าไปหา
“ คุณนายหล่อน! คุณนายหล่อน! คุณเป็นยังไงบ้างคะ? ”
เห็นแค่คุณนายหล่อนหลับตาแน่น สีหน้าของเธอขาวซีดนิดหน่อย และกำลังอยู่ในอ้อมกอดของเวินหงหยู้
เวินหงหยู้มีสีหน้าเคร่งขรึม เขาไม่ได้พูดอธิบายอะไร แต่กลับอุ้มคุณนายหล่อนเดินไปทางด้านนอก หลังจากนั้นก็ขึ้นไปบนรถ และตรงไปที่โรงพยาบาลทันที
เวินเที๋ยนเที๋ยนใจเสียทันที หัวใจของเธอเต้นแรงมาก มือเท้าเย็นไปหมด และเธอก็ยืนนิ่งไปสักครู่
จี้จิ่งเชินจับมือของเธอไว้แน่น
“ ไม่เป็นไร เราก็ไปที่โรงพยาบาลกันเถอะ ”
ตอนนี้เวินเที๋ยนเที๋ยนถึงจะหาสติกลับมาได้ เธอพยักหน้า หลังจากนั้นพวกเขาก็ขึ้นรถ และรีบไปที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
ในโรงพยาบาลที่ตระกูลหล่อนก่อตั้งเองพอคุณนายหล่อนถูกส่งตัวเข้ามา เธอก็ถูกพาเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที
เวินเที๋ยนเที๋ยนเห็นไฟบนห้องผ่าตัดสว่างขึ้น หัวใจที่เดิมทีก็ตื่นตระหนกอยู่แล้ว ก็ยิ่งตึงเครียดมากกว่าเดิม
ตกลงว่าเป็นอะไรกันแน่?
ก่อนหน้านี้ก็ยังดีอยู่ไม่ใช่หรอ? ทำไมตอนนี้ถึงเป็นลมอย่างกะทันหันได้ล่ะ?
เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกกระวนกระวายใจ การคาดเดามากมายทะลักออกมาจากในใจอย่างไม่ขาดสาย
เธอยืนอยู่นอกห้องผ่าตัด มือเท้ายังคงเย็นอย่างต่อเนื่องระยะทางสั้นๆจากสถานที่ประชุมมาที่โรงพยาบาล กลับทำให้เหงื่อแตกท่วมตัว
เวินหงหยู้ที่ยืนอยู่ข้างๆก็มีสีหน้ากังวลเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นทันที
เวินเที๋ยนเที๋ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อทำให้ใจที่กำลังตึงเครียดของตัวเองได้ผ่อนคลายลง
“ ตกลงว่าคุณนายหล่อนเป็นอะไรกันแน่คะ? ป่วยหรอ? ”
พอได้ยินเสียงของเธอ เวินหงหยู้ก็หันกลับมา
เขาเม้มปากแน่น ตอนนี้ ใบหน้าที่ปรกติมักจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่ ก็เต็มไปด้วยความจริงจัง
ผ่านไปสองวินาที เขาถึงจะพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“ อันที่จริงก็พบตั้งแต่ครึ่งปีก่อนแล้ว ตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้ เพื่อไม่ให้การแต่งงานของตัวเองถูกควบคุม กิจการทั้งหมดของตระกูลหล่อนก็กำลังดำเนินไปอย่างถูกต้องทีละนิดภายใต้ชื่อของเธอ ”
เวินหงหยู้ขมวดคิ้วนิดหน่อย พอพูดถึงเรื่องในอดีต ก็ทำให้เขารู้สึกปวดใจ
“ ที่ต้นตอของโรคก่อนหน้านี้ยังไม่หายดี ก็เพราะเธอทำงานเหนื่อยเกินไป จนทำให้เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สิ่งที่จำเป็นก็คือการพักผ่อนอย่างสงบ แต่ช่วงเวลานี้กลับไปไหนไม่ได้ จึงทำให้อาการของโรคค่อยๆรุนแรงขึ้น ”
พอได้ฟังดังนั้น เวินเที๋ยนเที๋ยนถึงจะเข้าใจ
เธออ้าปากพูดอย่างยากลำบาก: “ ที่พวกคุณอยากให้ฉันรับช่วงกิจการของตระกูลหล่อน ก็เพราะโรคที่อยู่บนตัวคุณนายหล่อน…… ”
เวินหงหยู้พยักหน้า
“ ขอโทษที่เราเห็นแก่ตัวเกินไป เธอมีสิทธิ์ที่จะแสวงหาความสุขของตัวเองและเราก็ไม่ควรใช้บริษัทมาผูกมัดเธอไว้ ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกปั่นป่วนในใจ เธออยากพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับพูดไม่ออก เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอธิบายยังไงดี
ถ้าเธอรู้ว่าคุณนายหล่อนป่วย ไม่ว่ายังไงเธอก็จะรับภาระของบริษัทมาไว้ที่เธอเอง
คุณนายหล่อนกับเวินหงหยู้คือพ่อแม่ที่เธอตามหามานาน ต่อให้ในใจจะยังมีปมที่ยังแก้ไม่หายก็ตาม แต่ทั้งสองคนเป็นคนที่สนิทที่สุดในโลกสำหรับเธอเสมอ
อีกทั้งในระหว่างช่วงที่ได้คบค้าสมาคมกับพวกเขาทีละนิด เธอก็ยังรู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัวด้วยเช่นกัน
ความไม่พอใจที่อยู่ในใจก็ได้หายสาบสูญไปหมดแล้ว
เธอก้มหน้าครุ่นคิดนิดหน่อย หลังจากนั้นก็หมกมุ่นอยู่กับการตำหนิตัวเอง
ในตอนนั้น อยู่ๆก็รู้สึกว่ามีคนมาจับมือเธอไว้ นิ้วมือประสานเข้าหากันแน่น
การกระทำที่สนิทสนมทำให้เวินเที๋ยนเที๋ยนหันไปมองและเห็นจี้จิ่งเชินยืนอยู่ข้างตัวเองในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของเขากลับถ่ายทอดทุกคำพูดได้ถึงในหัวใจของเธอ
ใจที่กำลังตื่นตระหนกของเวินเที๋ยนเที๋ยนก็ค่อยๆสงบลง
“ ขอโทษค่ะ ”