เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่1099 ออกไปเดินเล่นข้างนอก
รอเวินเที๋ยนเที๋ยนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่คิดว่าจะเป็นเวลาช่วงค่ำแล้ว
เนื่องจากว่าไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลานาน ก็เลยนอนหลับมาจนถึงตอนนี้
เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา ก็รีบเด้งตัวขึ้นมาเลย
“จี้จิ่งเชิน?”
ไม่ใช่ว่าบอกเอาไว้แล้ว ว่าจะรีบเรียกเธอให้ตื่นขึ้นมาหรอกหรือ? ไม่รู้ว่าปัญหาการถ่ายทำรายการทางนั้นจะแก้ไขไปแล้วหรือยัง…….
เวินเที๋ยนเที๋ยนเงยหน้าขึ้นมามองไปรอบๆ จากนั้นกลับพบว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของเธอ
ห้องเล็กกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก อีกทั้งม่านที่เธอชอบที่สุดก่อนหน้านี้ก็หายไปแล้วด้วยเช่นกัน การจัดวางสิ่งของก็เปลี่ยนไปอีกด้วย
ถ้าหากละเอียดอีกซักหน่อยก็จะพบว่า บริเวณรอบๆนั้นกวัดแกว่งอยู่เล็กน้อย
ความรู้สึกแบบนี้…….
หรือว่าเธออยู่บนเรือ?
เวินเที๋ยนเที๋ยนตกตะลึงกับการคาดเดาที่อยู่ในใจนี้ แล้วรีบมองไปรอบๆ
ภายในห้องนั้นไม่ได้เปิดไฟ ลำแสงสลัวๆ สามารถมองเห็นได้อย่างไม่ชัดเจนนักกับสภาพทั่วไปในความมืดอีกทางด้านหนึ่ง
“ตื่นแล้วหรือครับ?” ในขณะเดียวกันน้ำเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมา
“จี้จิ่งเชิน? ฉันอยู่ที่ไหนคะ?”
ร่างหนึ่งค่อยๆเดินออกมาจากความมืดนั้น ด้วยก้าวที่มั่นคง
เวินเที๋ยนเที๋ยนยังปรับตัวไม่ได้ ใต้เท้าของเธอนั้นกวัดแกว่งเล็กน้อย
คนที่อยู่ในความมืดนั้นรีบก้าวเข้ามา เตรียมจะประคองเธอเอาไว้
“ระวังหน่อยครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเงยหน้าขึ้นมา เห็นดวงตามีรอยยิ้มที่เปล่งประกายปรากฏขึ้น ในใจก็ยิ่งอยากรู้ “นี่มันเรื่องอะไรกันคะ?”
“ผมพาคุณออกมาเดินเล่นครับ”จี้จิ่งเชินกล่าว
เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินแล้ว ก็เบิกตาขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เดินเล่น?
เห็นอยู่ชัดๆว่าตอนนี้เธออยู่บนเรือสำราญ!
เดินเล่นที่ไหนถึงได้ขึ้นมาอยู่บนทะเลกว้างแบบนี้กัน?
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองเขาอย่างสงสัย
แววตาของจี้จิ่งเชินนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นท่าทางที่เหี่ยวแห้งของเวินเที๋ยนเที๋ยนแล้ว เขาจึงตัดสินใจ
แต่ถ้าหากเขาพูดออกมาเลยตรงๆ เวินเที๋ยนเที๋ยนจะต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน รองานที่พิพิธภัณฑ์และการบันทึกเทปรายการให้เสร็จสิ้นก่อน อาจจะต้องรอหลังจากนี้อีกครึ่งปีเลยก็ได้
แทนที่จะเป็นแบบนั้น สู้ทำไปก่อนแล้วค่อยมาบอกทีหลังจะดีกว่า
ดังนั้น หลังจากที่เวินเที๋ยนเที๋ยนหลับไปแล้วนั้น จี้จิ่งเชินจึงพาเธอออกมาจากคฤหาสน์ แล้วนั่งเฮลิคอปเตอร์มายังเรือสำราญ
เวินเที๋ยนเที๋ยนที่นอนหลับสนิทไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้พวกเขาได้มาถึงทะเลหลวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เวินเที๋ยนเที๋ยนแหวกม่าน และเห็นท้องทะเลกว้างอย่างไร้ขอบเขตอยู่ข้างนอกอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ในใจยังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
เธอก็แค่หลับไป ไม่เพียงแต่จะออกมาจากคฤหาสน์เพียงเท่านั้น แต่ยังออกมาต่างประเทศอีกด้วย
“ถ้าอย่างนั้นทางพิพิธภัณฑ์จะทำอย่างไรคะ? แล้วก็ยังมีการบันทึกเทปรายการอีก…..”เวินเที๋ยนเที๋ยนมองเขาอย่างตำหนิ คิดไม่ถึงว่าจี้จิ่งเชินจะแข็งแกร่งขนาดนี้ที่พาเธอมาได้
จี้จิ่งเชินเดินเข้ามา แล้วกอดเวินเที๋ยนเที๋ยนเอาไว้จากทางด้านหลัง
“ก่อนออกเดินทางมาผมแจ้งกับทุกคนที่พิพิธภัณฑ์แล้วครับ ตอนนี้การดำเนินงานของพิพิธภัณฑ์เป็นไปได้ด้วยดี พวกเขารับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ ไม่ต้องกังวลนะครับ และยิ่งไปกว่านั้นผมก็ได้ไปหาท่านเปิง ขอให้ท่านมาช่วยอีกด้วย”
“ส่วนการบันทึกเทปรายการ มีประสบการณ์ก่อนหน้านี้มาแล้วครั้งนึง ครั้งนี้ต่อให้คุณอยู่ด้วย ก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ มีหมินอันเกอคอยกำกับอยู่ คุณยังจะกังวลอะไรอีก?”
“แต่ว่า……”
เวินเที๋ยนเที๋ยนอยากจะพูดอะไรอีกหน่อย แต่กลับพบว่าทุกๆรายละเอียด จี้จิ่งเชินได้คิดเอาไว้ให้หมดแล้ว
ดูเหมือนจะไม่ต้องเป็นกังวลจริงๆ
เธอเม้มปากอย่างไม่พอใจ
“ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ พี่เองก็ปรึกษากับฉันก่อนแล้วค่อยออกเดินทางมาก็ได้นี่คะ มันต้องเตรียมตัวกันก่อนสิ”
“ก็ไม่ใช่ว่าคุณรอคอยการไปเที่ยวแบบปุบปับบอกว่าจะไปแล้วก็ไปแบบนี้มาตลอดเลยไม่ใช่หรือครับ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกไม่มีทางเลี่ยงขึ้นมาทันที
บอกว่าจะไปก็ไป? ไม่เคยแม้แต่จะพูดเลยเสียด้วยซ้ำ?
“อีกทั้งที่สำคัญกว่าก็คือ…….”จี้จิ่งเชินกระชับแขนกอดเวินเที๋ยนเที๋ยนให้แน่นยิ่งขึ้น พลางก้มหน้าลงเล็กน้อย เอาคางเกยไว้ที่ไหล่ของเธอ น้ำเสียงแสดงออกถึงความสงสารที่หนักหน่วง
“ผมไม่อยากให้คุณต้องเหนื่อยเกินไปด้วย ผมเองก็รู้สึกเจ็บปวดนะครับ”
เสียงเบาๆดังขึ้นข้างๆหูเธอ ราวกับลมเบาๆที่พัดเอาความไม่พอใจที่เหลืออยู่ในใจนั้นออกไปหมด
“ขอโทษนะคะ”เธอเอ่ยขึ้น
เธอเองก็เห็นสภาพของตัวเองก่อนหน้านี้เหมือนกัน ดูผอมแห้งไปจริงๆ จี้จิ่งเชินถึงได้เป็นกังวล ถ้าหากตัวเองยังอยู่ที่คฤหาสน์นั้น จะต้องอดไม่ได้ที่จะต้องไปช่วยอย่างแน่นอน
ช่วงนี้เธอยุ่งกับงานของตัวเองอยู่ตลอด จนลืมความรู้สึกของจี้จิ่งเชินกับจี้หยู๋ชิงไปเลย
เธอเอามือวางลงบนหลังมือของจี้จิ่งเชิน
“ต่อไปฉันจะระวังนะคะ ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่า”
เห็นเวินเที๋ยนเที๋ยนยอมแพ้ที่จะกลับไปแล้วนั้น แววตาของจี้จิ่งเชินก็ปรากฏรอยยิ้มแห่งความอิ่มอกอิ่มใจขึ้นมา
บางครั้งการยอมถอยบ้างก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะกับเวินเที๋ยนเที๋ยน
ถึงแม้แบบนี้จะมีความสงสัยที่ดูเป็นการหลอกกันอยู่บ้าง แต่ก็เพราะความหวังดีที่มีต่อเธอ
จี้จิ่งเชินดึงเธอมาพลางเอ่ย : “แต่พิพิธภัณฑ์ทางนั้นคุณเองก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะครับ ผมสั่งแล้ว ว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้น ให้รีบแจ้งพวกเราทันที”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ยิ่งรู้สึกวางใจมากขึ้น
“แล้วจี้หยู๋ชิงล่ะคะ?”
จี้จิ่งเชินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ลังเลอยู่แวบหนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยขึ้น : “หยู๋ชิง……”
ยังไม่ทันพูดจบ ประตูห้องก็ถูกใครคนหนึ่งเปิดออกจากทางด้านนอก
ปึง!
เสียงเล็กๆเสียงหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตู
“คุณแม่!”
จี้หยู๋ชิงวิ่งมาทันทีแล้วพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดของเวินเที๋ยนเที๋ยน
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองเขาด้วยความดีใจ
“ลูกก็มาด้วยนี่เอง”
จี้จิ่งเชินเห็นหยู๋ชิงที่พุ่งเข้ามาแล้ว อารมณ์ก็ดูซับซ้อนอยู่บ้าง จ้องเขาอย่างไม่พอใจ
ตอนก่อนที่จะออกเดินทาง ความจริงแล้วเขาไม่อยากพาจี้หยู๋ชิงมาด้วย
เดิมทีแผนก็คือค่อยๆออกมา แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะความรู้สึกไวขนาดนี้
จี้จิ่งเชินที่เพิ่งจะพาเวินเที๋ยนเที๋ยนขึ้นมาบนเฮลิคอปเตอร์ เตรียมจะออกเดินทาง ก็เห็นจี้หยู๋ชิงตามมาด้วยเช่นกัน จะพูดอะไรก็ไม่ยอมไป
จนสุดท้ายแม้กระทั่งเดินอ้อมบอร์ดี้การ์ดสองสามคนแล้วก็กระโดดขึ้นมาบนเฮลิคอปเตอร์เลย แล้วต่างคนต่างมองหน้ากันกับจี้จิ่งเชิน
ตอนนี้เขารู้สึกมาเสียใจภายหลัง รู้ตั้งแต่แรกก็จะไม่ให้เขาเรียนศิลปะการป้องกันตัวมากมายขนาดนี้ บอร์ดี้การ์ดสองสามคนก็ยังขวางเขาเอาไว้ไม่ได้
แต่ตัวคนนั้นได้ขึ้นมาบนเฮลิคอปเตอร์แล้ว เขาจึงทำได้เพียงต้องพามาด้วยเหมือนกัน
แผนเดิมจากที่เป็นการมาเที่ยวเพียงสองคนนั้น กลายมาเป็นสามคนแล้ว มีก้างขวางคอเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
กว่าจะเข้ามาในห้องได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จี้หยู๋ชิงจึงเอาแต่ดึงมือเวินเที๋ยนเที๋ยนไว้ตลอด แล้วมองไปยังจี้จิ่งเชินอย่างระวังตัว กังวลว่าจู่ๆอีกฝ่ายนั้นจะไล่เขาออกไป
ถึงแม้ว่าเขาจะตามขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาเลย แต่เพิ่งจะมาถึงบนเรือสำราญ จี้จิ่งเชินก็พาเวินเที๋ยนเที๋ยนเข้ามาในห้อง โดยดักให้เขาอยู่ข้างนอกด้วยเหตุผลที่ว่าจะให้เวินเที๋ยนเที๋ยนได้พักผ่อนนั่นเอง
เมื่อครู่นี้เขาเฝ้าอยู่ข้างนอกตลอดเวลา ได้ยินเสียงของเวินเที๋ยนเที๋ยนที่ดังมาจากทางด้านใน จึงรีบพุ่งเข้ามา
สายตาของจี้จิ่งเชินมองมาที่ร่างของเขา รู้สึกได้ถึงความระแวดระวังของจี้หยู๋ชิงอย่างชัดเจน แล้วก็รู้สึกหมดปัญญาขึ้นมาทันที
หางเล็กๆนี้ สะบัดไม่ออกอยู่แล้ว
เพียงแค่เวินเที๋ยนเที๋ยนอยู่ด้วย เขาก็จะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ
“คุณแม่ หิวแล้วใช่ไหมครับ? เราไปทานข้าวด้วยกันเถอะครับ?”
จี้หยู๋ชิงดึงเวินเที๋ยนเที๋ยนเดินออกไปยังด้านนอก
เมื่อเขาถามเช่นนี้แล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนถึงได้มีปฏิกิริยาตอบรับ เธอนอนตั้งแต่ตอนกลางวันจนถึงตอนค่ำ ท้องก็เริ่มจะเรียกร้องขึ้นมาตั้งนานแล้ว
“ได้ครับ เราไปกันเถอะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนหันไปมองจี้จิ่งเชิน “ไปด้วยกันสิคะ”
บนเรือสำราญมีการจัดตั้งห้องอาหารเอาไว้โดยเฉพาะ สิ่งที่ควรจะมีก็มีทั้งหมด
ไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มีลมทะเลพัด พลางทานอาหารไปด้วย เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกว่าร่างกายและจิตใจผ่อนคลายลงได้มาก
“ที่นี่ออกมาดูวิวทิวทัศน์แบบนี้ก็ดูจะไม่เลวเลยเหมือนกันนะคะ”