เมียหวานของประธานเย็นชา - บทที่757 ความรู้สึกหวั่นไหว
บทที่757 ความรู้สึกหวั่นไหว
เธอนั่งบนเตียง เมื่อกี้หมินอันเกอเรียกหมอเข้าใจ ตรวจเช็คให้เธอไปรอบหนึ่ง หลังจากยืนยันว่าไม่เป็นอะไรแล้วก็บอกให้เธอพักผ่อนให้มากๆ
จนถึงตอนนี้ หัวใจของเธอยังคงเต้นแรง ตกอยู่ในความดีใจในเมื่อกี้ ถึงขั้นงงงวยเล็กน้อย ไม่อยากจะเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นเรื่องจริง
กระวานกระวายใจแบบนี้ จะนอนกลับได้อย่างไรล่ะ?
เธอพิงบนหมอน ประสานมือเข้าหากัน และบีบฝ่ามืออย่างกระวนกระวายใจ
ผ่านไปนานแบบนี้ ใบหน้ายังคงแดงเล็กน้อย ปนกับความเขินอาย ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า สิ่งที่ตัวเองได้ยินในเมื่อกี้นั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
เธอถึงขั้นนับอย่างละเอียดด้วยซ้ำ
ระหว่างตัวเองและหมินอันเกอไม่ได้มีเลือดสายสัมพันธ์อะไรกัน ดังนั้นไม่ใช่ญาติ งั้นก็แค่เหลือแค่ความสัมพันธ์แบบพี่น้อง เพื่อนและ……แฟน
แต่หมินอันเกอปฏิเสธข้างหน้าสองอันนี้ไปแล้ว งั้นก็คงเหลือแค่แบบสุดท้าย……
เป็นความรักเหรอ?
แต่ในใจคิดคำนี้ หลวนจื่อก็กระวนกระวายใจมากๆ
เมื่อคิดถึงจุดนี้ มุมปากก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ แม้ว่าอยากจะกลั้นแค่ไหน ก็เอาไม่อยู่
เพียงเพราะว่าตัวเองรอคำๆนี้ รอมานานกว่าสิบปี
ในสิบปีที่ผ่านมานี้ เธอคอมตามหลังหมินอันเกอมาตลอด หวังว่าอีกฝ่ายจะมองเธอมากขึ้น และพูดคุยกับเธอมากขึ้น
คำว่ารักนี้ สำหรับเธอแล้วเป็นความคาดหวังของเธอมาโดยตลอด
แต่ไม่คิดว่า ในวันนี้ เธอได้รับคำตอบที่ใกล้เคียงกับคำๆนี้มากๆ
แม้ว่าหมินอันเกอไม่ได้พูดว่าชอบจากปากตัวเอง แต่สำหรับหลวนจื่อแล้ว เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นี่เป็นเรื่องแม้แต่จะฝัน ก็ยังไม่กล้าคิด
เธอนั่งอย่างตื่นเต้น ในใจสับสนไปหมด ราวกับกองไหมพรมที่คว่ำไปทั้งลัง พันติดกันหมด
แม้ว่าจะลนลานไม่รู้ทำอย่างไร แต่ในใจกลับดีใจอย่างมาก
หมินอันเกอที่นั่งข้างๆ หยิบมีปอกผลไม้ขึ้นมา ก้มหน้าก้มตาปอกผลไม้ให้เธอ
นิ้วเรียวยาวควบคุมแอปเปิลและมีดอย่างมีชีวิตชีวา เปลือกก็หยุดลงตามท่าทางของเขา
ในห้องพักนั้นกว้างมาก ผ้าม่านเปิดออก แสงแดดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่าง สามารกมองเห็นฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศ
แสงแดดสาดส่องเข้าบนตัวหมินอันเกอ ทำให้ผมสีน้ำตาลอ่อนของเขากลายเป็นสีทอง ทั้งตัวล้อมไปด้วยแสงแดด แม้แค่นั่งปอกผลไม้อยู่ข้างๆ มองดูแล้วก็ชื่นใจมากๆ
อีกอย่าง หลังจากหมินอันเกอที่อยู่ตรงหน้าปอกผลไม้เสร็จ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ป้อนเข้าปากหลวนจื่อ ยิ่งทำให้คนรู้สึกวาบหวาม
หลังจากที่ได้ยินหมินอันเกอพูดแบบนั้น ในใจของหลวนจื่อก็รู้สึกงุนงง ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินทั้งหมดนั้นว่าเป็นเรื่องจริง
หมินอันเกอยื่นแอปเปิลที่หั่นเป็นชิ้นเล็กไปตรงปากเธอ แต่กลับเห็นหลวนจื่อมองตัวเอง กำลังเหม่อลอยไม่ตอบสนอง อดที่จะทักเสียงเบาไม่ได้
“หลวนจื่อ?”
หลวนจื่อรีบดึงสติ เงยหน้าขึ้นมองหมินอันเกอ ใบหน้าแดงขึ้นมาเรื่อยๆ
อ้าปากรับแอปเปิลมา ตอบเสียงเบาว่า “ฉันกินเองได้ นายไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงสักหน่อย……”
หมินอันเกอตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “หมอบอกว่าสองสามวันนี้คุณควรจะพักผ่อน งั้นก็เชื่อฟังผมซะดีๆ”
ขณะที่พูด เขายกมือลูบหัวของหลวนจื่อ ปลอบว่า “รอผ่านช่วงนี้ไปก่อนนะ”
ฝ่ามือที่กว้างใหญ่ตบหน้าผากเบาๆ ด้วยท่าทีเอ็นดู ทำให้สีหน้าของหลวนจื่อแดงขึ้นเรื่อยๆ
ปากกลับตอบอย่างไม่พอใจ “อย่ามาใช้ท่าทีลูบหมาว่าลูบหัวฉัน”
“ผมจะลูบหมาได้อย่างไรล่ะ?”
หมินอันเกอพูดเสียงเบา “ผมกำลัง……”
เขาพูดถึงครึ่งทาง กลับหยุด ไม่ได้พูดต่อไปอีก มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้จึงพูด “ช่วงนี้คุณเชื่อฟังผมด้วย อย่าไปไหนนะ”
ตอนที่หลวนจื่ออยู่ในตระกูลหลวน เป็นเด็กเกเรที่มีชื่อเสียง ไม่มีเงื่อนไข เป็นอิสระ ไม่ถูกคนอื่นผูกมัดหรือถูกสั่ง พ่อแม่ให้เธอทำอะไร ชอบขัดตลอด
ไม่ให้เธอออกจากบ้าน เธอก็จะออก ให้เธอกลับบ้าน หลวนจื่อเลือกที่จะเร่ร่อนที่ข้างนอก
แต่ตอนนี้คำพูดเหล่านี้ถูกพูดออกจากปากหมินอันเกอ หลวนจื่อกลับไม่ได้มีใจต่อต้าน พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ใบหน้าแดงเหมือนแอปเปิล
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น กลับนึกถึงท่าทีของตัวเองในตอนนี้ มันน่าอายจริงๆ จึงพลิกตัว หันหลังให้กับหมินอันเกอ กลบเกลื่อนเปลี่ยนแปลงใบหน้าตัวเองในเวลานี้
หมินอันเกอเห็นเข้า วางมือไว้บนไหล่เธอ โน้มมาข้างหน้า ถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไร? ไม่สบายเหรอ? ”
หลวนจื่อส่ายหัว แทบจะมุดใบหน้าเข้ากับผ้าห่ม พูดเสียงเบา “แบบนี้ดีแล้ว”
หมินอันเกอกลับพูดอย่างเป็นห่วง “หันหน้ามาก่อน”
หลวนจื่อพูดอย่างอู้อี้ “แต่ฉันนอนอยู่ไม่ค่อยสบาย……”
หมินอันเกอได้ยินนั้น ฝ่ามือที่กว้างใหญ่วางบนท้องเธอ สัมผัสเบาๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำและอ่อนโยน
“หรือเพราะลูกซนไปเหรอ?”
หลวนจื่อไม่พูด โก่งตัวเล็กน้อย มุดหัวลงไป
สายตาของหมินอันเกออยู่บนท้องของหลวนจื่อ พูดเสียงเบากับลูกที่อยู่ข้างใน “เป็นเด็กดีหน่อย ไม่งั้นอนาคตผมจะตีนะ”
หลวนจื่อได้ยินคำพูดเหมือนเด็กของเขา อดที่จะหลุดขำออกมาไม่ได้
เมื่อก่อนชอบเห็นในโทรทัศน์คุณพ่อพูดแบบนี้กับเด็กในท้องของคุณแม่ เธอรู้สึกว่าพฤติกรรมแบบนี้เหมือนเด็กเล็กมาตลอด
ตั้งครรภ์ครึ่งปีกว่านี้ หมินอันเกอก็ไม่เคยแสดงพฤติกรรมแบบนี้มาก่อน
แต่วันนี้ได้ยินคำพูดนี้จากปากเขา ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นมากๆ ราวกับเข้าใจถึงคำพูดที่หมินอันเกอพูดก่อนหน้านี้:
เขาไม่ได้ฝืนกล้ำกลืนตัวเอง ให้อยู่เคียงข้างหลวนจื่อ
จังหวะนี้ หลวนจื่อรู้สึกได้เปี่ยมไปด้วยความสุข
เวินเที๋ยนเที๋ยนเคาะประตู ในตอนที่เดินเข้ามา เห็นฉากที่อยู่ตรงหน้า
หลวนจื่อนอนตะแคงบนเตียง หมินอันเกอนั่งอยู่ข้างๆ
แสงแดดสาดส่องบนตัวทั้งสอง มีเพียงเสียงที่หมินอันเกอเปิดหนังสือลอยมา บรรยากาศที่สงบอบอุ่นทำให้คนรู้สึกไม่อยากจะรบกวน
เธอยืนตรงประตูไปสักพัก จนกว่าหมินอันเกอที่ดูหนังสือจะมองมา เวินเที๋ยนเที๋ยนถึงยิ้มทักเขา หมินอันเกอลูกขึ้นมา
“ทำไมคุณมาในขณะนี้ล่ะ?”
หลวนจื่อที่แสร้งทำเป็นหลับอยู่ได้ยินเสียง ก็หันกลับมาและเห็นเวินเที๋ยนเที๋ยน รีบพลิกตัวกลับมา
“วันนี้เธอไม่ต้องทำงานเหรอ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนตอบ “แผนงานและความร่วมมือของทางฝั่งบริษัทเป็นไปตามที่กำหนดแล้ว ฉันส่งเรื่องให้ผู้จัดการหยางแล้ว เลยมาเยี่ยมเธอหน่อย หมอพูดว่าอย่างไรบ้าง?”
“ฉันไม่เป็นอะไร” หลวนจื่อตอบ “ฉันว่าพวกเขากระต่ายตื่นตูมเอง ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรเลย แต่หมอให้ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล ให้พักหนึ่งอาทิตย์ แล้วดูอาการถึงจะกลับได้”
เธอมองไปรอบๆอย่างไม่พอใจ บ่นว่า “ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นยาฆ่าเชื้อ ยังลงเตียงไม่ได้อีก ให้ฉันนอนคืนหนึ่งก็ไม่ไหวแล้ว ยังจะให้อยู่เป็นอาทิตย์อีก ฉันคงจะอึดอัดตายแน่ๆ