เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่1026 เจ้าเฉือน้อย!
หลังจากคัดเลือกคนเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้แล้ว การแข่งขันบูรณะวัตถุโบราณครั้งนี้ก็หยุดลงชั่วคราว
เพราะการแข่งขันก่อนหน้านี้ดุเดือดมาก คราวนี้จึงตัดสินใจให้ทุกคนได้พักหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจะเผชิญหน้ากับการแข่งขันครั้งต่อไป
ผู้เข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศมีทั้งหมดหกคน แบ่งเป็นสามทีมเพื่อแข่งขันกัน และอีกสามคนที่เหลือแข่งขันเพื่อชิงชนะเลิศ รองชนะเลิศลำดับที่สองและสาม
นอกจากเวินเที๋ยนเที๋ยน ปรมาจารย์จอห์นกับปรมาจารย์จอห์นแล้ว อีกสามคนก็เป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยม
แม้ว่าสัปดาห์นี้จะเป็นเวลาพักผ่อน แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ไม่กล้าคลายความตื่นตัวลง แม้จะทำงานและพักผ่อนอย่างสมดุลกัน แต่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องซ้อม
อาจารย์ฉู่ฝากฝังความหวังไว้ที่เธอ คอยชี้แนะอยู่ข้างๆ แต่ปรมาจารย์จอห์นกลับไม่ปรากฏตัวมาเลยและไม่รู้ว่าไปที่ไหน
เห็นเวินเที๋ยนเที๋ยนกำลังแข็งขัน จี้หยู๋ชิงก็ไม่ยอมน้อยหน้า กอดหนังสือภาพของตัวเองแล้วนั่งดูอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางจริงจังเสียยิ่งกว่าเวินเที๋ยนเที๋ยน
ตอนพักเวินเที๋ยนเที๋ยนก็เริ่มสอนให้จี้หยู๋ชิงพูด
ตามที่แพทย์บอกจี้หยู๋ชิงเริ่มเรียนรู้ที่จะพูดตั้งแต่อายุยังน้อย แม้ว่าจะเร็วมากแล้ว แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ยังอยากรู้ความคิดในใจเขาให้ชัดเจนเร็วๆ
เวินเที๋ยนเที๋ยนถือหนังสือภาพไว้ในมือ แล้วอุ้มจี้หยู๋ชิงไว้ในอ้อมแขน
“เสี่ยวหยู๋ชิง นี่คือสิงโต อ่านตามแม่ สิงโต……”
จี้หยู๋ชิงมองหนังสือภาพในมือเวินเที๋ยนเที๋ยน หัวคิ้วขมวด ใบหน้าน่ารักดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังครุ่นคิด
หลังจากนั้นสองวินาทีก็เอ่ยขึ้น “ฉิง…….โต……”
ทันทีที่เอ่ยขึ้น เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ชะงักไป
การออกเสียงนี้…….
แต่เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของจี้หยู๋ชิง เวินเที๋ยนเที๋ยนก็กลั้นหัวเราะไว้ในใจ พูดอย่างจริงจัง “สิงโตใหญ่”
“ฉิง…….โต……ใหญ่……”
นี่……
ช่างเถอะ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
เวินเที๋ยนเที๋ยนพลิกหน้าที่สอง
“หยู๋ชิง อ่านอันนี้ นี่คือเสือ”
สีหน้าของจี้หยู๋ชิงจริงจังกว่าที่ผ่านมา
“ฉะ…….เฉือ!”
เห็นท่าทางจริงจังของเขา น้ำเสียงไม่เหมือนกับท่าทางที่เคร่งขรึม แต่กลับน่ารักมาก
แต่ไม่เป็นไร พวกเราอ่านกันอีกครั้ง!
ขณะที่เธอกำลังคิด ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังลอยมาจากหน้าประตู
น้ำเสียงของจี้จิ่งเชินเต็มไปด้วยความขบขัน
เขาแค่จะมาดูว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนทำงานเป็นอย่างไรบ้างแล้วก็เตือนให้เธอพักผ่อนบ้างเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นภาพนี้
ฉิงโต?
เฉือ?
เห็นเด็กคนนี้ที่ปกติมีท่าทางลำพองใจ คิดไม่ถึงว่าจะมีจุดที่ตัวเองไม่ถนัดอยู่เหมือนกัน?
จี้จิ่งเชินเดินเข้ามา รับเอาหนังสือในมือเวินเที๋ยนเที๋ยนไป
“คุณพักเถอะ ผมสอนเขาเอง”
เวินเที๋ยนเที๋ยนยังไม่วางใจเล็กน้อย คอยมองอยู่ข้างๆ
จี้จิ่งเชินสีหน้าเจือความขบขัน พลิกหนังสือภาพในมือ แล้วหยุดลงที่หน้าของสิงโต
“เมื่อกี้หนูอ่านว่าอย่างไรนะ?”
“ฉิง…….”
จี้หยู๋ชิงกำลังจะตอบ เมื่อเห็นความขบขันบนหน้าจี้จิ่งเชิน ก็เบ้ปาก ไม่พูดแล้ว!
คนคนนี้กำลังหัวเราะอะไร?
เขาพูดถูกแล้วแท้ๆ?
จี้จิ่งเชินเข้าไปใกล้ๆ แล้วพูดอย่างจงใจ “พูดไม่ได้เหรอ? เมื่อกี้เที๋ยนเที๋ยนก็สอนหนูหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ?”
จี้หยู๋ชิงเดิมมีนิสัยทะนงตัว ถูกเขาจงใจกระตุ้นแบบนี้ ก็เบิกตากลมโตในทันที
“ฉิงโต!”
“ฮะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าหนูพูดอีกทีสิ?”
จี้จิ่งเชินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรจี้หยู๋ชิงก็ไม่ยอมพูดแล้ว
เห็นว่าคนตรงหน้ายังคงขำ ก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาทันที
เขาเม้มปาก หันหน้าไป ไม่มองจี้จิ่งเชิน
จี้จิ่งเชินเห็นเขาไม่พูดแล้ว ก็จงใจหยอกเย้า
“จี้หยู๋ชิง ทำไมไม่พูดแล้ว? เมื่อกี้หนูพูดสิงโตว่าอย่างไรนะ?”
“ฮึ!”
จี้หยู๋ชิงไม่สนใจเขา ใบหน้าเล็กที่พองแก้มแดงเรื่อ
เวินเที๋ยนเที๋ยนคิดไม่ถึงว่าจี้จิ่งเชินจะหยอกเย้าเขาเล่น ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จึงอุ้มจี้หยู๋ชิงขึ้นมา
พลางเอ่ยปลอบ
“ไม่เป็นไร ตอนเริ่มหัดพูดแรกๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ ตอนแม่เด็กๆ ก็พูดไม่ชัด และเพราะแบบนี้พ่อของหนูเลยจำชื่อของแม่ผิด”
จำ “เที๋ยนเที๋ยน” เป็น “เทียนเทียน” ไม่รู้จริงๆ ว่าเขารู้ได้อย่างไร?
จี้จิ่งเชินได้ยินว่าเธอพูดว่าอย่างไร ก็ทอดถอนใจเล็กน้อย
แม้ว่าจะเป็นแค่ชื่อเล็กๆ แต่เพราะสาเหตุนี้ ทำให้ระหว่างพวกเขาพลาดอะไรไปมากมาย
จี้หยู๋ชิงได้ยินดังนั้น ก็มองเวินเที๋ยนเที๋ยนอย่างแปลกใจและมีคำถาม
เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงบอกเรื่องในอดีตกับเขา
เมื่อฟังจบ จี้หยู๋ชิงก็มองจี้จิ่งเชินอย่างประหลาดใจ แล้วมองเวินเที๋ยนเที๋ยนอีกครั้ง ตามด้วยยกยิ้มขึ้นทันที
ดวงตาโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว ยิ้มอย่างพึงพอใจ
เวินเที๋ยนเที๋ยนที่พึ่งเคยเห็นเขาดีใจขนาดนี้เป็นครั้งแรก
ก็ยิ้มออกมาบางเบา กำลังจะพูดขึ้น ทันใดนั้นกลับเห็นจี้หยู๋ชิงชี้ไปทางจี้จิ่งเชิน
“คุณพ่อโง่เง่า!”
คราวนี้ออกเสียงได้ชัดเจนมาก!
จี้จิ่งเชินเลิกคิ้วขึ้นทันที เอ่ยถามเสียงหนัก “หนูกล้าพูดอีกทีสิ?”
ไม่รู้ว่าทำไม คำที่จี้หยู๋ชิงพูดได้ดีที่สุด คือคำว่าคุณพ่อคุณแม่ ที่เหลืออีกหนึ่งคำก็คือโง่เง่า……
คำนี้ไม่มีใครสอนเขามาก่อนแท้ๆ แต่จี้หยู๋ชิงกลับเรียนรู้ได้อย่างดี
น่าแปลกจริงๆ
จี้หยู๋ชิงเห็นเขาโกรธ ก็รีบหมุนตัวหลบในอ้อมแขนของเวินเที๋ยนเที๋ยนด้วยความรวดเร็ว
จี้จิ่งเชินจะยอมปล่อยเขาไปได้อย่างไร ยื่นมือใหญ่ไปอุ้มจี้หยู๋ชิงออกจากอ้อมแขนของเวินเที๋ยนเที๋ยน
จี้หยู๋ชิงโบกมือเล็กไปมา ต่อสู้ดิ้นรนโดยเสียแรงเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าตัวเองหมดหนทางต่อต้าน ก็ได้แต่ลดมือลง ยอมให้เขาอุ้มไป
“เพื่อยับยั้งไม่ให้ต่อไปเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก พ่อจะสอนหนูพูดเอง”
“ยียียายา!”
จี้หยู๋ชิงดิ้นรนอย่างไม่พอใจ
เขาไม่ได้อยากให้จี้จิ่งเชินสอน ถ้าตัวเองไม่ทันระวังแล้วพูดผิดไป คนคนนี้จะหัวเราะเยาะเขา!
เขาจะให้คุณแม่สอนเขา!
จี้จิ่งเชินไม่สนใจการขัดขืนของเขา ยกมือขึ้นตีที่ก้นเขาไม่หนักไม่เบา ใช้กำลังกำราบพาไปที่อีกฝั่งหนึ่ง
เปิดหนังสือภาพ แต่ครั้งนี้จี้หยู๋ชิงราวกับรู้ว่าคนคนนี้ไม่ได้จิตใจดี ต้องหัวเราะเยาะตัวเองเป็นแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเอ่ยปาก
จะหลอกล่อหรือข่มขู่อย่างไรก็ไม่ได้ผล
ผู้ใหญ่หนึ่งคนกับเด็กหนึ่งคนเปลืองเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ไม่ว่าใครก็ทำไม่สำเร็จ
ความดื้อรั้นของจี้หยู๋ชิงนั้นมากเกินกว่าที่จี้จิ่งเชินจินตนาการไว้ จึงได้แต่ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเขา
น้ำเสียงเจือความอบอุ่น
“ต่อให้ผิดพลาดก็ไม่เป็นไร ต้องพยายามทำให้สำเร็จ นั่นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากของจี้จิ่งเชิน จี้หยู๋ชิงเงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ
รู้สึกซาบซึ้งในใจ อ้าปากขึ้นกำลังจะพูดออกไป
แต่คิดไม่ถึงว่าจี้จิ่งเชินจะเอ่ยเสริมขึ้นอีกว่า “แต่ว่าอ่านสิงโตเป็นฉิงโตได้ อ่านเสือเป็นเฉือ จี้หยู๋ชิง อ้าปาก ให้พ่อดูหน่อยว่าลิ้นหนูเป็นอย่างไรบ้าง?”
คำพูดสั้นๆ ทำให้ความซาบซึ้งในใจจี้หยู๋ชิงสลายหายไปในทันที แค่นหัวเราะในลำคอแล้วหมุนตัว หันก้นเผชิญหน้ากับจี้จิ่งเชินต่อ